Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1604

Cover Renegade Immortal 1

1604. ในใจข้า ข้าเข้าใจ

รถม้านำทั้งสองคนและขวดสุราออกไปนอกเมืองซูโดยไม่มีใครสังเกต มุ่งหน้าไปยังทิศทางของบ้านหวังหลินอย่างช้าๆ

จนกระทั่งมืดค่ำ สตรีสองคนจากบนเรือจึงได้ออกมาเดินบนถนนเมืองซู รูปร่างหน้าตาของทั้งสองนางเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยและกลายเป็นคนธรรมดามาก

“พี่หญิง ท่านเติบโตที่นี่ นอกจากเรือแล้วมีสถานที่ไหนที่น่าสนุกอีก? เราปิดด่านบ่มเพาะไปนานจนในที่สุดก็ได้ออกมา เราต้องหาอะไรสนุกๆทำบ้าง”

“ข้าจะกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวและเจ้าต้องติดตามข้ามา ในเมืองซูไม่มีที่ให้ เล่นสนุก พรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยมมหาบัณฑิตซูต้าว เขาคือสหายของตระกูล เมื่อเจ้าไป ที่นั่นห้ามทำตัวไม่ทำเคารพ แม้เขาจะเป็นคนธรรมดา แม้แต่อาจารย์ก็ยังสุภาพกับ เขายิ่ง”

ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน บัณฑิตคนหนึ่งเดินผ่านมาได้ยินและยิ้มแย้ม เขาเห็นสตรีสองคนเป็นคนธรรมดา แต่ก็ยังหยุดลงและอธิบาย

“แม่นางทั้งสองต้องจากแคว้นจ้าวไปนาน ซูต้าวตายไปมากกว่าสิบปีแล้ว มหาบัณฑิตแห่งแคว้นจ้าวในตอนนี้ชื่อว่า หวังหลิน เขาเป็นศิษย์ของซูต้าว”

สตรีทั้งสองตกตะลึง บัณฑิตคนนั้นส่ายศีรษะและจากไปด้วยรอยยิ้ม

“หวังหลิน…หวังหลิน…อ้อ พี่หญิง ข้าจำได้แล้ว ชายชราที่มองท่านบนเรือ แม้เขาจะแก่ เขาคือบัณฑิตน้อย หวังหลิน!”

โจวลี่หยุดเดินและมองกลับไปที่ดวงอาทิตย์ตกดิน เบื้องหน้านางเป็นภาพ ชายหนุ่มหน้าแดงปรากฏขึ้นมา

“พี่หญิง พี่หญิง มีอะไรหรือ?” ฉีเฟยมองไปที่โจวลี่ราวกับนางเข้าใจบางอย่าง

โจวลี่ขบคิดชั่วครู่ก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ นางเดินไปข้างหน้ากับฉีเฟย แต่นางเดินไปได้เพียงสิบก้าวก่อนจะกัดฟันแน่นราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

“รอข้าสักครู่!” หลังจากเอ่ยจบ ร่างของโจวลี่กะพริบวูบวาบและพุ่งออกไปไกล ท่าทีฉับพลันของนางทำให้เกิดความโกลาหลรอบด้าน ผู้คนใกล้เคียงตกอยู่ในความหวาดกลัวและไม่เชื่อสายตา พวกเขาตะลึงอยู่นานก่อนจะตอบสนองได้ทัน

“เซียน!!”

“นั่นคือเซียน!!”

ฉีเฟยมองไปที่ร่างของโจวลี่ คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน นางถอนหายใจออกมาเบาๆ

สัมผัสวิญญาณของโจวลี่แผ่กระจายผ่านแม่น้ำออกไปพลางเหาะเหินอยู่บนเมืองซู แต่ในท้ายที่สุดนางก็หาร่างนั้นไม่พบ

แม้จะค้นไปทั่วทั้งเมืองซู ก็ยังเหมือนเดิม

‘เขาจากไปแล้วหรือ…’ โจวลี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง นางต้องการเห็นหวังหลินแต่โชคชะตาเล่นตลก เมื่อชีวิตทั้งสองตัดผ่านกัน จะไม่มีวันตัดผ่านกันอีกครั้งใน ชั่วเวลาสั้นๆ

