1605. หลิวเหมย
สองปีหลังจากท่านพ่อจากไป แม่ของหวังหลินก็หลับลึกและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย นางมีใบหน้าเปี่ยมสุขราวกับเจอพ่อของหวังหลินในความฝัน ทั้งคู่พบกันและไม่อยากกลับมา
คนผู้หนึ่งที่กอดเจ้ายามที่เจ้ายังเป็นทารก ไม่ว่านางจะเหนื่อยสักแค่ไหนก็ยังคงกระซิบข้างหูจนเจ้าหลับไปและไม่ร้องไห้อีก
คนที่กังวลตอนที่เจ้าฉี่รดที่นอนและกลัวว่าเจ้าจะหนาว นางยอมไม่หลับและ ตื่นขึ้นมาทุกครั้งตลอดคืนเพื่อตรวจดูว่าเตียงของเจ้าเปียกหรือไม่
คนที่อดทนต่อความอ่อนเพลียของตัวเองเพื่อปลุกเจ้ามาทำอาหารเช้าให้ เพื่อเจ้าจะได้ไม่หิวตอนที่โตขึ้นและออกไปเรียน
คนที่กินหัวและหางปลาหลังจากรู้มาว่าเจ้าชอบกินปลา เมื่อเจ้ายิ้มและถามว่าทำไมแม่ไม่กินเนื้อปลาบ้างเล่า นางก็จะยิ้มและตอบว่าชอบกินหัวและหางปลามากกว่า เจ้าเชื่อนาง
คนที่ซ่อมเสื้อผ้าให้เจ้าเมื่อเจ้าเติบใหญ่ แต่งแต้มจุดสีแดงบนด้ายเพื่อให้มองเห็นยากๆ
เป็นคนที่ยังมองเจ้าด้วยสายตาแบบเดียวกันหลังจากที่เจ้าเติบโตขึ้น นางมองเจ้าอย่างเงียบๆ มีความสุขอย่างเงียบๆ ยิ้มอย่างเงียบๆ จนกระทั่งนางหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อนไปอย่างเงียบๆ
คนคนนี้ถูกเรียกกันว่า “แม่”
มีคนหนึ่งตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ยกเจ้าขึ้นสูงในอากาศจนบดบังดวงอาทิตย์และกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเขา
เป็นคนที่สอนเจ้าหัดเดินและยังล้มคลาน กุมมือเจ้า หัวเราะไปด้วยกันพร้อมกับช่วยเจ้าก้าวเดินครั้งแรกในชีวิต
เป็นคนที่กุมมือเจ้าเดินขึ้นภูเขา ล่องไปในสายนำพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุขไปด้วยกัน เป็นคนที่เจ้ามองขึ้นไปแล้วรู้สึกว่าเขาคือภูเขา เขาคือท้องฟ้า
เป็นอีกคนที่เห็นเจ้าคิดอย่างเคร่งเครียดตอนที่แม่บอกว่าชอบกินหัวปลาและหางปลา จากนั้นก็เห็นเจ้าทิ้งหัวและหางปลาไว้ให้แม่ เขายังได้แต่นั่งมองภรรยาตัวเองด้วยสายตาเชิงขอโทษและอ่อนโยน
เป็นอีกคนที่เข้มงวดให้เจ้าเติบโตและแทบทำให้รู้สึกน่าเบื่อ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าโตขึ้นก็จะค่อยๆ เห็นความรักที่เจ้ามิอาจมองเห็นในสายตาเข้มงวดคู่นั้นได้
เป็นอีกคนที่นอนบนเตียงด้วยสายตาที่ค่อยๆ ปิดลงแต่เต็มไปด้วยความกลัวและช่วยไม่ได้ อย่างไรก็ตามคำพูดปลอบประโลมและอ่อนโยนทำให้เขาเหมือนเด็ก เหมือนตอนที่เขาเป็นหนุ่มและยกเจ้าขึ้นไปในอากาศ เขาไม่รู้สึกกลัวและทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว แต่เป็นความอบอุ่นยามที่ตายในอ้อมแขนเจ้า
