Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1607

Cover Renegade Immortal 1

1607. ลี่มู่หวาน

หวังหลินมองสตรีเย็นเยียบผู้นี้ สายตาหันไปบนทารกที่ห่อด้วยผ้าห่ม หลังจาก ขบคิดเล็กน้อยจึงพยักหน้า

นางยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง ดวงตาคล้ายจะแฝงสายลมแห่งฤดูหนาว นางมอง หวังหลินและโลกเบื้องหลังเขา

“ชื่อของท่านโด่งดังบนดาวซูซาคุ ข้าได้ยินชื่อท่านตลอดทางในเฉว่ยี่ ท่านคือมหาบัณฑิตที่ช่วยเซียนหลายคนเกิดความรู้แจ้ง”

“ข้ามาเพื่อเด็กคนนี้” นางมองไปยังทารกที่กำลังหลับใหล แววตาเย็นเยียบแฝงความอ่อนโยน

น้ำเสียงเย็นชาของนางหายไปขณะที่นางมองทารกในอ้อมแขน “ทุกคนพูดว่าท่านมองทะลุโลกใบนี้ เข้าใจเวรกรรม เฉยชากับชีวิตและความตาย เดินบนเส้นทางแห่งความจริงและเท็จ ท่านสามารถมอบทางเดินของตัวเองให้เด็กคนนี้ได้หรือไม่?”

“ครอบครัวของเด็กคนนี้เสียไปตอนที่นางเกิด ตอนที่ข้าผ่านมาเห็นนาง นางตัวแข็งและเจียนตาย ข้าสงสารจึงเข้าไปดูใกล้ๆ และพบว่านางมีพรสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง นางมีกลิ่นอายเบญจธาตุในร่างกาย หากนางรอดชีวิตได้ นางจะกลายเป็นดวงตะวันให้กับดาวซูซาคุ!”

“แต่ชีวิตของนางขึ้นๆ ลงๆ ข้าพอใช้วิชาพยากรณ์ได้บ้างและพยากรณ์ว่าเด็กคนนี้ จะเจอกับหายนะ ในเมื่อข้าเจอนางแล้ว ข้าจึงข้องเกี่ยวไปด้วยและจะกลายเป็นคนที่ช่วยให้นางรอดพ้นหายนะ”

“ยิ่งนางเติบโตขึ้น หายนะแห่งความเป็นความตายก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น ระดับบ่มเพาะของข้ามีขีดจำกัดและข้าทำได้แค่ใช้วิชาเพื่อรั้งไม่ให้นางเติบโตเท่านั้น รักษาสภาวะให้นางเป็นทารกอยู่แบบนี้”

“ข้าได้ยินว่าท่านมีพรสวรรค์ เช่นนั้นข้าจึงขอให้ท่านช่วยเหลือ…” นางเอ่ยขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

ขณะนั้นแสงสายฟ้ากะพริบขึ้นในท้องฟ้าและเกิดเสียงดังลั่น สายฟ้าดูเหมือนจะดังเกินไปจนทำให้ทารกตื่นขึ้นมา นางลืมตาอันใสซื่อบริสุทธิ์และเริ่มร้องไห้

แม้เสียงสายฟ้าจะผ่านไปแล้ว ทารกยังคงร้องไห้เสียงดัง

หวังหลินมองทารกและเอ่ยขึ้นเบาๆ “ขอข้าอุ้มนางหน่อย”

สตรีตรงหน้าขบคิดเล็กน้อยก่อนจะยื่นทารกให้หวังหลิน หวังหลินอุ้มเอาไว้และมองลงมา

ทารกคนนี้เป็นเพศหญิง แม้นางกำลังร้องไห้แต่ก็น่ารักน่าชังยิ่ง ดูเหมือนจะมีจุด สีแดงแต่งแต้มบนวิญญาณของนาง

น้ำตาของทารกไหลรินออกมาและทำให้ผ้าห่มเปียกชื้น

ช่างน่าประหลาด ทารกน้อยตื่นขึ้นมาร้องไห้เสียงดังในอ้อมแขนของหญิงสาว แต่ในอ้อมแขนของหวังหลิน นางค่อยๆ หยุดร้อง แววตาใสซื่อเบิกกว้างมองมาที่หวังหลิน

ใบหน้าแก่ชราของหวังหลินค่อยๆ ยิ้ม แขนขวาค่อยๆ ลูบไปตรงจมูกของทารก ทารกน้อยเริ่มหัวเราะอย่างมีความสุข

หวังหลินเอ่ยถาม “นางชื่ออะไร?”

