Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1603

Cover Renegade Immortal 1

1603. บ้านอยู่ใต้ภูเขาเหิงยั่ว

แม้คำพูดของหวังหลินไม่ได้ดังมากนัก แต่มันสั่นสะเทือนสวรรค์!

สีหน้าของชายหนุ่มถือกระบี่เหินจึงเปลี่ยนไปมหาศาล เขาเป็นแค่เซียนขั้นพื้นฐานลมปราณระดับต้นเท่านั้น เมื่อมองมาที่หวังหลินจึงดูเหมือนหวังหลินตัวใหญ่มาก เสียงคำรามถึงกับทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี

กลิ่นอายแห่งอำนาจนั้นได้สร้างม่านที่มองไม่เห็นขึ้นมาจนสีหน้าชายหนุ่มต้องซีดเผือด เขากระอักโลหิตออกมาและแสงกระบี่หม่นหมองลงไป เขาไม่กล้าขยับไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว กระบี่เหินในมือตกลงพื้น จากนั้นรีบถอย

“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!! เจ้าเป็นแค่คนธรรมดา เจ้าเป็นแค่มดแมลง เจ้าไม่สามารถทำให้ข้าหวาดกลัวได้!!” ชายหนุ่มสั่นเทาอย่างบ้าคลั่ง ความคิดสั่นสะเทือน ล่าถอยไปด้วยน้ำเสียงบิดเบี้ยวจนคนที่คุกเข่าอยู่ถึงกับไม่เชื่อสายตา

ตลอดหลายชั่วอายุคน เรื่องราวแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คนธรรมดาจะกล้า ดุด่าเซียนอมตะได้อย่างไร เสียงคำรามสั่นสะเทือนนั้นดูเหมือนจะคงอยู่ในหูอีกฝ่ายไปชั่วกาลนาน

ขณะที่ชายหนุ่มล่าถอย ชายหนุ่มอีกคนก้าวเท้าออกมา ระดับบ่มเพาะของเขาคือขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลางซึ่งสูงกว่าสหายอีกคน

เขาก้าวออกมาข้างหน้า สองฝ่ามือประทับแผ่นหลังของสหายร่วมสำนัก เขามองไปที่หวังหลินและต้าฝูที่เป็นคนที่ยืนอยู่ตอนนี้!

เพียงแค่ชำเลืองสายตามอง เขาเห็นกลิ่นอายเลือนลางเหนือหวังหลินที่ทำให้เขาสั่นเทา กลิ่นอายนี้แข็งแกร่งและทำให้ความคิดของเขาเต็มไปด้วยความซับซ้อน นับไม่ถ้วน ราวกับมันจะทำลายจิตใจของเขาและบังคับให้กระอักโลหิต

“ข้าเข้าใจโลก การที่ข้าเห็นเซียนเป็นมดแมลงมันจะเป็นเช่นไร? อย่าว่าแต่ พวกเจ้าสองคนเลย แม้เซียนทั้งหมดบนดาวซูซาคุเข้ามาหา แล้วอย่างไรเล่า?” หวังหลินมองขึ้นไป ราวกับมีสายฟ้ากะพริบอยู่ในแววตา เส้นผมยาวสะบัดพลิ้วและดื่มสุราไปอีกหนึ่งอึก

ชายหนุ่มรู้สึกศีรษะด้านชาและหวาดกลัว เรื่องแบบนี้มันเหนือล้ำกว่าที่เขาจินตนาการถึง แม้หวังหลินจะดูเปราะบางแต่เขาสัมผัสกลิ่นอายสูงส่งและทรงพลังที่ไม่กลัวแม้แต่สรวงสวรรค์หรือฟ้าดิน เทียบกับวิชาที่สามารถทำร้ายพวกเขาแล้ว มันกลับทำให้เขารู้สึกเคารพ

‘เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร? เขาเป็นแค่คนธรรมดา แค่คนธรรมดา!! เขาจะมี กลิ่นอายเช่นนี้ได้อย่างไร คนผู้นี้…คนผู้นี้…มิอาจล่วงเกินได้!!!’