เขาคนนี้ถูกเรียกว่า “พ่อ”
หวังหลินนั่งอยู่ตรงหน้าหลุมศพของพ่อแม่ หยาดน้ำตาไหลรินเป็นสาย เขาหัวเราะและร้องไห้ ความทรงจำมากมายถูกสลักไว้ในใจและไม่มีวันลืมพวกท่าน เขาไม่ดื่มสุราแต่ตอนนี้ราวกับเมาไปแล้ว
ในความฝันของเขา ในอีกชีวิตหนึ่งนั้น เขาไม่สามารถไว้อาลัยให้ท่านพ่อท่านแม่ได้ เขาไม่สามารถโอบกอดร่างของท่านพ่อตอนที่เขาเสียชีวิตได้ เขาไม่สามารถจูบหน้าผากท่านแม่ก่อนที่นางจะหลับได้
ในชีวิตนี้ เขาสามารถทำเช่นนั้นได้
หากเป็นชายที่มีภรรยาและลูก เมื่อนั้นแม้ความเจ็บปวดของการสูญเสียพ่อแม่ จะรุนแรง เขาก็ยังมีคนที่พึ่งพิง แต่หากเป็นชายที่ไม่มีภรรยาและลูก ความโศกเศร้านี้แทบห่อหุ้มไปทั้งโลก
ตั้งแต่นี้ไป ไม่มีการปลอบประโลมไหนที่จะสามารถทำให้วิญญาณเขาอบอุ่นขึ้นมายามเหนื่อยล้า
ตั้งแต่นี้ไป จะไม่มีรอยยิ้มไหนที่จะสลายความเศร้าใจตอนที่เขารู้สึกโดดเดี่ยว
ตั้งแต่นี้ไป ในโลกใบนี้ มีเพียงร่างเขาที่มองดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตกอย่างโดดเดี่ยวและเงียบงัน
หวังหลินดูแลหลุมศพท่านพ่อท่านแม่เป็นเวลาสามปี จนกระทั่งเส้นผมของเขาเป็นสีขาวทั่วศีรษะ ร่างกายไม่ตั้งตรงอีกแล้วแต่โค้งงอเล็กน้อย ร่างกายเปล่งกลิ่นอายเก่าแก่และมีร่องรอยแห่งอายุ
‘สามสิบแปดปี…’ บนใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่น ตอนนี้เขาเป็นชายชราที่มีอายุเกือบหกสิบปี
ต้าฝูแก่ยิ่งกว่า เขาถือไม้เท้าและยืนด้านหลังหวังหลิน เขามองไปที่ข้อมือขวาอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นสักพักจึงพยักหน้าช้าๆ
“ชีวิต สามสิบแปดปี…ข้าไม่รู้เรื่องอื่น แต่สำหรับข้า มันไม่ควรมีครั้งที่สอง” หวังหลินกระซิบพลางคุกเข่าลงเบื้องหน้าหลุมศพของท่านพ่อท่านแม่ และโขกคำนับ
“เจ้ายังจำอารามเก่านั่นได้หรือไม่…” หวังหลินลุกขึ้นมองต้าฝูที่ดูเหมือนไม่สามารถเดินไปได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว
“ในอารามนั่น ข้าพูดว่าข้าขาดคนติดตามและเจ้าก็ติดตามข้า” หวังหลินเผยรอยยิ้มพลางมองต้าฝู ตลอดสามสิบแปดปีมานี้ต้าฝูอยู่กับเขามาโดยตลอด
“ต้าฝูยังเป็นคนติดตามได้” ต้าฝูกรอกสายตาและยิ้มออกมา
“เจ้าแก่และข้าก็แก่…แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้าอยากทำ…ต้าฝู ช่วยข้าดูแลที่บ้านด้วย รอข้า รอข้ากลับมา” หวังหลินมองไปที่ท้องฟ้าและเห็นวิหคสีขาว
“ข้ายังขาดความเข้าใจในโลก ข้าอยากใช้เวลาที่เหลือของชีวิตไปยังแคว้นที่แตกต่างบนดาวซูซาคุ เมื่อข้ากลับมา บางทีข้าคงไม่เข้าใจอะไรเลย หรือบางทีข้าก็คงเข้าใจขึ้นมาบ้าง”