สตรีตรงหน้าขบคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ “ครอบครัวของนางตายไปก่อน ดังนั้นข้าจึงไม่รู้อะไรเลย ตลอดหลายปีมานี้ข้าไม่เคยมอบชื่อให้นาง ท่านเป็นคนมอบชื่อให้นางจะว่าอย่างไร?” น้ำเสียงยังคงมีความเยือกเย็นอยู่บ้าง

หวังหลินมองทารกเพศหญิงด้วยรอยยิ้มและมีความสุข เขารู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายจากทารกคนนี้ หลังจากนั้นสักพักจึงมองไปที่สายฝน

ห่างออกไปไกลยังคงปกคลุมด้วยสายฝน พริบตานั้นเห็นผีเสื้อหลากสีตัวหนึ่งกำลังหาที่กำบังจากสายฝนและสายลม

หากปีกของผีเสื้อเปียกน้ำฝน มันก็คงบินไม่ได้

หากร่างของผีเสื้อถูกสายลมพัดใส่ มันคงเหมือนคนที่โดนพายุ

หวังหลินมองผีเสื้อที่อยู่ใต้ใบไม้ ดวงตาเผยความเข้าใจ เขามองผีเสื้ออยู่พักใหญ่

“ให้ข้าเรียกนางว่าผีเสื้อสีแดง…ผีเสื้อในสายฝนเต็มไปด้วยความสดใส และแสงสีแดงละเอียดจะทำให้นางเดินอย่างภูมิใจและมีชีวิตที่เจิดจรัส”

คำพูดของหวังหลินนั้นบางเบา เผยความรู้สึกที่อธิบายออกมาไม่ได้ยามที่มองทารกเพศหญิง ทารกดูเหมือนจะเข้าใจคำพูดของหวังหลินและหัวเราะอีกครั้ง

“ข้าไม่รู้วิชาใดและไม่รู้วิธีช่วยให้นางหลีกเลี่ยงหายนะแห่งชีวิตและความตาย ข้าได้เห็นบางอย่างในความฝันของข้าและข้าจะวาดมันให้เจ้า หากเจ้าสามารถเข้าใจมันได้ บางทีมันจะสามารถช่วยขจัดหายนะแห่งชีวิตและความตายของนางได้” หวังหลินถอนหายใจพลางส่งทารกกลับไปให้หญิงสาว เขายกแขนขึ้นไปในสายฝนและมุ่งไปที่โต๊ะหินในอาราม หวังหลินหลับตาราวกับนึกถึงบางสิ่งบางอย่างและเริ่มวาดลวดลายอันซับซ้อนออกมา

ลวดลายนี้คือค่ายกล ค่ายกลที่ซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง มันทำให้หญิงสาวจากเฉว่ยี่ต้องตกตะลึง นางจดจำมันเอาไว้อย่างละเอียด

หลังจากผ่านไปสักพัก หวังหลินวาดเส้นสุดท้ายจบลงจึงลืมตาขึ้นมา

“หลังจากเจ้าเข้าใจมันแล้ว จงนำเส้นผมหนึ่งเส้นของทารกนี้ไปวางไว้ข้างใน…” หวังหลินมองดูท้องฟ้าด้วยสีหน้าอันซับซ้อน ก้อนเมฆสีดำเริ่มจางหาย

ลวดลายบนโต๊ะค่อยๆ สูญหายไปกับสายลมและไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนอีกต่อไป สตรีจากเฉว่ยี่หลับตาไปชั่วครู่ก่อนจะโค้งให้หวังหลิน นางอุ้มทารกและเดินเข้าหาสายฝน