นอกเมืองซูห่างออกไปหลายสิบลี้ รถม้าเคลื่อนไปตามถนน หวังหลินกำลังนั่งอยู่ในรถม้า ยอมให้สายลมพัดผ่านเขาไป

เขาดื่มสุราพลางมองออกไปนอกผ้าม่าน มองท้องฟ้าอันมืดหม่นและคิดถึงบางอย่าง แม้เขาจะไม่ได้แก่ชราแต่เขาก็ไม่เยาว์วัยอีกแล้ว ขณะที่ดื่มสุราไปเรื่อยๆ เส้นผมสีขาวอีกหลายเส้นผุดขึ้นมา

เขาเห็นวิหคสีขาวบินวนในท้องฟ้าอีกครั้งและบินไปทางบ้านพร้อมกับเขา

ตอนนี้เขาแก่กว่าเดิม ร่างกายก็ไม่ได้ดีเยี่ยมเหมือนตอนยังหนุ่ม หลังจากรถม้ากระเทือนอยู่นานจึงรู้สึกเหมือนกระดูกเริ่มแตก เขาเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง

ทั้งสองเดินทางและพักผ่อนตลอดช่วงฤดูร้อน หลังจากผ่านไปสี่เดือน หวังหลินและต้าฝูเข้าสู่พื้นที่ภายใต้ภูเขาเหิงยั่วในฤดูใบไม้ร่วง

ตอนที่หวังหลินจากมา ถนนสองข้างทางปกคลุมไปด้วยดอกไม้สีเขียวและสีแดง ตอนที่หวังหลินกลับมา ดอกไม้ส่วนใหญ่แห้งเหี่ยวและเปลี่ยนกลายเป็นสีเหลือง แม้จะไม่ได้หลุดร่วงทั้งหมด เวลานั้นก็คงอยู่ไม่ไกล

‘ยี่สิบแปดปี…’ หวังหลินมองใบหญ้าและต้นไม้รอบตัว ภาพทัศนวิสัยพร่ามัว เขานึกถึงตอนที่จากมา เขาเป็นเพียงแค่ชายหนุ่มอายุสิบเก้า แต่ตอนนี้อายุปาไปเกือบห้าสิบได้แล้ว

รถม้าค่อยๆ เคลื่อนไปตามถนนหลวงเข้าสู่หมู่บ้านอันเงียบสงบและซ่อนตัวอยู่ในภูเขา หวังหลินคุ้นเคยกับทุกอย่างที่นี่ เพราะเขาเติบโตขึ้นที่นี่

หวังหลินพาต้าฝูมายังบ้านที่เขาจากมาโดยไม่ได้ทำให้เพื่อนบ้านสนใจมากเกินไปนัก

ครอบครัวเขายังอยู่ดี แต่พ่อของเขาที่ครั้งหนึ่งเคยแข็งแรงดีกลับต้องค้ำตัวเองด้วยไม้เท้า เขายืนอยู่ตรงนั้นโดยมีแม่ของหวังหลินช่วยเหลือไม่ห่าง ทั้งสองมองมา ที่ถนน มายังเด็กที่กำลังกลับบ้าน

แม้เด็กคนนี้จะได้กลายเป็นมหาบัณฑิตแห่งแคว้นจ้าวและเป็นความภูมิใจของตระกูลหวัง สำหรับพวกเขาแล้วหวังหลินเป็นเหมือนเดิมเมื่อยี่สิบแปดปีก่อน เขายังเป็นเด็กในสายตาพวกท่าน

ตอนนี้ก็เหมือนกัน และตอนที่พวกเขาถูกพาไปที่เมืองซูก็เหมือนกัน

รถม้าหยุดลงข้างนอกลานกว้าง หวังหลินเดินลงจากรถม้าและเห็นพ่อแม่ทั้งสองของเขาทันที

หวังหลินเผยรอยยิ้มบางเบา ก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่า

“ท่านพ่อ ท่านแม่ เถี่ยจู้กลับมาแล้ว”

ต้าฝูกะพริบตาปริบๆ หลังจากลงจากรถม้า เขาก็คุกเข่าลงและกล่าวออกมาเสียงดังเช่นกัน “ท่านพ่อ ท่านแม่ ต้าฝูกลับมาแล้ว”

