1610. ต้นกำเนิดแห่งความว่างเปล่า
พอมองวิหคที่กำลังบินออกไปไกล หวังหลินถอนสายตาและมองภูเขาไฟอยู่พักใหญ่ จากนั้นหันกลับมาและเดินออกไปช้าๆ
วันนี้เป็นเดือนมิถุนายนปีที่สิบเก้านับตั้งแต่ที่ออกมาจากแคว้นจ้าว เป็นปีที่ห้าสิบเจ็ดนับตั้งแต่ที่เขาเมาเพียงแค่ดื่มสุราสองแก้วในโรงเตี๊ยมข้างถนน
ปีนี้หวังหลินเพิ่งอายุแปดสิบต้นๆ
นอกจากแคว้นฮัวเฝิน ยังมีแคว้นแห่งอื่นบนทวีปนี้ แต่หวังหลินไม่ไป แคว้นฮัวเฝินคงเป็นสถานที่สุดท้ายที่เขาไปหา
ในภูเขานอกสำนักของลี่มู่หวาน มีบ้านทรุดโทรมแห่งหนึ่งตั้งอยู่ มันสร้างขึ้นมานานและไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่แล้ว
หวังหลินเริ่มอาศัยอยู่ที่นี่
จากตำแหน่งนี้เขาสามารถมองเห็นสำนักที่ลี่มู่หวานอยู่และสัมผัสตัวตนของนางได้
‘เวรกรรมคืออะไร? อย่าไปคิด อย่าไปเข้าใจ มองอาทิตย์ขึ้นและตกดิน เห็นสายฝนและหิมะ เห็นฤดูกาลผันเปลี่ยน อย่าคิดว่ามันจะเป็นจริงหรือเท็จ อย่าคิดถึงความสับสนระหว่างชีวิตและความตาย เพียงแค่ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างเงียบๆ…’
ไม่ว่าจะเป็นอาทิตย์ขึ้นหรือตกดินบนเส้นขอบฟ้า มักจะมีร่างแก่ชราผู้หนึ่งนั่งอยู่บนก้อนหินเสมอ ทอดสายตามองเข้าไปในภูเขาไกลๆ
‘เวรกรรมทั้งหมดในชีวิตข้าคือเหตุแห่งกรรมตราบใดที่บอกว่ามันคือเหตุแห่งกรรม และมันจะเป็นผลแห่งกรรมตราบใดที่บอกว่ามันคือผลแห่งกรรม…ทำไมต้องหาเหตุผลให้มัน…’ หวังหลินสงบนิ่งพลางมองภูเขาที่อยู่ตรงหน้าปีแล้วปีเล่า
เขาไม่ได้กินอาหารและไม่มีอาหาร เขาลืมความหิว ลืมเลือนทุกอย่าง
หวังหลินมองโลกและเผยรอยยิ้มยากอธิบาย ช่วงระหว่างปีที่ผ่านมาเขาเห็น เซียนจำนวนมากเหาะออกมาจากสำนัก ท่ามกลางพวกนั้นมีลี่มู่หวานอยู่ด้วย
‘โลกใบนี้ท้องฟ้าแพรวพราว ทั้งหมดก่อขึ้นมาจากกลุ่มเวรกรรม นี่คือชะตากรรม…’ หวังหลินยิ้มพลางมองวันคืนผ่านไปดุจความฝัน
วันเวลาผ่านไปเจ็ดปี ช่วงเจ็ดปีนี้หวังหลินเรียนรู้ไปเยอะมากและเข้าใจโลกขึ้นไปอีก
ช่วงเจ็ดปีนี้สำนักของลี่มู่หวานได้ค้นพบหวังหลิน ผู้อาวุโสของสำนักจึงออกมาเจอเขา พวกเขาเห็นสภาพของหวังหลินและได้ยินเสียงพึมพำของเขาเป็นครั้งคราว แค่นี้ก็ทำให้ตกตะลึงแล้ว
ถึงจุดหนึ่งหวังหลินจึงไม่ได้อยู่บนภูเขาลูกนี้คนเดียวอีก ไม่นานได้มีเซียนเริ่มนั่งรอบๆเขา
ไม่มีเซียนคนใดที่จากไป
พวกเขานั่งรอบๆ หวังหลินอย่างสงบนิ่งราวกับกำลังค้นหาเต๋า