เขาไม่กล้าจากไปแบบนี้แต่ก็ลอยอยู่ในอากาศด้วยท่าทีเคารพ เขาคำนับฝ่ามือให้กับหวังหลินราวกับคำนับผู้อาวุโส

“เป็นความผิดของเราเอง ข้าหวังว่ามหาบัณฑิตจะไม่ถือสา เราจะจากไปตอนนี้และจะไม่มีวันเข้ามาที่เมืองซูอีก” เพียงเท่านั้นชายหนุ่มก็รีบจากไปโดยประคอง ชายหนุ่มอีกคนไปด้วย

รอบด้านพลันเงียบกริบในทันที

หวังหลินยืนอย่างมั่นคงและดื่มสุราไปอีก สายลมกรรโชกพัดผ่านทำให้เสื้อผ้าของเขาพลิ้วไสวเบื้องหน้าทุกคน

“เป็นไปไม่ได้เช่นนั้นหรือ?” หวังหลินวางขวดสุราและส่งสายตาเข้าไปในฝูงชน เขาเห็นซูยี่ที่เป็นคนตั้งคำถามด้วยใบหน้าซีดเผือด

ซูยี่ก้มศีรษะ ร่างกายเริ่มสั่น สักพักใหญ่กว่าเขาจะพยายามเงยหน้าขึ้นมาและ โค้งตัวให้กับหวังหลิน

“ซูยี่ขอคารวะมหาบัณฑิตแห่งแคว้นจ้าว”

“เราขอคารวะมหาบัณฑิตแห่งแคว้นจ้าว” เหล่าบัณฑิตทุกคนคำนับฝ่ามือ สายตาสั่นเทาของแต่ละคนเผยความนับถือที่อธิบายออกมาไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีวันลืม

ชายชราหลายคนในรถม้าด้านนอกต่างก็ก้มศีรษะ พวกเขาพอใจกับการสูญเสียแล้ว!

หลายคนไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าในชีวิตนี้จะมีคนธรรมดาทำให้เซียนหวาดกลัวได้ แต่ตอนนี้พวกเขาเป็นพยานรู้เห็นด้วยสองตา สัมผัสความภูมิใจอันซับซ้อนผุดขึ้นในใจแต่ละคน

“หากความคิดของเจ้ากว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด หากเจ้าเข้าใจความจริงแท้ของโลก เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถทำได้แม้กระทั่งมองเซียนเป็นเพียงมดแมลง!” ประโยคนี้ แผ่กระจายไปทั่วแคว้นจ้าวนับตั้งแต่วันนี้ต่อไป

“ข้าเหนื่อยแล้ว” หวังหลินหยิบขวดสุราและมองไปที่เหลาอาหาร ชายวัยกลางคนในเหลาอาหารถึงกับชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาไม่กล้ามองหวังหลิน ทำได้แค่ก้มหน้าและ โค้งคำนับ หวังหลินและต้าฝูหันตัวกลับเข้าไปในคฤหาสน์

เหล่าบัณฑิตนับไม่ถ้วนโค้งตัวอยู่นานก่อนจะจากไปทีละคน ท้ายที่สุดแล้วทุกคนที่มาด้วยเหตุผลของตัวเองก็ค่อยๆ จากไป เมืองซูจึงเริ่มเงียบขึ้น

ไม่มีใครกล้าถามข้อสงสัยอีกแล้ว พายุที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หายวับไปอย่าง ไร้ร่องรอย

ด้วยเรื่องนี้ ชื่อเสียงของหวังหลินจึงพุ่งขึ้นสูงสุดในแคว้นจ้าวและแทนที่อาจารย์ของเขาอย่างสิ้นเชิง ในฐานะมหาบัณฑิตแห่งแคว้นจ้าวที่สามารถทำให้เซียนหวาดกลัว!

