Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1608

Cover Renegade Immortal 1

1608. สายตาคู่นี้

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง ภาพลวงตาจึงหายวับไปเบื้องหน้าทุกคน เหล่าลูกเรือทั้งหมดยังคงสั่นเทาและเงียบสนิท

พวกเขามิอาจลืมสิ่งที่เห็นในภาพนั้นได้ โดยเฉพาะก้อนหินที่แตกกระจายมากมายยามภูเขาไฟระเบิด

ฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิอาจบอกได้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม แต่พวกเขา รู้ว่ามันคือความโกรธเกรี้ยวของจิตวิญญาณแห่งท้องทะเล

หวังหลินพิงตัวเองกับเรือและดูเหมือนสูญเสียกำลังทั้งหมด หยาดน้ำตาสองสายไหลรินลงบนรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าและชุ่มเสื้อผ้า เขามองภาพที่หายไป ความคิด ว่างเปล่า สิ่งเดียวที่คงอยู่คือภาพเงาสีขาวเปราะบาง

‘นี่มันจริง…หรือไม่จริง…หรือเป็นเพียงความฝัน…’ ผ่านไปสักพักหวังหลินจึง ส่ายศีรษะและมองไปที่ทะเล

กาลเวลาผ่านไป หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน…

ในเดือนที่เก้านับตั้งแต่หวังหลินเดินทางสู่ทะเล เขาก็ได้เห็นความโกรธเกรี้ยวจริงๆ ของท้องทะเล ยามดึกคืนหนึ่ง ก้อนเมฆสีดำปกคลุมท้องฟ้า เสียงสายฟ้าดังลั่น แสงกะพริบวูบวาบและฟ้าผ่าลงสู่ทะเลลึกจนท้องฟ้ากะพริบสลับไปมาระหว่างแสงและความมืด

ทุกครั้งที่แสงกะพริบจะทำให้ทะเลส่องสว่างขึ้นมา ช่วงเวลาครู่เดียวของแสงนั้นจึงได้เห็นคลื่นถาโถมเข้าใส่ เสียงคลื่นรุนแรงจนปิดบังเสียงสายฟ้าจนมิด

สายลมคำรามไปทั่วทะเลและตีเข้ากับเรือ ลูกเรือทุกคนหวาดกลัวแต่ก็พยายามจัดการให้เรือสามารถทนต่อความโกรธเกรี้ยวของท้องทะเล

ทุกคนกำลังอ้อนวอน ทุกคนต้องการฝากคำพูดสุดท้ายของตัวเองเอาไว้ซึ่งคิดว่าอาจจะไม่เจอแสงแห่งวันใหม่อีกครั้ง

พายุโหมกระหน่ำ สายฟ้าดังลั่น แสงไฟกะพริบวาบ คลื่นมหึมาโกรธเกรี้ยว

กลางดึกคืนนั้น หวังหลินยืนอยู่บนเรือและยึดตัวเองกับเสาเรือ ร่างกายดูเหมือนสั่นเทาไร้การควบคุม สายลมพัดมาอีกครั้งทำให้เสื้อผ้าเปียกโชก หยดน้ำไหลจาก เส้นผมสีขาวแต่แววตาของหวังหลินเป็นประกาย!

ขณะที่มองความโกรธเกรี้ยวของท้องทะเล ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้ายิ่งขึ้น จิตใจขยายออกไปอย่างไร้ขีดจำกัดจนมากพอจะห่อหุ้มโลกได้ทั้งใบ

‘นี่คือพลังอำนาจของสวรรค์ นี่คือความจริงแท้! นี่คือความโหดร้ายของธรรมชาติ!’ หวังหลินหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาอ่อนแรงเมื่อเทียบกับเสียงสายฟ้าและเสียงคลื่น แต่มันกลับเผยอำนาจของจิตใจออกมา

เขาเฝ้าดูผู้คนดิ้นรนเอาตัวรอด เฝ้าดูเรือส่งสินค้าโยกเยกอย่งรุนแรงราวกับจะจมและถูกทะเลกลืนกินได้ทุกเมื่อ หวังหลินมองคนเหล่านี้และเห็นความไม่ยินยอมในจิตใจ!