หวังหลินไม่ได้มองแผ่นหลังของนาง เขาจ้องมองอารามและเฝ้าดูสายฝนเบาบางลง ในแววตาเกิดความงุนงงสับสน

‘เวรกรรม…เวรกรรมนี้เป็นจริงเหมือนชีวิตที่แล้วหรือไม่…หากไม่แล้ว ข้าเพิ่งจะจบสิ้นมันด้วยตัวข้าเอง…’ หวังหลินไม่เข้าใจ สายฝนหยุดด้านนอกอารามและเกิดสายรุ้งขึ้นมา

ผีเสื้อที่หลบฝนใต้ใบไม้จึงพลันบินขึ้นสู่อากาศ มันบินมาเบื้องหน้าหวังหลินและบินออกไปไกล

หวังหลินเดินออกมาจากอารามพร้อมกับถอนหายใจ เขาเดินออกไปหาทะเลต่อไป

ในปีที่สิบห้าหลังจากออกมาจากแคว้นจ้าว หวังหลินมาถึงชายฝั่งทะเล เขาขึ้นเรือส่งสินค้าข้ามฝั่งระหว่างสองทวีป เขากำลังจะไปเห็นโลกฟากนั้น

ท้องทะเลไร้ขอบเขตและงดงาม สายลมพัดพลิ้ว ระลอกคลื่นเข้ากระทบเรือ หวังหลินยืนอยู่บนเรือพลางได้กลิ่นลมทะเลและทำให้สายลมพัดปลิวเรือนผม สายลมทะเลพัดเข้ามาแต่ไม่สามารถพัดร่องรอยแห่งเวลาออกไปได้

ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ลอยอยู่เหนือทะเล นี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินได้ออกสู่ทะเลแต่เขาไม่ได้รู้สึกไม่สบายอันใด เขามองสายน้ำและมีกลิ่นอายเต็มไปทั่วร่าง

ท้องฟ้าเหนือทะเลมีกลุ่มนกนางนวลบินเป็นวงกลม แสงอาทิตย์เจิดจ้าห่อหุ้มทั่วทั้งท้องทะเล

หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน…หลังจากนั้นห้าเดือน เรือส่งสินค้าจึงเข้าสู่ ส่วนลึกของท้องทะเลอย่างสมบูรณ์ ขณะที่สายลมพัด ลูกเรือจึงร้องเพลงเฉพาะของแต่ละคน หวังหลินเผยรอยยิ้ม

วันหนึ่งในเดือนที่หก ยามเช้าตรู่เมื่อดวงอาทิตย์เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้าได้ทำให้หวังหลินตื่นขึ้นมาจากเสียงด้านนอก เขาเดินออกมาเห็นลูกเรือหลายคนที่เขาอยู่ด้วยมาครึ่งปีกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น พวกเขากำลังคุกเข่าไปทางทิศตะวันออก

หวังหลินมองออกไป สิ่งที่เห็นทำให้ร่างเขาสั่นสะท้านรุนแรง

บนผิวทะเลทางทิศตะวันออก ท่ามกลางท้องฟ้าขุ่นมัว ภาพลวงตาหนึ่งได้ปรากฏขึ้น

ภาพที่ปรากฏเป็นปากภูเขาไฟและมันกำลังปะทุ ภูเขาไฟสั่นสะเทือน มีรอยแตกขนาดใหญ่สองแห่งปรากฏขึ้นมาราวกับมังกรสองตัวพัวพัน มันเหมือนเป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง

ลาวามากมายไหลออกมาและมีฝุ่นควันลอยขึ้นปกคลุมท้องฟ้าข้างในภาพ

ไร้สิ้นเสียงเพราะมันเป็นเพียงภาพ ฉากเหตุการณ์ภูเขาไฟปะทุได้ทำให้ทุกคนบนเรือต้องคุกเข่า

ห่างออกไปไกล ภาพลวงตาได้ผสานเข้ากับโลก มันดูสมจริงอย่างยิ่งแต่กลับเปล่งสัมผัสขุ่นมัวในเวลาเดียว จนมิอาจบอกได้ว่ามันจริงหรือไม่จริง

