Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1742

Cover Renegade Immortal 1

1742. วันพิเศษ

“เจ้ายังจำข้าได้หรือ?” น้ำเสียงสงบนิ่งของร่างเลือนลางดังเข้าสู่หูของชายชราชื่อหม่า ทำให้จิตใจเขาสั่นเทาและถอยร่นอย่างต่อเนื่อง

ชายชราชื่อหม่าถึงกับตัวสั่น เขามองดูร่างเลือนลางนั้นและจดจำได้ชัดเจนว่าเป็นใคร ความพร่ามัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากวิชาแต่เป็นคุณสมบัติพิเศษจากแรงกดดันของ เก้าตะวัน!

ตำนานเก้าตะวันของแผ่นดินเซียนดารา หายากนักที่จะได้เห็นตัวเป็นๆ เว้นแต่จะเป็นคนที่มาจากตระกูลเดียวกันหรือรุ่นเดียวกัน ความแตกต่างใหญ่หลวงในระดับ บ่มเพาะและแรงกดดันของมหาชั้นฟ้าได้สร้างบรรยากาศแปลกประหลาดที่ทำให้ร่างกายแต่ละคนพร่ามัว หากพวกเขาไม่ต้องการให้เห็น ก็คงยากที่จะได้เห็นร่างจริงแม้จะเห็นหนึ่งในเก้าตะวันก็ตาม

คงไม่ต้องพูดถึงคนเหล่านี้ที่อ่อนแอเหมือนมดแมลงเบื้องหน้าซวนลั่ว

เมื่อคำพูดของเขาดังออกไป ซวนลั่วบีบมือเบาๆ เสียงดังกร๊อบ ชายชราที่สูญเสียชุดเกราะไปถึงกับแตกสลายเป็นกองเนื้อและหายวับไปในมือซวนลั่ว

ซวนลั่วสังหารคนอย่างลวกๆ จากนั้นสะบัดแขนราวกับต้องการไล่กลิ่นเหม็นออกไปจากมือ เขาหันกลับไปมองคนที่เหลือที่นี่

เมื่อสายตาของเขากวาดผ่านไป ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ถึบกับจิตใจสั่นไหว นอกจากชายชราชื่อหม่าและหยุนยี่เฟิงแล้ว ทุกคนต่างก็แขนขาอ่อนยวบและคุกเข่าอยู่บนพื้น

ชายชราชื่อหม่ากัดฟันแน่น ฝืนบังคับให้ตัวเองยืนอย่างมั่นคง ทว่าสองขาสั่นเทาจนถึงขีดจำกัด

หยุนยี่เฟิงหน้าซีด เหงื่อเม็ดโป้งไหลรินลงมาชโลมเสื้อผ้า เมื่อสายตาของซวนลั่วกวาดผ่านไป ราวกับท้องฟ้าเบื้องบนพลันทลายต่อหน้าเขา ทำให้เขาคุกเข่า และเคารพ อย่างไรก็ตามจิตใจที่เย่อหยิ่งของเขาไม่ยอมให้คุกเข่า!

เขาตัวสั่นและมีเสียงปะทุดังออกมาจากร่าง ราวกับทั้งร่างกำลังถูกบีบรัด

“เจ้าหนู เจ้าก็ไม่เลว!” มหาชั้นฟ้าซวนลั่วเอาสองมือไพล่หลัง หลังจากสายตากวาดผ่านไปจึงกลับมายังหยุนยี่เฟิง

“การต่อต้านแรงกดดันของข้ามันยากขึ้นไปเรื่อยๆ น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่เผ่าพันธุ์เต๋าโบราณ…น่าเสียดาย…” ซวนลั่วถอนหายใจ เมื่อถอนสายตาออกมา หยุนยี่เฟิงจึงไม่สามารถทนรับแรงกดดันได้อีกต่อไป เขากระอักโลหิตและคุกเข่าอยู่บนพื้น