กาลเวลาผ่านพ้น การสั่งสอนในเวลาสิบปีของหวังหลินยังคงดำเนินต่อไป แต่ไม่มีใครที่จะมีคุณสมบัติมาถามเขา หากมีคนมาก็เหมือนเป็นเด็กนักเรียนที่เคารพเชื่อฟังคำสั่งสอน

พริบตาเดียวแปดปีได้ผ่านไป

ช่วงเวลาแปดปีหวังหลินผ่านจากอายุสี่สิบต้นๆ กลายเป็นคนที่มีอายุเกือบครึ่งร้อย เส้นผมของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว

ในแปดปีนี้หวังหลินใช้เวลาทุกเดือนไปนั่งอยู่บนเรือกับต้าฝูพร้อมกับดื่มสุราดอกบัวไปด้วย เขามักจะมารอคนผู้นั้นที่ไม่ออกมาตามข้อตกลง

ไม่เพียงแค่แปดปีนี้เท่านั้น แต่เขาทำแบบนี้ในช่วงยี่สิบปีก่อนด้วย

รวมทั้งสิ้นยี่สิบแปดปี ยี่สิบแปดครั้งของการเปลี่ยนแปลงระหว่างฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ทว่าในท้ายที่สุดเรือก็ผ่านใต้สะพาน คนผู้นั้นก็ยังไม่มา

“นายท่าน ท่านกำลังรออะไรอยู่…” ต้าฝูยังคงมีสุขภาพดีแต่เขากลายเป็นคนขี้เหนียวมากขึ้น เขามักจะมองข้อมือขวาด้วยความงุนงง พยายามนึกถึงบางอย่างแต่ก็ยังนึกไม่ออก

ใบหน้าหวังหลินแก่ขึ้นเล็กน้อย เขามองดูท้องฟ้า ค่อยๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้ากำลังรอตัวเอง…รอพบเจอกับตัวเอง”

ยังมีวิหคสีขาวหมุนวนในอากาศ มันอยู่กับหวังหลินมายี่สิบแปดปีโดยไม่เปลี่ยนแปลง

ขณะที่หวังหลินมองไป เขาเหนื่อยเล็กน้อยและเอนหลังพิงกับเรือ ขณะที่เสียงพิณดังเข้าไปในหู เขาจึงหลับลงไป เสียงเพลงดูเหมือนผสมเข้ากับความฝันทำให้เกิดเสียงพิณอยู่ในความฝันนั้นด้วย

ต้าฝูถอนหายใจและมองข้อมือขวาด้วยความสงสัย

แสงอาทิตย์ยามเย็นพอกระทบบนร่างหวังหลินช่างเบาบางและอบอุ่น ดังนั้น หวังหลินจึงหลับได้ง่าย ทว่าท่ามกลางฤดูในตอนนี้ มีใบไม้แห้งบางส่วนกำลังลอยล่องผ่านอากาศ ใบหนึ่งลอยเบาๆ ผ่านใบหน้าหวังหลินทำให้เขาลืมตาขึ้นมา

เรือยังคงล่องไปเรื่อยๆ

หวังหลินมองใบไม้แห้งที่กำลังลอยอยู่ข้างหน้าเขา พลันยิ้มออกมา

“ต้าฝู เจ้ายังจำตอนที่เราเพิ่งมาถึงเมืองซูเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนได้หรือไม่? ตอนนั้นมีใบไม้แห้งแบบนี้เช่นกันและเราก็อยู่บนเรือด้วย”

ขณะที่เขาหัวเราะ เรือลำหนึ่งได้ผ่านไป เสียงอ่อนนุ่มชวนหลงใหลของคนสองคนดังออกมาจากเรือลำนั้น

“พี่หญิง ใบไม้แห้งพวกนี้ช่างน่ารำคาญยิ่ง พอมันตกใส่ร่างทำให้น่ารำคาญไปหมด”

“หากเจ้าไม่คิดถึงมัน ก็อย่าคิดว่ามันมีอยู่สิ น้องหญิง จิตใจเจ้าไม่สงบ”

หลังจากได้ยินสองเสียงนี้ หวังหลินตกตะลึงเพราะรู้สึกเหมือนเป็นเสียงที่คุ้นเคยเล็กน้อย ราวกับเขาเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน เขายืนขึ้นและมองข้ามไปเห็นร่างสตรีสองคนที่อยู่บนเรือ

สตรีสองคนนี้เยาว์วัยและงดงามยิ่ง พวกนางยืนอยู่ท่ามกลางใบไม้แห้งมากมายราวกับเทพธิดาสององค์ สายลมพัดพาให้เสื้อผ้าทั้งสองสะบัดพลิ้ว ยิ่งทำให้พวกนางสวยงามขึ้นไปอีก