อย่างไรก็ตาม ความไม่ยินยอมกลับอ่อนแอมากและเล็กน้อยยิ่งเมื่อเทียบกับ สายลมและสายฝน

ขณะที่สายลมและคลื่นทะเลรุนแรงมากขึ้น คลื่นทรงพลังหนึ่งได้พัดมาถึงและทำให้เสากระโดงเรือหัก ร่วงใส่ลูกเรือคนหนึ่งที่พยายามหลบหนีแต่ก็สายเกินไป โชคดีที่เขาไม่ได้บาดเจ็บหนักและพยายามปีนออกมาได้ เขาดึงเชือกและเอาตัวรอดต่อไป

ทว่าเรือส่งสินค้าเสมือนใบไม้ที่ลอยอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางมหาสมุทรอันเกรี้ยวกราด มันไม่มีพลังอะไรจะแข่งขันกับคลื่นทะเลได้ ทั่วทั้งเรือส่งเสียงราวกับไม่สามารถทนรับไหวอีกและจะแตกสลายในเวลาไม่นาน

กลิ่นอายความสิ้นหวังแทรกซึมไปทั่วเรือและเต็มไปทั่วจิตใจทุกคน หวังหลินไม่ได้คว้าเสาเรืออีกแล้วแต่ร่วมกับลูกเรือ เขาทำดีที่สุดเพื่อต้านทานความโกรธเกรี้ยวแห่งท้องทะเลโดยไม่สนอายุตัวเอง

“อย่าเพิ่งยอมแพ้ เรายังมีแรง…” ชายวัยกลางคนยิ้มกว้างพลางกุมเชือกและปล่อยให้เรือแล่นไป คลื่นทะเลพัดผ่านสองฟากเรือ ในวินาทีแห่งความเป็นความตาย เขาเริ่มร้องเพลงทำนองลูกเรือที่ทุกคนรู้จัก

วัยรุ่นผู้หนึ่งอายุน้อยกว่ายี่สิบปีถึงกับปาดเหงื่อบนใบหน้าและร้องคำราม “อย่าสิ้นหวัง เรายังมีความฝัน…” ราวกับเขาค้นพบความกล้าที่สูญเสียไป

“อย่าหมดกำลังใจ เรายังมีวันพรุ่งนี้…” ยิ่งลูกเรือเริ่มร้องเพลงท่ามกลางสายลมและคลื่นทะเล เสียงของแต่ละคนจึงดังประสานกันกลายเป็นเสียงที่อยากมีชีวิตต่อไป!

“อย่ายอมแพ้ เรายังมีความตั้งใจ…”

“อย่าหลับตา เรายังต้องเห็นตะวันทอแสง…”

“ฟ้าดินทรงอำนาจ แต่มิอาจบดบังเสียงดิ้นรนของเราได้ เราท่องไปบนทะเลเพื่อมีชีวิต เราจะกลัวตายได้อย่างไร?! ความโกรธเกรี้ยวของจิตวิญญาณแห่งท้องทะเลสามารถทำให้เราหวาดกลัวได้ สามารถจมเราได้ แต่ไม่สามารถหยุดเราร้องเพลงได้!”

เหล่าลูกเรือทั้งหมดเริ่มร้องเพลงที่ส่งต่อกันมานับตั้งแต่ยุคโบราณของดาวซูซาคุ!

น้ำเสียงเปล่งสัมผัสแห่งความกล้า จิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ ปรารถนาที่จะมีชีวิตและความไม่กลัวตาย ร่างแก่ชราของหวังหลินสั่นเทาเมื่อได้ยินเสียงร้องครั้งนี้ ดวงตาของเขาเปล่งประกายยิ่งขึ้นกว่าเดิม

‘นี่มันคือการฝืนลิขิต! ฝืนลิขิตต่อฟ้าดิน! ชีวิตและความตาย ความเป็นและความตาย ฝืนลิขิตนี้ถือกำเนิดระหว่างความเป็นความตาย เป็นเพราะการต่อต้านและไม่ยินยอมที่ทำให้การฝืนลิขิตนี้เกิดขึ้นมา!’