ชายชราชื่อหม่ายืนอยู่เพียงไม่กี่ลมหายใจ ใบหน้าซีดเผือด ยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะยอมแพ้การต่อต้าน เขารู้ว่าหากต่อต้านต่อไปคงจะตายแน่นอน พลันคุกเข่าลงและ มีสีหน้าขมขื่น

“โปรดไว้หน้าหัวหน้าผู้อาวุโสของสำนักกุ้ยยี่ด้วยและปล่อยให้เราจากไป…เราจะออกไปจากโลกถ้ำแห่งนี้ทันทีและไม่มีวันกลับมาอีก…”

มหาชั้นฟ้าซวนลั่วยื่นแขนขวาเข้าสู่ชั้นแรกของหอคอย ชั้นแรกพังทลายจนเผยสิ่งที่อยู่ข้างใน!

ชุดเกราะสีดำเปล่งแสงแปลกประหลาดได้ตกลงมา

“ข้าจะเอาชุดเกราะนี้ไป เมื่อสำนักกุ้ยยี่ของเจ้ารู้สึกว่ามีคุณสมบัติพอที่จะเอามันกลับคืน ก็จงมาเอาที่ข้าด้วยตัวเอง!” มหาชั้นฟ้าซวนลั่วเอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง ชุดเกราะดูเหมือนถูกจับด้วยพลังของธาตุทั้งห้า มันลอยเข้าหาซวนลั่วและหายไปเบื้องหน้าเขา จากนั้นซวนลั่วถอนหายใจและหายวับออกไปไกล

หลังจากซวนลั่วจากไป น้ำเสียงดังเข้าสู่จิตใจของทุกคนบนดาวเบญจธาตุ “นี่ไม่ใช่เวลาที่พวกเจ้าทั้งหมดจะจากไป จงทำสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำ!”

หลังจากซวนลั่วจากไปได้สักพักแล้ว ชายชราชื่อหม่าจึงยืนขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อน คนที่เหลือจึงค่อยๆ ยืนขึ้น หยุนยี่เฟิงกัดฟันพลางมองไปบนท้องฟ้าตรงจุดที่ซวนลั่วจากไป สีหน้าท่าทางมืดมน

“ไม่ช้าไม่เร็ว ข้าจะกลายเป็นมหาชั้นฟ้า กลายเป็นตะวันดวงที่สิบ!” หยุนยี่เฟิงกำหมัด

รอบด้านเงียบกริบ ผ่านไปสักพัก ชายชราชื่อหม่าจึงถอนหายใจ เขามองรอบๆ สีหน้าท่าทางมืดมัวยิ่ง

“ช่างมันเถอะ แผนการที่เรากำลังรอคอยไม่มีโอกาสสำเร็จแล้วในตอนนี้…แม้เราชนะแน่นอน การมีเขาอยู่ที่นี่…เราก็ไม่สามารถชนะได้…”

“หวังหลินคนนั้นมาจากทิศทางเดียวกัน แต่พื้นฐานแล้วทั้งสองไม่ได้ปรากฏตัวในเวลาเดียวกัน สีหน้าหวังหลินก่อนหน้านี้ดูเหมือนไม่รู้จักมหาชั้นฟ้าซวนลั่ว…”

“เขาคิดสิ่งใดอยู่ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมหาชั้นฟ้าซวนลั่วถึงไม่ปล่อยให้เราออกไปทันที” หยุนยี่เฟิงเอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง เขาคือศิษย์หลักของสำนักกุ้ยยี่ แม้แต่ซวนลั่วยังพบว่ามีพรสวรรค์ เป็นธรรมดาที่เขาจะเจ้าเล่ห์และคล้ายกับหวังหลิน