พ่อของหวังหลินหัวเราะ เขาเมินหวังหลินและรีบประคองต้าฝูลุกขึ้น ส่ายศีรษะและหัวเราะ “เจ้ายังคงเหมือนเดิม เจ้าดูแลหลินเอ๋อร์มาตลอด ข้าขอบคุณเจ้าแค่ไหนก็คงไม่พอ แต่อย่าไปลอกเลียนเขาล่ะ”

หวังหลินลุกขึ้นมองรอยยิ้มของพ่อแม่ สัมผัสความอบอุ่นที่มิอาจเอ่ยขึ้นมาได้พลันปรากฏขึ้นในใจ เขากอดแขนของท่านแม่ ช่วยเหลือท่านพ่อและพาต้าฝูเข้าไปในบ้าน

“เถี่ยจู้ ครั้งนี้เจ้าจะไปอีกเมื่อไร?” แม่ของหวังหลินมองดูลูกชายด้วยความรัก หวังหลินคือความภาคภูมิใจของนาง

“ยังคงเรียกเถี่ยจู้อีกหรือ? หวังหลินตอนนี้เป็นมหาบัณฑิตแห่งแคว้นจ้าวไปแล้วนะ รู้ไหมเล่าว่ามหาบัณฑิตเป็นใคร? แม้แต่จักรพรรดิก็ยังต้องเคารพ เจ้าไม่เห็นหรือว่า เจ้าเมืองเข้ามาพบตลอดทุกปี?” พ่อของหวังหลินจดจ้องไปที่ภรรยาตัวเอง

“ครั้งนี้ข้าจะไม่ไปไหน เถี่ยจู้จะพักเพื่อดูแลท่านทั้งสอง” หวังหลินมองแม่ของตัวเอง เขาเห็นศีรษะผมสีขาวของท่านแม่และรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า

การกลับมาของหวังหลินทำให้ทั้งหมู่บ้านเกิดความปั่นป่วนไปหลายวัน เพื่อนบ้านทั้งหมดต่างรุดหน้าเข้ามาเพราะอยากเห็นมหาบัณฑิตแห่งแคว้นจ้าวที่ทำให้ทุกคนรู้สึกภูมิใจ

แม้กระทั่งบัณฑิตและเจ้าหน้าที่จากเมืองใกล้เคียงยังรุดหน้าเข้ามาเพื่อหวังจะเรียนรู้สักครั้งในชีวิต ซึ่งพวกเขาเป็นญาติพี่น้องจากตระกูลหวัง

หลายวันที่ผ่านมานี้พ่อของหวังหลินเปล่งรัศมีและยืนตัวตรง สิ่งที่เขาภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตคือลูกชาย มหาบัณฑิตแห่งแคว้นจ้าว

ตอนที่เขาเห็นคนมากหน้าหลายตาเข้ามา พ่อของหวังหลินยิ่งรู้สึกภูมิใจมากไปอีก เขานำเงินเพื่อออกมาตระเตรียมงานเลี้ยงในหมู่บ้าน

เดิมทีงานเลี้ยงในหมู่บ้านนั้นเรียบง่าย แต่ด้วยเหตุที่มีคนเข้ามาจำนวนมากจึงกลายเป็นงานเลี้ยงหรูหรา พ่อของหวังหลินได้นำพ่อครัวจากเมืองใหญ่พร้อมด้วยวัตถุดิบและลงมือทำเองทั้งหมด

หวังหลินเห็นว่าท่านพ่อมีความสุขจึงไม่ได้เอ่ยอะไร ด้วยนิสัยของหวังหลินแล้วปกติเขาคงไม่ต้องการจัดงานเลี้ยงและเสนอให้ทำตัวเงียบๆ…

แต่ในเมื่อครอบครัวมีความสุข เขาก็แค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้น

ตระกูลหวังทั้งหมดมาเยี่ยมหวังหลิน ทั้งหมดให้ความเคารพต่อหวังหลิน เพียงแค่หวังหลินพยักหน้ามาก็ทำให้พวกเขาตกตะลึงแล้ว

ท่ามกลางเหล่าญาติพี่น้อง มีทั้งลุงที่แก่ชรา หัวหน้าตระกูลและคนรุ่นเดียวกับเขา

ขณะที่หวังหลินเห็นแบบนี้ เขารู้สึกเหมือนเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนในความฝัน เพียงแต่เรื่องในความฝันแตกต่างกันมหาศาล

