Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1606

Cover Renegade Immortal 1

1606. แขกจากเฉว่ยี่

หวังหลินไม่รู้ว่าคำพูดเขามีประโยชน์หรือไม่ แม้แต่เขาก็ตกอยู่ในสภาวะงุนงงสับสน ผ่านไปสักพักจึงหยิบเม็ดยาขึ้นมา ถอนหายใจและเดินต่อไป

เขาเดินไปอยู่บนดาวซูซาคุด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่ได้พักที่ใดที่หนึ่งแต่ผ่านภูเขาและแม่น้ำด้วยความเข้าใจในโลก เดินผ่านจากแคว้นหนึ่งสู่อีกแคว้นหนึ่ง

หลายปีผ่านไปและหวังหลินก็ได้กลืนเม็ดยานั้น เม็ดยามอบพลังงานอันเปี่ยมล้นและให้ความแข็งแกร่งเพื่อเติมเต็มความต้องการเดินทางในโลกใบนี้

ระหว่างทางเขาเห็นใบหน้าคนที่ไม่รู้จักมากมาย บางคนใจดี บางคนเหี้ยมโหด บางคนสับสนและบางคนก็ดื้อรั้น

เขาเจอเจอโจรเช่นกัน แต่ทุกครั้งที่เจอแค่เพียงยืนอย่างมั่นคง พวกนั้นก็จะสัมผัสกลิ่นอายแห่งอำนาจออกมาจากเขา

หวังหลินทำให้เซียนหวาดกลัวได้ อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย

ยิ่งเดินใบหน้าก็ยิ่งแก่ขึ้น แต่แววตาเป็นประกายเจิดจ้าแฝงปัญญาและความเข้าใจอันไร้ที่สิ้นสุด ทำให้ความคิดของเขาเกิดใหม่และพัฒนา

เขาไปหลายเมืองและเจอคนมากหน้าหลายตา ไปที่เมืองหลวงหลายแห่ง ท่ามกลางเหล่าเมืองหลวงและข้าราชการ กลิ่นอายและคำพูดของหวังหลินได้ทำให้ผู้คนค่อยๆ เคารพเขา

เขาเจอจักรพรรดิหลายคนที่สุขสมกับสถานะสูงส่ง ในสายตาเขาคนพวกนี้ล้วนเหมือนกัน

ไม่มีอะไรแตกต่าง

ไม่ใช่ว่าไม่มีคนต้องการชีวิตเขา แต่ทุกคนที่เข้ามาก็จะจบลงด้วยการถอยออกไปด้วยความกลัวต่อหน้าหวังหลิน

ณ แคว้นหวู่ ในวังที่รายล้อมไปด้วยทหารหลายพันนาย หากจักรพรรดิออกคำสั่ง กองทัพก็จะเคลื่อนไหว เขาต้องการให้หวังหลินพำนักและกลายเป็นมหาบัณฑิตของแคว้นหวู่

แต่ท้ายที่สุดหวังหลินก็ยิ้ม ส่ายศีรษะและจากไป สายฟ้าสั่นสะเทือนในท้องฟ้าจนเปลี่ยนสี ทหารหลายพันนายไม่กล้าขัดขวางเขา หลังจากออกไปทั้งหมดได้แต่ ทำความเคารพ

ในแคว้นซุน จักรพรรดิซุนและประชากรมากมายติดตามหวังหลินออกมาส่งเขาไกลถึงหลายพันลี้

ในแคว้นสุนัขสวรรค์ มีคนชั่วร้ายมากมาย แต่ท้ายที่สุดตอนที่หวังหลินจากไป เขาได้ทำให้คนหลายหมื่นคนรวมตัวกัน

ขณะเดินไป ชื่อของ “มหาบัณฑิตหวังหลิน” ได้ขจรขจายไปบนดาวซูซาคุ พายุลูกนี้รุนแรงและเป็นที่จดจำของคนนับไม่ถ้วน

ระหว่างทางหวังหลินได้เห็นภูเขามากมาย เขายืนอยู่บนภูเขาและมองมาที่โลก สัมผัสถึงอำนาจของมัน เขาเองก็พบเจอเซียนหลายคน ทั้งคนที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย

บนดาวซูซาคุ มีหลายสำนักที่อยู่ในแคว้นเซียน หลายคนสร้างสำนักขึ้นมาในภูเขาอันสวยงาม แต่บางส่วนก็สร้างขึ้นในพื้นที่อันตรายเช่นกัน

ทุกภูเขาที่เขาผ่านไป หากหวังหลินต้องการ เขาสามารถเดินเข้าไปในพื้นที่ของสำนักด้วยสัมผัสทางใจโดยไม่ได้ตั้งมั่นค้นหา

แม้พลังของค่ายกลป้องกันสำนักจะมีหลากหลาย แต่ไม่มีอันใดที่สามารถหยุดหวังหลินได้ เขาพบว่าเมื่อเหล่าเซียนที่อยู่ในสำนักตรวจเจอถึงกับตกตะลึง

แม้กระทั่งผู้อาวุโสที่ปิดด่านบ่มเพาะมานานหลายปีก็ยังตื่นขึ้นมาเนื่องด้วย กลิ่นอายทรงพลังที่โผล่ออกจากร่างหวังหลิน

หวังหลินเข้ามาอย่างสงบและจากไปอย่างสงบนิ่ง เขาเพียงแค่มองภูเขา สุขสมกับทัศนียภาพและเข้าใจโลก สำหรับคนอื่น ทั้งหมดนี้ก็เหมือนกัน

แม้กระทั่งในโลกแห่งเซียน ชื่อเสียงของมหาบัณฑิตหวังหลินก็ยังแพร่กระจายอย่างช้าๆ เหล่าเซียนรู้ว่าบนดาวซูซาคุ มีมหาบัณฑิตผู้หนึ่งที่แม้แต่เหล่าเซียนเองยังรู้สึกหวาดกลัวและเคารพ

พวกเขาไม่ได้กลัวพลังอำนาจแต่กลัวที่ความคิด!

“ไม่ว่าจะเป็นเซียนหรือคนธรรมดา ทั้งหมดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นไปเรื่อยๆ…” หวังหลินทิ้งคำพูดบางส่วนนี้ไว้ทุกที่ที่เขาไป

ท่ามกลางเหล่าเซียน มีหลายคนได้คุยกับเขาและเกิดการเข้าใจและรู้แจ้ง พวกเขาได้สร้างเขตแดนของตัวเองขึ้นมาและบรรลุขั้นตัดวิญญาณได้ แม้แต่คนที่บรรลุไปแล้วหรือระดับสูงกว่าก็ยังออกมาคุยกับเขาและตกตะลึงกับคำพูดของเขาด้วย

แต่ละปีได้ผ่านพ้นไป พริบตาเดียวมันผ่านไปถึงสิบสองปี

ในระหว่างสิบสองปีนี้ หวังหลินไปมาแล้วหลายที่ ชื่อเสียงของเขาแผ่กระจายไปยังหลายที่ที่ไม่เคยไปโดยไม่รู้ตัว

สิบสองปีก่อนเขาออกมาจากแคว้นจ้าวด้วยตัวเอง สิบสองปีต่อมาเขายังคงเดินข้ามผ่านดาวซูซาคุอย่างโดดเดี่ยว

ในวันนี้ขณะที่หิมะตก หวังหลินมาถึงเมืองหลวงของแคว้นที่เขาเองก็ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ แคว้นแห่งนี้ใหญ่มากกว่าแคว้นจ้าวสามเท่า

หวังหลินมาที่เมืองหลวงแห่งนี้ในความฝัน เขายืนอยู่ด้านนอกประตูและเกิดใบหน้าเศร้าใจขึ้นมา

เขากระชับเสื้อคลุมให้แน่นและเข้าเมืองไป

พอเดินบนหิมะที่อยู่บนพื้น หวังหลินเข้าสู่ถนนอันเงียบสงัดในเมืองนี้ สองข้างทางมีร้านค้าแต่มีลูกค้าน้อยคนมาก

พอมองสถานที่อันคุ้นเคย ภาพจากในความฝันยิ่งชัดเจนขึ้น ราวกับความฝันของเขาทับซ้อนกับภาพที่เห็นในตอนนี้ หวังหลินเข้าสู่ภวังค์พร้อมกับเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