ปีแล้วปีเล่าผ่านไป เซียนอีกมากมายโผล่ออกมาจากทุกทิศทางในแคว้นฮัวเฝิน หลายสำนักมาที่นี่ราวกับถูกเรียกร้องจากหัวใจ
ท่ามกลางเซียนเหล่านี้ มีบางคนที่ยังไม่ได้บรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ บางคนก็อยู่ในขั้นแปลงวิญญาณ มีกระทั่งคนที่ก้าวทะลวงฟ้าและบรรลุขั้นเทวะ แต่ไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหน พวกเขาก็ไม่มีตัวตนสำหรับหวังหลิน
ไม่ว่าจะเป็นระดับบ่มเพาะอะไร พวกเขาเพียงแค่นั่งลงบนจุดหนึ่งในภูเขา พื้นที่ไม่มากไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่มีการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่ง ทั้งหมดนั่งอยู่อย่างเงียบๆ และฟังเสียงหวังหลินที่อาจจะพูดเพียงครั้งเดียวต่อปี
ตอนที่หวังหลินไม่พูด พวกเขาแค่บ่มเพาะฝึกฝน ราวกับมีพลังที่มองไม่เห็นทำให้จิตใจแต่ละคนที่แสวงหาความจริงของโลกมาปรากฏตัวที่นี่
‘ชะตากรรมทั้งหมดรวมกันและในที่สุดจึงกลายเป็นผลแห่งกรรม มันคือเวรกรรม ในหลายสิบปีที่ข้าใช้เวลาทำความเข้าใจเวรกรรม ข้าพบว่าระหว่างเหตุและ ผลแห่งกรรม มีบางอย่างอยู่ นั่นคือชะตากรรม’
“หากไม่มีชะตากรรม นั่นก็ไม่มีเวรกรรม’ หวังหลินยิ้มพลางอ้าปากในปีนี้
บนภูเขามีเซียนมากกว่าเดิม ไม่นานจึงไม่มีพื้นที่ว่างให้หยั่งเท้า รอบภูเขาที่หวังหลินอยู่หลายสิบลี้เต็มไปด้วยเหล่าเซียน
เซียนเกือบทั้งหมดบนทวีปนี้ค่อยๆ หาทางมาที่นี่จากความรู้สึกประหลาดตลอดหลายปี พื้นที่ภายในภูเขาหลายร้อยลี้จึงปกคลุมไปด้วยเซียนนับไม่ถ้วนที่อยู่ที่นี่เพื่อนับถือหวังหลิน
เซียนบางคนข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากทวีปอื่นหรือผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายมา ซึ่งรวมถึงตุ้นเทียน เนี่ยนเทียนแห่งสำนักหลอมวิญญาณและเหล่าศิษย์จำนวนมากมายด้วย
มีเซียนจากเฉว่ยี่ด้วยเช่นกัน ด้วยการนำของสตรีเย็นชา พวกนางมาถึงที่นี่ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด จากนั้นนั่งลงและค้นหาเต๋าอย่างเงียบๆ
สตรีเย็นชาอุ้มทารกเพศหญิงที่ดูเหมือนนางไม่มีวันเติบโต
สี่แคว้นพันธมิตร โจวหวู่ไท่และเหล่าคนที่หวังหลินคุ้นหน้าคุ้นตาทั้งหมดต่างก็มาที่นี่
หยุนเซว่จื่อยังคงมีสภาพสกปรกพลางนั่งลงไกลๆ
เถิงฮว่าหยวน ฮวงหลง ฉีเฟย โจวลี่ กระทั่งหวังจัวและคนอื่นๆที่หวังหลินไม่รู้จัก พวกเขานั่งลงไกลๆและมองมาที่หวังหลิน