ด้วยเบาะแสเช่นนี้ เขาจึงมั่นใจว่าสิ่งที่คิดไว้ถูกประมาณแปดถึงเก้าในสิบส่วน

“สิ่งที่เฟิงเอ๋อร์พูดนั้นถูกต้อง มันควรจะเป็นแบบนั้น เห็นได้ชัดว่ามหาชั้นฟ้าซวนลั่วกำลังทดสอบหวังหลิน เขาต้องมาจากแผ่นดินเซียนดาราเพียงเพราะหวังหลิน” สายตาของชายชราชื่อหม่ากำลังเปล่งประกาย

“เมื่อนานมาแล้ว เย่โม่ตายในโลกถ้ำและกระจายหยดโลหิตของตัวเองออกไปสามพันหยด หวังหลินต้องได้รับมรดกของเย่โม่และทำให้มหาชั้นฟ้าซวนลั่วสนใจ…” หยุนยี่เฟิงดวงตาเปล่งประกายและเริ่มขบคิด

“มหาชั้นฟ้าไม่ปล่อยให้เราออกไป เพราะต้องการให้เรากลายเป็นหินลับมีด เพื่อทดสอบหวังหลิน!! ก่อนเขาจากไป เขาบอกว่าเราควรทำสิ่งที่เราต้องทำ หากเราไม่เข้าใจความหมายนี้ เราจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้…เราทั้งหมดจะตายกันที่นี่!” หยุนยี่เฟิงลูบเครา

ขณะที่มหาชั้นฟ้าซวนลั่วก้าวผ่านดวงดาวไป เขามองกลับหลังไปชั่วขณะ ดาวเบญจธาตุปรากฏขึ้นในสายตา ซึ่งทำให้เขาชื่นชมอยู่เล็กๆ

‘เด็กคนนั้นเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการมาก น่าเสียดาย…ที่เขาเป็นเทพ…ข้าสงสัยว่า ใครจะเจ้าเล่ห์กว่ากันระหว่างหวังหลินกับเขา…น่าจะเป็นคนนี้…’ ซวนลั่วส่ายศีรษะและเดินหน้าต่อไป

ทางด้านหวังหลิน เขากำลังนั่งหลับตาอยู่บนหลังอสูรโลกันตร์และฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ระหว่างเดินทางมาดาวเบญจธาตุเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ทั้งหมดนั้นคุ้มค่า!

ผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหน หวังหลินพลันลืมตา แววตากะพริบเย็นเยียบและ เป่าอากาศเหม็นออกจากปาก

‘สำนักกุ้ยยี่คือ กองกำลังที่แข็งแกร่งในการค้นหาวิญญาณดวงที่สาม ตอนนี้ พวกนั้นถูกข้าบังคับออกมาจากเงาแล้ว…ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าจะเข้าไปเกี่ยวข้องในการค้นหาวิญญาณดวงที่สาม’

‘วิญญาณดวงที่สาม เจ้าเป็นใครกัน?’ หวังหลินเอาแขนขวาตบใส่แผ่นหลังเจ้าอสูรโลกันตร์ มันเร่งความเร็วขึ้นและหายวับไปท่ามกลางดวงดาว

มันปรากฏตัวอีกครั้งด้านนอกแม่น้ำสีเงินรอบแดนสวรรค์แห่งใหม่

หวังหลินยืนขึ้นและเก็บเจ้าอสูรโลกันตร์กลับไป ขบคิดอยู่นาน ร่างกายเปล่งแสงขึ้นจากแม่น้ำสีเงินแต่ก็เปล่งความรู้สึกโดดเดี่ยว ราวกับวิญญาณเขากำลังเศร้าหมอง

‘วันนี้เป็นวันพิเศษ…’ หวังหลินถอนหายใจและก้าวเท้า เปลี่ยนไปเป็นลำแสงและพุ่งเข้าไปในแม่น้ำสีเงิน พุ่งทะลุผ่านแม่น้ำไปและเข้าสู่แดนสวรรค์