ขณะที่หวังหลินจ้องมองโลกลวงตานั้น ความคิดของเขาดังลั่น

‘จริงและเท็จ…จริงและเท็จ…คัมภีร์เล่าว่าท้องทะเลมีจิตวิญญาณชื่อเฉิน ลมหายใจของมันสร้างภาพลวงตา…ภาพนี้…ภาพนี้…มันจริงหรือไม่ หรือเป็นภาพลวง…มันมีอยู่ที่ไหนสักแห่งจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ภาพมายา’

‘วิญญาณแห่งท้องทะเล ได้โปรดอย่าทรงโกรธเกรี้ยว…วิญญาณแห่งท้องทะเล ได้โปรดอย่าทรงโกรธเกรี้ยว…’ เหล่าคนธรรมดาตัวสั่นและคุกเข่าอยู่บนพื้นเมื่อได้ยินภาพที่พวกเขาไม่เข้าใจ จิตใจแต่ละคนสั่นไหว แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเห็น แต่มันก็ไม่ได้มากมายขนาดนี้

ตำนานเก่าแก่กล่าวไว้ว่าหากเห็นภาพหลอนในทะเล เป็นเพราะจิตวิญญาณแห่งท้องทะเลโกรธเกรี้ยวและจะลงโทษทุกชีวิตในทะเล…

หวังหลินตกอยู่ในความงุนงง ดังนั้นจึงไม่เห็นว่าคนอื่นทั้งหมดลุกขึ้นและ โยนสินค้าจำนวนมากลงทะเล พวกเขาพยายามสังเวยให้แก่จิตวิญญาณแห่งท้องทะเลและลดความโกรธเกรี้ยว

“นี่มันน่าจะเป็นเรื่องโกหก มันไม่มีอยู่จริง มันเป็นภาพลวงตา เรื่องแบบนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นในโลกนี้ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ในโลก…”

“นี่มันน่าจะเป็นเซียนที่กำลังบ่มเพาะอยู่ใต้ทะเล และวิชาของเขาทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น!” หวังหลินพึมพำ เขามองทะลุความจริงแท้ของโลกนี้ออกแต่สิ่งที่เขาเห็นตอนนี้นับว่าน่าเหลือเชื่อ

หวังหลินสูดหายใจลึกและพึมพำ “โกหก…นี่เป็นเรื่องโกหก…” ทว่าเสียงของเขาหยุดลงและดวงตาเบิกกว้าง แขนขวายกขึ้นชี้จุดภูเขาไฟมายาไกลๆ และไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“นี่…นาง…”

ในภาพลวงตานั้น ขณะที่ควันสีดำเต็มไปทั่วโลก สตรีผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมา นางสวมชุดสีขาวและถึงแม้จะไม่ได้งดงามล่มเมือง นางกลับเปล่งความรู้สึกนุ่มนวล เส้นผมยาวพลิ้วไหวและเต้นระบำไปกับเสื้อผ้า นางเสมือนนางฟ้าที่ปรากฏขึ้นจากฝุ่นควัน

นางเดินออกมาจากก้อนเมฆสีดำ ฝ่ามือเนียนละเอียดชี้ลงไปด้านล่าง ภูเขาไฟที่กำลังปะทุเกิดการสั่นเทาและแสดงอาการมอดดับ

เมื่อหวังหลินได้เห็นนาง ดูเหมือนจะสูญเสียกำลังทั้งหมดและตะลึงงันอยู่ตรงนั้น สัมผัสความเศร้าปะทุขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผลและผ่านไปทั่วร่างดุจพายุ ทั้งร่างเขาจมดิ่งลงไปในความเศร้า หยาดน้ำตาสองสายไหลรินลงมา

‘นาง…’ ร่างกายของหวังหลินแก่ชราไปแล้ว ตอนนี้ยิ่งแก่ขึ้นไปอีก เขาพิงตัวเองกับเรือพลางมองหญิงสาวชุดขาวในภาพลวงตา สายตาที่มองไปราวกับต้องการให้อยู่ชั่วกาลนาน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version