ท้ายที่สุด แม้กระทั่งจูเซว่จื่อก็ยังทะลวงเปิดอวกาศและเข้ามา เขาครุ่นคิดเงียบๆ เหนือหวังหลินอยู่นานก่อนจะหาที่ว่างและนั่งลง
“หลิวเหมยและข้าพบเจอกันและเกิดเวรกรรมขึ้นมาล้วนเป็นเพราะชะตากรรม…”
“ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักหลอมวิญญาณและข้าก็เป็นชะตากรรมเช่นกัน”
“ไม่ว่าจะเป็นผีเสื้อสีแดงหรืออย่างอื่นในโลกนี้ ต่างก็เป็นเวรกรรม แม้กระทั่งในโลกนี้เอง ทุกอย่างยังคงเป็นจริง เป็นโชคชะตา โชคชะตา โชคชะตา…”
“โชคชะตาคือพลังภายนอก เนื่องจากเกิดการแทรกแซง พอผสมรวมกับ เหตุแห่งกรรมจึงกลายเป็นผลแห่งกรรม เสมือนบุรุษและสตรีที่มีทารกด้วยกัน บุรุษและสตรีคือเหตุแห่งกรรม พวกเขามาเจอกันเพราะชะตากรรม ส่วนเด็กที่เกิดมาเป็นเหตุแห่งกรรม” หวังหลินยิ้มและถอนหายใจช้าๆ
ยามนี้มีคนผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาจากสำนักในภูเขา คนผู้นี้ยังเหมือนเดิมเช่นก่อน สวมชุดคลุมสีขาวพร้อมกับผ้าไหมคลุมไหล่ นางเผยสีหน้าอ่อนโยน นางคือ ลี่มู่หวาน
“มานี่” หวังหลินดูแก่ชราขึ้น แต่กลิ่นอายแห่งฟ้าดินโผล่ออกมาจากร่างกาย ราวกับเขากลายเป็นฟ้าดินในช่วงระหว่างการรู้แจ้ง
เขายื่นแขนออกไปและเรียกหาลี่มู่หวาน แววตาหวังหลินเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แม้น้ำเสียงจะยานไปบ้างเล็กน้อย
ลี่มู่หวานเต็มไปด้วยแววตาสับสน แต่ความรู้สึกที่เผยออกมาในใจทำให้หวังหลินรู้สึกคุ้นเคย ความรู้สึกคุ้นเคยนี้ดูเหมือนสลักอยู่ในใจนางและคงตามเข้าไปในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่
แม้จะผ่านการเกิดใหม่อีกพันอีกหมื่นครั้ง แม้จะดื่มน้ำยาลบความจำหลายพันหลายหมื่นรอบ นางก็คงไม่ลืม! แต่ดูเหมือนจะมีผนึกขัดขวางนางไม่ให้จำ ดูเหมือนต้องการตัดขาดมันออก
นางเดินมาข้างหวังหลินโดยไม่รู้ตัว หวังหลินดึงแขนนางให้นั่งลงบนก้อนหินไปกับเขาพร้อมกับมีสายตาของเซียนนับไม่ถ้วนภายในระยะหลายร้อยลี้
“อย่างไรเสีย เวรกรรมที่เริ่มต้นด้วยโชคชะตา ท้ายที่สุดจะหายไปจากโลกนี้ นี่คือความว่างเปล่า เหตุผลที่มันหายไปเป็นเพราะมันต้องมีอยู่ก่อน หากมันไม่มีอยู่ มันก็ไม่อาจหายไปได้เช่นกัน หากไม่มีการหายไป เช่นนั้นคือความว่างเปล่า…นี่เป็นสิ่งที่ ข้าเข้าใจจากจุดจบของเวรกรรม”
แต่จะจบหรือไม่ จะมีอยู่หรือไม่ ก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุด มันคือความว่างเปล่า…