ในฤดูใบไม้ผลิปีที่สามสิบแปด หวังหลินออกไปจากหมู่บ้านกลางภูเขาด้วยตัวเอง ต้าฝูพักอยู่ที่บ้านหวังหลินเพื่อรอเขากลับมา บางทีคงอีกเป็นสิบปี บางทีคงสักยี่สิบปี หรือบางทีคงใช้เวลาทั้งชีวิต
หวังหลินนั่งอยู่ในรถม้าและดื่มสุราพลางออกไปจากภูเขาเหิงยั่ว หลายเดือนต่อมารถม้าจึงมาถึงชายแดนของแคว้นจ้าว พอหวังหลินลงรถจึงปลดคนขับรถม้าและสูดหายใจลึก เขามองกลับไปที่แคว้นจ้าวและก้าวไปข้างหน้า ข้ามผ่านชายแดน
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาออกมาจากแคว้นจ้าว เขาไม่รู้ว่าอนาคตจะนำทางไปที่ไหน แต่เขาไม่คิดมาก เขารู้แต่เพียงว่ามีถนนอยู่ใต้ฝ่าเท้าเท่านั้น
ขณะก้าวผ่าน ลำแสงหลายเส้นลอยผ่านด้านบน เขาไม่ได้มองขึ้นไปแต่เดินไปข้างหน้าอย่างสงบนิ่ง
เสียงเบาบางดังออกมาจากลำแสงเบื้องบน มาจากหญิงสาวงดงามท่ามกลาง เหล่าเซียน นอกจากความดงามของนางแล้วนางยังมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง และเสน่ห์นี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาแต่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
นางหยุดกลางอากาศและมองลงมาที่หวังหลินผู้กำลังเดินออกไป คิ้วของนางขมวดเข้าด้วยกันและมีสายตางุนงง
“มีเรื่องอะไร ศิษย์น้องหลิว?” เซียนด้านข้างนางเอ่ยปากด้วยความประหลาดใจ
“ไม่มีอะไร พวกท่านกลับไปที่สำนักก่อน ข้ามีเรื่องส่วนตัว” นางเอ่ยขึ้นเบาๆ นางไม่ให้ความสนใจพวกเขาอีกและทะยานลงมา
เซียนที่เอ่ยขึ้นตกตะลึงและกำลังจะตามไป
“ศิษย์พี่ ข้าอยากไปคนเดียว” นางเอ่ยเสียงเบาๆ แต่มุ่งมั่น เซียนคนนั้นหยุดลงและขบคิดเล็กน้อย จากนั้นตามไปพร้อมกับกลุ่มที่เหลือซึ่งก็ประหลาดใจเช่นกัน
หวังหลินหยุดลงและหันกลับมา มองท้องฟ้าและเห็นแสงงดงามเข้ามาใกล้ แสงนั้นหยุดห่างจากเขาไปร้อยฟุต เปลี่ยนกลายเป็นหญิงสาวงดงามชุดม่วง
นางงดงามเป็นอย่างยิ่ง ความงามของนางเป็นสิ่งที่หวังหลินไม่เคยพบไม่เคยเห็นในชีวิต นางสวยงามมากกว่าโจวลี่หลายเท่า
อย่างไรก็ตามหวังหลินไม่ได้ตกอยู่ในความสับสน เขามองทุกอย่างออกและแสวงหาความจริงแท้ของโลกนี้ เขามีความคิดของตัวเอง ในสายตาเขาแม้นาง จะงดงาม เมื่อหลับตา นางก็ไม่ต่างจากสตรีคนอื่น
นางมองหวังหลินที่แก่ชรา เส้นผมขาวและใบหน้าริ้วรอย มองดวงตาเปล่งประกายของเขา หลังจากนั้นสักพักจึงโค้งตัวเล็กน้อย
“ผู้อาวุโส ข้าเห็นท่านเมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนนี้เราได้เจอกันอีกเป็นครั้งที่สอง ท่านยังจำข้าได้หรือไม่?”