‘นั่นมัน…พวกนาง…’ หวังหลินจ้องมองเรือที่ค่อยๆ หายไป ในความคิดเขา เรือจากคืนฝนตกเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนผุดขึ้นมาในใจเขาอีกครั้ง

ขณะที่มองไป จึงเผยรอยยิ้มอ่อนโยน เขาไม่ลืมว่าตนเองมองก้อนเมฆสีดำในสายฝนเป็นเช่นไร เขามองโลกอันยิ่งใหญ่และท่องบทกวีได้อย่างไร เขายังจำความสุขเมื่อตอนนั้นได้ดี

การถูกตำหนิจากหญิงสาวนามฉีเฟยยังคงดังอยู่ในหูเขา

ความหน้าแดงและใจเต้นรัวของตัวเองที่อยู่ในเรือพร้อมกับสองสาวนั้นยังคงชัดเจนในความทรงจำไม่จางหาย เสื้อผ้าหนาที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าไม้ไผ่ เขายังเก็บมันไว้ดีและไม่เคยนำมันออกมา

หวังหลินถอนหายใจ เอามือลูบผมสีขาวของตัวเองแต่ไม่ได้เรียกพวกนาง เขานั่งอยู่ที่เดิมและดื่มด่ำไปกับรสสุรา

ในชีวิตเขาไม่เคยพบเจอหญิงสาวคนใดที่ทำให้หัวใจสั่นไหวมาก่อน นอกจากต้าฝูและสุราแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่อยู่กับเขาคือวิหคสีขาวในท้องฟ้าเท่านั้น

เขาไม่มีภรรยา ดูเหมือนใช้ชีวิตผ่านไปยี่สิบแปดปีด้วยความโดดเดี่ยว

หากมีหญิงสาวคนหนึ่งที่ทำให้หัวใจเขาสั่นไหว นั่นคงจะเป็นตอนที่เขาพบนางเป็นครั้งแรก นางชื่อว่า โจวลี่ ผู้มอบเสื้อคลุมให้กับเขา

หวังหลินพิงตัวเองกับหัวเรือและดื่มสุราไปด้วย เขามองไปที่แม่น้ำและ เห็นใบหน้าแก่ชราสะท้อนออกมา ตอนนี้เขามีผมสีขาวเยอะมาก

เรือที่สตรีสองคนอยู่ค่อยๆ เข้ามาใกล้จนกระทั่งพวกนางผ่านเรือของหวังหลินไป มันเหมือนวิถีชีวิตที่แตกต่างกันสองแบบ และทั้งสองก็เคลื่อนมาด้วยเส้นทางที่ต่างกัน

“เอ๋ พี่หญิง ข้าคิดว่าคนแก่คนนั้นกำลังมองมาที่เราด้วย” ฉีเฟยมองไปที่แผ่นหลังของหวังหลิน

เรือลอยอยู่ใต้สะพานหิน

โจวลี่หันกลับมา แววตาคมกริบของนางกวาดผ่าน ทว่าจากตำแหน่งของนางทั้งยังมีสะพานหินขวางทาง นางจึงมองไม่เห็นสิ่งใด นางไม่ใช่คนที่อยากจะตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณเพียงเพราะมีใครสักคนมองมาหรอกนะ

เรือสองลำลอยห่างกันออกจากกันไกลขึ้นเรื่อยๆ

หวังหลินนั่งอยู่บนเรือและเอ่ยขึ้นกับต้าฝู

“ต้าฝู ไปจากเมืองซูกันเถอะ ข้ารอที่นี่มายี่สิบแปดปี เราจะไม่รออีกแล้ว กลับบ้านเรากัน”

“บ้าน? บ้านอยู่ไหน?” ต้าฝูตกตะลึง

“ใต้ภูเขาเหิงยั่ว” เรือชนเข้ากับฝั่ง หวังหลินและต้าฝูลุกออกจากเรือ เขามองกลับมาที่แม่น้ำและเมืองซู ที่ที่ทั้งสองอาศัยอยู่ยี่สิบแปดปี

ตอนที่พวกเขามาถึง มันเป็นตอนที่ใบไม้แห้งเพิ่งจะเริ่มตก มีสุราเพียงไม่กี่ขวด รถม้าหนึ่งคันและเขาสองคน

ตอนที่พวกเขาจากไป มันก็เหมือนกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version