‘หากไม่มีการต่อต้านและความไม่เต็มใจ ก็จะไม่มีชีวิตและความตาย ชีวิตคือชีวิตและความตายคือความตาย…ข้าเข้าใจแล้ว!!’ ความคิดของหวังหลินสั่นสะท้าน เขายังคงสับสนเรื่องเวรกรรม ชีวิตและความตาย จริงและเท็จ ไม่อาจมองทะลุทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อได้ยินเสียงเพลงของลูกเรือ จึงเกิดความเข้าใจขึ้นทันที

ชีวิตและความตาย!

เสมือนภูเขาที่เห็นชีวิตเป็นชีวิต เห็นความตายเป็นความตาย เห็นชีวิตที่ไม่ใช่ชีวิต ความตายที่ไม่ใช่ความตาย แต่ท้ายที่สุดแล้วหลังจากเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะเห็นชีวิตยังเป็นชีวิตและยังเห็นความตายยังเป็นความตาย!

ทุกคนมีความหวาดกลัวต่อชีวิตและความตาย เป็นเพราะความหวาดกลัวนี้จึงเกิดเส้นทางสองเส้นขึ้นมา เส้นหนึ่งคือการเชื่อฟังยินยอมและอีกเส้นคือการฝืนโชคชะตา!

การยินยอมคือด่านแรกของชีวิตและความตาย!

ทว่าหากมันเปลี่ยนกลายเป็นฝืนลิขิตขึ้นมา นั่นหมายความว่าจะเห็นชีวิตไม่ใช่ชีวิต เห็นความตายไม่ใช่ความตาย นั่นคือด่านที่สอง!

ผู้คนเคยพูดว่า “มองทะลุผ่านชีวิตและความตาย” แต่แท้จริงแล้วคนผู้นั้นมิอาจมองทะลุชีวิตและความตายไปได้ ส่วนใหญ่แล้วมีแต่เห็นชีวิตและความตายชัดเจน!

ด้วยการฝืนลิขิตนั้น ผู้คนสามารถเมินเฉยต่อชีวิตและความตาย พูดได้ว่า “ชีวิตคือความสุขและไม่จำเป็นต้องไปกลัวตาย!” นี่คือความตั้งมั่นที่จะตาย แต่ไม่ได้หมายความว่ามองทะลุชีวิตและความตายออก!

ขั้นที่สามของชีวิตและความตาย ความจริงแท้ที่หวังหลินกำลังเสาะหา ไม่ใช่การมองทะลุหรือเหนือกว่าชีวิตและความตายไปได้ แต่มันเป็นเพียงหนึ่งประโยค!

ประโยคนี้เต็มไปทั่วจิตใจหวังหลินแต่ไม่อาจพูดออกมาได้ ราวกับมีม่านกั้น ที่ป้องกันไม่ให้เขาพูดออกมา

คำพูดที่ดูถูกชีวิตและความตายเช่นนี้และความไม่ยินยอมพร้อมใจของทุกคนได้ส่งเสียงดังกึกก้องจนกระทั่งสายฟ้าเลือนหายไป สายลมและคลื่นทะเลสงบลง กลางคืนค่อยๆ เลื่อนผ่านและแสงแห่งวันใหม่โผล่พ้นขอบฟ้า เสียงร้องแห่งการเอาตัวรอดดังกึกก้องไปทั่วเรือส่งสินค้า

หวังหลินมองพวกเขาและเผยรอยยิ้ม เขานั่งอยู่หัวเรือและมองดูพระอาทิตย์ขึ้น เขาเห็นวิหคสีขาวกำลังบินท่ามกลางท้องฟ้า มันส่งเสียงดังกึกก้อง

ในเดือนที่สิบเอ็ดบนท้องทะเล พวกเขาได้เห็นแผ่นดินตามแนวเส้นขอบฟ้า พอเห็นเช่นนั้นเสียงร้องแห่งความสุขดังออกมาจากเรือ