ตึง ตึง…ตึง…เสียงตีเหล็กดังออกมาไกล หวังหลินมองเข้าไปและเห็นร้านตีเหล็กแห่งหนึ่งด้วยสายตาที่แก่ชราของเขา

ในร้านนี้มีชายวัยกลางคนเปลือยท่อนบนกำลังถือค้อนและตีท่อนเหล็ก

แม้ว่าหิมะกำลังตก ชายคนนี้ดูไม่รู้สึกหนาวเลย เขากวัดแกว่งค้อนต่อไปจนเกิดเสียงเช่นนั้น

ด้านข้างชายคนนั้นมีเก้าอี้เล็กๆ ที่มีเด็กชายอายุเจ็ดถึงแปดขวบนั่งอยู่ เด็กน้อยสวมชุดฝ้ายหนาๆ ใบหน้าสะอาดสะอ้านและมองดูชายตรงหน้าอย่างตื่นเต้น

“ต้าหนิว…” หวังหลินมีแววตาพร่ามัวและส่ายศีรษะช้าๆ เด็กน้อยเบื้องหน้าเขาไม่ใช่ต้าหนิวจากความฝัน

“ผู้อาวุโส ท่านยืนอยู่ข้างนอกมานาน เข้ามาข้างในสิ จะได้อุ่นๆ” ชายวัยกลางคนวางค้อนและปาดเหงื่อ เขาหันมาหาหวังหลินที่อยู่นอกร้านและยิ้มแย้ม

หวังหลินตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาเข้าไปในร้านตีเหล็ก อากาศร้อนๆ ทำให้หิมะบนร่างเขาละลาย

“ภรรยา นำอาหารและสุราอุ่นมาด้วยนะ” ชายคนนั้นวางเสื้อ พอเห็นหวังหลินมีอายุมากจึงช่วยหวังหลินนั่งลงและนั่งข้างๆหวังหลิน

ชายคนนั้นยิ้ม “ผู้อาวุโสไม่ใช่คนท้องถิ่นใช่ไหม?”

หวังหลินมองมาที่ร้านและเอ่ยเสียงเบาๆ “ข้ามาที่นี่ครั้งหนึ่ง ตอนนี้ผ่านมาที่นี่ อีกครั้งจึงได้แวะมาดูรอบๆ”

เด็กชายอายุเจ็ดถึงแปดขวบได้มองหวังหลินด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอได้ยินเสียงแม่เรียกจึงลุกขึ้นวิ่งไปหา ไม่นานหลังจากนั้นมีหญิงวัยกลางคนเข้ามาพร้อมกับขวดสุรา นางดูใสบริสุทธิ์และรินสุราหนึ่งจอกให้หวังหลินด้วยแววตาเสียดาย

“ผู้อาวุโส อากาศที่นี่หนาวเหน็บ ดื่มสุราสักจอกเพื่ออบอุ่นร่างกาย ท่านมาที่นี่เพื่อเจอญาติหรือ?”

หวังหลินยิ้มแต่ไม่ตอบ เขาหยิบจอกสุราขึ้นมาจิบก่อนจะดื่มไปทั้งหมด

“ผู้อาวุโส สุราของตระกูลเซิ่งนั้นเยี่ยมยอดใช่ไหม ฮ่าฮ่า ปู่ของข้าไม่ใช่ช่างตีเหล็กแต่เป็นคนขายสุรา แต่กลับเป็นข้าที่เปิดร้านตีเหล็กขึ้นมา”

ชายวัยกลางคนหยิบจอกของตัวเองขึ้นมาดื่มและหัวเราะ

เปลวเพลิงในร้านรุนแรงและตัดกับอากาศที่มีหิมะข้างนอก บังคับให้ความหนาวเย็นจากหิมะให้ออกไป

หวังหลินนั่งดื่มสุราของตระกูลเซิ่ง เขาบอกไม่ได้ว่านี่มันเป็นความฝันหรือไม่

ผ่านไปสักพักเมื่อหิมะเบาบางลง หวังหลินจึงลุกขึ้นและกล่าวลา ชายวัยกลางคนรู้สึกสงสารหวังหลินจึงได้มอบสุราให้เขาบางส่วนเพื่ออบอุ่นร่างกาย