หวังหลินมองสตรีเบื้องหน้าและเริ่มคิด สักพักจึงยิ้มและส่ายศีรษะ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าลืมไปแล้ว”
“ในเมื่อท่านลืมก็ปล่อยให้เป็นเรื่องลืม ผู้อาวุโส ข้าไม่รู้ว่าทำไมแต่ข้ามักจะรู้สึกมาเสมอว่าเราเคยเจอกันที่ไหนสักแห่งมาก่อน ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ แต่ครั้งก่อนนี้ก็ด้วย ข้าอยากรู้ว่า ท่านชื่อว่าอะไร?” นางเอ่ยขึ้นเบาๆ พร้อมรอยยิ้ม
หวังหลินเอ่ยตอบอย่างสงบนิ่ง “ข้าชื่อว่า หวังหลิน”
“หวังหลิน?” นางขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
“ท่านใช่มหาบัณฑิตแห่งแคว้นจ้าว หวังหลิน?”
“ข้าเอง” หวังหลินพยักหน้า สายตาเปล่งสัมผัสเก่าแก่ สายตาแห่งความล้ำลึกราวกับเป็นการมองโลก
“ข้าต้องจำอะไรผิดไป…” นางคิดอยู่นานและคิดไม่ออกถึงความรู้สึกอันคุ้นเคยนี้มาจากไหนและความเจ็บปวดที่ดุจแมลงกัดต่อยโผล่ออกมาด้วย นางมองหวังหลินและไม่เข้าใจว่าทำไมความรู้สึกนี้ถึงรุนแรงเมื่อมองเขา ใบหน้าแก่ชราของเขาทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดในใจและเป็นความเศร้าที่มิอาจพูดได้
“ขออภัย ลาก่อน” นางถอนหายใจ หันกลับมาด้วยสายตางุนงงและเจ็บปวดในหน้าอก
หวังหลินกล่าวเบาๆ “ข้าสงสัยว่า แม่นางชื่ออะไร?”
นางหยุดลงและหันกลับมา “หลิวเหมย” เบื้องล่างแววตาอันงดงาม นางเผยรอยยิ้มสุดสวยที่ทำให้หัวใจผู้คนต้องหยุดชะงัก หลังจากลังเลเล็กน้อยจึงนำเม็ดยาออกมาจากกระเป๋า
“ท่านกำลังแก่ขึ้น เม็ดยานี้สามารถช่วยท่านรักษาพลังงานไว้ได้ มันคือโชคชะตาที่เราเจอกัน ดังนั้นนี่จึงเป็นของขวัญที่ข้ามอบให้ ลาก่อน” หลิวเหมยวางเม็ดยาลงไป ก้อนเมฆผุดขึ้นใต้ฝ่าเท้า นางลอยเหินขึ้นไปในอากาศดูงดงามยิ่ง
‘จะเป็นชาติที่แล้วหรือเป็นความฝัน…หรือไม่มีอะไรเลย…หลิวเหมย หลิวเหมย…สตรีจากความฝันที่ทำให้ข้าตื่นขึ้นจากความเจ็บปวด…’ หวังหลินมองเม็ดยา ซ่อนงำความคิดไว้เป็นอย่างดี
ผ่านไปสักพักจนกระทั่งนางไปได้ไกลแล้ว หวังหลินจึงหันมองขึ้นไป ใช้พลังทั้งหมดของตัวเองเปล่งเสียงคำราม
“หลิวเหมย เจ้าต้องจำไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชีวิตหน้าหรือเกิดใหม่หรือในความฝัน อย่าเข้าใกล้เซียนชื่อ ‘หวังหลิน!’ อย่าไปรู้จักเขา อย่าเข้าใกล้เขา…”
หลิวเหมยจากไปแล้วและหวังหลินไม่รู้ว่านางได้ยินหรือไม่ เขาใช้พลังทั้งหมดจนเสียงแหบพร่าและไม่มีร่องรอยของลำแสงนั้น