ช่วงพลบค่ำ ครอบครัวของหวังหลินดูเหมือนจะเหน็ดเหนื่อย งานเลี้ยงค่อยๆ จบลงพร้อมกับทุกคนแยกย้ายกันไปในวันถัดมา หมู่บ้านกลางภูเขาจึงสงบเงียบอีกครั้ง

“เถี่ยจู้ เจ้าไม่ใช่คนหนุ่มอีกแล้ว ทำไมเจ้าไม่แต่งงาน…อาา” พ่อของหวังหลินเมาไปเล็กน้อยและพึมพำสองสามประโยค จากนั้นก็ถอนหายใจและไม่พูดอะไรอีก

จากนั้นหวังหลินมองดูพระอาทิตย์ขึ้นและตกในหมู่บ้านที่ตัวเองเติบโตขึ้นมา เขาเฝ้าดูวันเดือนผ่านไปในแต่ละปี

ห้าปีต่อมาในฤดูใบไม้ร่วงปีที่สามสิบสามนับตั้งแต่ที่หวังหลินออกไปจากบ้านเกิด ใบไม้ร่วงถูกพัดมากับสายลมและส่งเสียงกรอบแกรบ พ่อของหวังหลินนอนอยู่ บนเตียง กุมมือหวังหลินเอาไว้ ในแววตามีความโศกเศร้าแต่สังเกตได้ว่าเป็นความ โล่งอกและภูมิใจ

“เถี่ยจู้ ชีวิตของพ่อกลายเป็นชีวิตที่น่าจดจำก็เพราะเจ้า…พ่ออ่านหนังสือไม่ได้ แต่พ่อเจอคนที่รวบรวมหนังสือของเจ้าและอ่านให้พ่อฟัง เจ้าพูดไว้ครั้งหนึ่งว่าวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดก็เหมือนสี่ฤดู พ่อจำได้…” พ่อของหวังหลินยิ้มออกมา แต่ภายใต้รอยยิ้มนั้น ภายใต้ความภูมิใจและโล่งอกนั้น หวังหลินยังสัมผัส ความหวาดกลัวรุนแรงได้…

เขากลัวความตาย กลัวที่จะไม่ได้เห็นคนที่ตัวเองรัก กลัวที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวและไม่รู้ว่าตายไปแล้วจะไปไหน เขาจึงกุมมือหวังหลินเอาไว้ราวกับเป็นชีวิตของเขา เป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขา เป็นคนสุดท้ายที่เขาสามารถพึ่งพาได้

ประกายแสงในแววตาหม่นมอง เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ทำอะไรไม่ถูก

“ท่านพ่อไม่ต้องกลัว ข้าจะอยู่ข้างๆท่าน” เส้นผมมากกว่าครึ่งของหวังหลินเป็น สีขาวและมองพ่อของตัวเองด้วยสายตาโศกเศร้า เขากุมมือท่านแม่ยกมาข้างหน้า หวังหลินค่อยๆ กอดร่างอันบอบบางของพ่อไว้ในอ้อมแขน

“ท่านพ่อ ท่านมีข้า ไม่ต้องกลัว ท่านมีข้า”

“ท่านพ่อ ท่านยังจำของขวัญวันเกิดที่ท่านมอบให้ข้าได้หรือไม่? ม้าแกะสลัก ตัวน้อยนั่น ข้าพบมันแล้ว…”

“ท่านพ่อ…”

ณ ลานด้านนอกบ้าน ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะอยู่ในหมู่บ้านมามากกว่า ร้อยปีได้เปล่งสัมผัสแห่งความเก่าแก่ ใบไม้ส่วนใหญ่ของมันถูกพัดไปกับสายลม แต่ยังมีหนึ่งใบที่ยังห้อยอยู่บนนั้น สายลมกระแทกใส่ใบไม้ ใบไม้หมดความแข็งแกร่ง ท้ายที่สุดมันก็หลุดร่วงและร่อนลงในห้องของตระกูลหวัง

พ่อของหวังหลินไม่กลัวอีกแล้ว เขาค่อยๆ หลับตา สูญเสียลมหายใจสุดท้าย และตายในอ้อมแขนของลูกชาย

ใบไม้จากต้นไม้ดูเหมือนจะได้รับวิญญาณและลอยออกไปไกลแสนไกล

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version