พอหวังหลินจากไปท้องฟ้าก็มืดแล้ว แต่ต้องขอบคุณหิมะที่ทำให้พื้นดินเป็นประกายจนเขามองเห็นไกลๆ ขณะเดินไป แสงจากร้านตีเหล็กจึงหายวับจากด้านหลัง เขาเดินออกไปไกลยิ่งขึ้นพร้อมกับแสงดวงจันทร์ส่องให้เงาเป็นทางยาว

หลังจากพักผ่อนได้ชั่วครู่ หวังหลินดูเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง เขายังเดินผ่านดาวซูซาคุและไปอีกหลายที่ ตอนนี้เป็นปีที่สิบห้าแล้วนับตั้งแต่ที่หวังหลินออกมาจากแคว้นจ้าว หวังหลินในยามนี้มีอายุเจ็ดสิบต้นๆ

กระดูกสันหลังของเขาโค้งงอมากขึ้น ร่างกายบ่งบอกว่าชราภาพ แต่แววตาเป็นประดายดุจดวงตะวัน ไม่มีใครกล้ามองตาเขา แววตาของเขามีเวรกรรม มีชีวิตและความตาย มีจริงเท็จ…แม้กระทั่งซูต้าวที่เป็นอาจารย์ยังไม่มีอารมณ์เช่นนี้

ในฤดูร้อนปีที่สิบห้า ในแคว้นประหลาดแห่งหนึ่งมีสายฝนโปรยปราย หวังหลินยืนอยู่ในตำหนักแห่งหนึ่งข้างถนน เขามองสายฝนข้างนอกและสัมผัสได้ถึงทะเลที่ห่างออกไปไกลได้เลือนลาง

ทะเลแห่งนั้นกว้างใหญ่ มันคั่นกลางระหว่างสองทวีป

อีกด้านหนึ่งของทะเลมีแคว้นอีกหลายแห่ง ที่นั่นเป็นสถานที่สุดท้ายที่หวังหลินต้องการไป อีกชีวิตหนึ่งของเขามีสตรีผู้หนึ่งที่เขาตกหลุมรัก เขาต้องไปดู

สายฝนตกลงมาจนก่อเกิดเป็นเส้นสาย โลกพร่ามัวจนเขามองเห็นแต่เพียงเค้าโครงคร่าวๆ หวังหลินมองไปที่ฝน ฟังเสียงของมันและหลับตาไปด้วย

ขณะที่หลับตา ร่างสตรีผู้หนึ่งก้าวเดินเข้ามาจากระยะไกล นางดูเหมือนจะห่อหุ้มด้วยกลิ่นอายเย็นเยียบ ยิ่งนางเข้ามาใกล้ยิ่งมีเสียงแตกร้าวดังกึกก้องและมีสายฝนเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง

นางอุ้มทารกซึ่งห่อด้วยผ้าห่มหนาๆ ไม่มีสายฝนใดตกใส่ทารกและทารกนั้นยังคงหลับใหล

นางหยุดเบื้องหน้าตำหนัก นางอายุประมาณวัยกลางคนแต่ใบหน้ายังคงงดงามและเนียนละเอียด อย่างไรก็ตามกลิ่นอายเย็นเยียบของนางเปล่งจิตสังหารอันทรงพลัง

“ท่านคือมหาบัณฑิตหวังหลินใช่หรือไม่?”

หวังหลินลืมตามองสตรีตรงหน้าอย่างสงบนิ่งก่อนจะพยักหน้า

หนึ่งคนยืนอยู่ในตำหนักซึ่งฝนตกเข้ามาไม่ได้ อีกคนยืนอยู่นอกตำแหน่งและไม่มีสายฝนเช่นกัน เพราะสายฝนทั้งหมดเปลี่ยนกลายเป็นน้ำแข็งรอบตัวนาง

“ข้ามาจากเฉว่ยี่และมีคำถามจะถามท่าน” น้ำเสียงของนางเย็นเยียบราวกับออกมาจากหิมะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version