หวังหลินกล่าวอำลาลูกเรือที่เขารู้จักมาเกือบปี เขาลงเรือและเหยียบแผ่นดินที่ ไม่คุ้นเคยแห่งนี้

ที่นี่มีแคว้นธรรมดาหลายแห่ง พร้อมกับสำนักและเหล่าเซียนที่เขาอาจจะรู้จักจากความฝัน

ท่ามกลางแคว้นเหล่านี้ มีแคว้นหนึ่งนามว่าฮัวเฝิน

หวังหลินก้าวเดินอย่างสงบนิ่งบนแผ่นดินที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากบ้านเกิด เขามองภูเขาที่ไม่คุ้นเคย น้ำที่ไม่คุ้นเคยและเหล่าคนแปลกหน้าที่เขาเดินผ่าน

แม้เขาจะไม่ได้มาที่นี่มาก่อนในชีวิตนี้ ชื่อเสียงของเขากลับแพร่กระจายไปหลายแห่งในช่วงสิบปีที่ผ่านมา รวมถึงแผ่นดินนี้ด้วย

แม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงเท่ากับอยู่ในบ้านเกิด หวังหลินก็ไม่สนใจ เขาเป็นนักเดินทางและเดินทางผ่านแผ่นดินต่อไป เขาเดินทะลุผ่านภูเขา แม่น้ำและผ่านเมืองและ แคว้นหลายแห่ง

พริบตาเดียวสามปีก็ผ่านไป

ผ่านสิบเก้าปีแล้วนับตั้งแต่ที่เขาออกมาจากแคว้นจ้าว หวังหลินไม่ได้มีร่างกาย ดีเท่าแต่ก่อนและเหน็ดเหนื่อยขึ้นกว่าเดิม เขาถือไม้เท้าในมือแต่ยังสามารถประคองให้ตัวเองเดินได้อยู่

หวังหลินเข้าไปสำนักหลายแห่ง พบเจอเซียนหลายคน เห็นจักรพรรดิหลายองค์ ชื่อเสียงของเขาค่อยๆ กลายเป็นที่รู้จักของคนจำนวนมากมายบนทวีปนี้

ไม่ว่าจะเป็นแคว้นอะไร ไม่ว่าจะเป็นสำนักอะไร ผู้คนทั้งหมดต่างรู้จักชายชรา ชื่อหวังหลินซึ่งเป็นมหาบัณฑิตในยุคนี้ เขาเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลกเพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่าง

ยิ่งเขาแก่ชราขึ้นยิ่งมีคำพูดน้อยลง บ่อยครั้งที่เขาไม่จำเป็นต้องพูด แต่สายตาแห่งปัญญากลับทำให้ผู้คนตกอยู่ในภวังค์ เป็นภวังค์ที่แม้แต่ตนเองก็ไม่รู้ตัวตอนที่ตื่นขึ้นมา

ยามฤดูใบไม้ร่วงปีที่สิบเก้า หวังหลินมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟ พอเขามาถึง ภูเขาไฟลูกหนึ่งปะทุห่างออกไปไกล หวังหลินมองเห็นควันพวยพุ่งในท้องฟ้าได้ทันที

คลื่นความร้อนพัดมาไกลและร่อนบนร่างเขา หวังหลินเงยศีรษะขึ้นมองควันสีดำ ดวงตาแก่ชราค่อยๆ เผยความอ่อนโยนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาเห็นร่างสีขาวผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาจากควันสีดำ ร่างสีขาวผู้นี้เป็นหญิงสาวและนางงดงามยิ่ง นางดูเหมือนกำลังเก็บบางอย่างจากภูเขาไฟที่กำลังปะทุและถือขวดหยกในมือ นางหันกลับมาเห็นหวังหลินไกลๆ

สายตาคู่นี้เป็นสิ่งที่หวังหลินไม่มีวันลืมและทำให้ร่างกายสั่นเทา ราวกับเขารอคอยมามากกว่าพันปีเพื่อสายตาคู่นั้น ราวกับเขารอคอยมาทั้งชีวิตเพียงเพื่อมาที่นี่และเห็นสายตาของนาง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version