หวังหลินยิ้ม แขนซ้ายร่อนลงกลางหน้าผากของลี่มู่หวาน
จุดนี้ดูเหมือนไม่มีพลังรุนแรงอะไร แต่เมื่อร่อนลงไป ผนึกบนความคิดนางจึงพังทลาย ร่างลี่มู่หวานสั่นเทาและนางกลายเป็นคนแรกที่ตื่นจากความทรงจำที่สร้างขึ้นในโลกนี้
“หวังหลิน…” แววตาของลี่มู่หวานเต็มไปด้วยน้ำตา หยาดน้ำตาสองสายไหลรินลงมา นางมองใบหน้าแก่ชราของหวังหลินพลางยกแขนขึ้นสัมผัสใบหน้าและมีน้ำตาไหลออกมามากกว่าเดิม
ทว่าหยาดน้ำตาเหล่านี้แฝงความสุขและความอบอุ่น นางไม่สนใจความแก่ชราของหวังหลิน นางกอดเขาแน่นๆ
“ข้าไม่มีตัวตน ทั้งหมดนี้ไม่มีตัวตน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคำว่า ‘หายไป’ ถึงมีอยู่…สิ่งนี้แฝงความจริงและเท็จ ชีวิตและความตาย…”
“เวรกรรม จริงและเท็จ ชีวิตและความตายล้วนมาจากความว่างเปล่า…และต่อไป หากข้าพูดมัน ความฝันนี้จะจบลง…” หวังหลินมองลี่มู่หวานพลางเอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง
นี่เป็นความฝันที่ตื่นตัว ตั้งแต่ตอนที่เขาเมาขณะเป็นหนุ่มที่อยู่ในโรงเตี๊ยมแคว้นจ้าว ผ่านมามากกว่าหกสิบปี
เหล่าเซียนเริ่มรวมตัวกันรอบภูเขาจนกระทั่งเซียนทั้งหมดที่หวังหลินพบเจอในความฝัน แม้กระทั่งเหล่าคนที่เขาเจอเพียงครั้งเดียวก็มาถึง ทั้งหมดมองสองคนที่อยู่บนภูเขาอย่างเงียบๆ
กาลเวลาดูเหมือนคงอยู่ไปชั่วกาลนาน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนขณะที่หวังหลินกอดลี่มู่หวาน ทั้งสองนั่งมองดวงอาทิตย์ขึ้นและลงด้วยกัน นับแต่ละปีไปด้วยกัน
“เวรกรรม มิอาจตัดได้เพราะมันคือความว่างเปล่า…เวรกรรมก็คือเวรกรรม โชคชะตาที่รวมตัวกันจะสลายไปในความว่างเปล่า” น้ำเสียงของหวังหลินดังกึกก้องไปทั่วโลกซึ่งได้เปลี่ยนกลายเป็นใบไม้แห้งนับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่าพวกมันมาจากไหนหรือจะไปที่ไหน
พวกมันลอยไปในท้องฟ้าอย่างช้าๆและตกลงมาใส่เซียนใกล้ๆ ราวกับค้นพบบันทึกของชีวิตตัวเอง
ใบไม้แห้งสองใบติดกันค่อยๆ ลอยลงมาเบื้องหน้าหวังหลินและลี่มู่หวาน ราวกับทั้งสองกุมมือกันและไม่มีวันแยกจากไปไหน
“ใบหน้าเศร้าของท่านจากวันนั้นถูกประทับในใจข้ายามที่ข้าหลับตา…”
“ในฝันนี้ ข้าจะอยู่กับท่าน เฝ้าดูท่านยามที่ท่านจากไป เฝ้าดูท่านยามที่ท่านตื่นขึ้น…ข้าจะยังอยู่ในความฝัน รอคอยท่าน…” ลี่มู่หวานมองหวังหลินด้วยสายตาอ่อนโยน นางลูบใบหน้าที่มีริ้วรอยของหวังหลินและพึมพำเบาๆ