ขณะที่หวังหลินเข้าไปในแดนสวรรค์ มหาชั้นฟ้าซวนลั่วก้าวออกมา มองดู แดนสวรรค์เบื้องหน้าก่อนจะสะบัดแขนเสื้อและติดตามหวังหลิน ร่างกายพร่าเลือนและมองไม่เห็น แม้จะยืนอยู่ข้างหน้าก็คงไม่อาจสัมผัสแรงกดดันได้

ทว่าในขณะที่เขาเข้าไป หวังหลินพลันหยุดกึกและหันกลับมา ดวงตาเย็นเยียบจ้องมองไปที่ซวนลั่ว

ซวนลั่วอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับสายตาของหวังหลิน!

“ท่านติดตามข้ามาตลอดทาง ในเมื่อเข้ามาที่นี่แล้ว ทำไม่ไม่เผยตัวเองเล่า?” หวังหลินเอ่ยเสียงเย็นเยียบและจิตสังหารเต็มเปี่ยม

มหาชั้นฟ้าซวนลั่วเผยแววตาเป็นแสงประหลาด เขามองหวังหลินอย่างละเอียดอยู่สักพัก ไม่ได้พูดหรือเผยตัวตน

“หรือว่าต้องการให้ข้าบังคับออกมา?” หวังหลินเยาะเย้ยและสะบัดแขน พายุเจ็ดแก่นแท้ลอยออกมากวาดใส่พื้นที่เบื้องหน้าเขา

ขณะที่พายุกวาดผ่านไป หวังหลินจ้องมองอวกาศอย่างละเอียด หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอะไรจึงก้าวเข้าสู่แดนสวรรค์

ความจริงเขาไม่ได้สังเกตมหาชั้นฟ้าซวนลั่วได้ แต่หวังหลินระมัดระวังตลอดเวลา หากเป็นก่อนหน้านี้ก็คงดี แต่เขาเพิ่งออกมาจากดาวเบญจธาตุ เขาหวาดกลัวว่า ชายชราชื่อหม่าจะลอบติดตามเขามา ดังนั้นจึงตัดสินใจหันกลับไป หากมีคนติดตามเขาอยู่จริงๆ พวกนั้นคงถูกเขาหลอกล่อให้เผยตัวเอง!

จนกระทั่งหวังหลินหายตัวไป มหาชั้นฟ้าซวนลั่วจึงยิ้มขึ้นและเผยสายตาชื่นชม

‘เด็กน้อยนี่เป็นคนระมัดระวังจริงๆ! ดวงตาเขามีวิชาบางอย่างที่ทำให้คนจ้องมองตกอยู่ในภาพมายา…’

‘แม้วิธีนี้จะเรียบง่ายและไม่ฉลาด แต่มันประยุกต์ได้ดีทีเดียว’ ซวนลั่วยิ้ม เขาตกตะลึงกับท่าทางและคำพูดของหวังหลินจริงๆ

‘ข้างในค่ายกลเบญจธาตุ ข้าเห็นนิสัยเหนือชั้นของเขา! ในกงล้อจิตใจเก้าโคจร ข้าเห็นความเข้าใจของเขา! ด้านนอกหอคอยบนดาวเบจธาตุ ข้าได้เห็นความเจ้าเล่ห์และความมุ่งมั่น!’

‘ที่นี่ ข้าได้เห็นความระมัดระวัง! หวังหลินผู้นี้ยอดเยี่ยม! อย่างไรก็ตาม คนที่ข้าเลือกต้องให้คุณค่ากับความสัมพันธ์! ข้าสงสัยอยู่ว่าเขามีมันหรือไม่’ ซวนลั่วขบคิดพลางก้าวเดินผ่านแม่น้ำสีเงินและเข้าสู่แดนสวรรค์อันสวยงาม

ท้องฟ้าในแดนสวรรค์เป็นสีคราม มีก้อนเมฆคล้ายหมอกควันเป็นกระจุก ดูสบายตาเป็นอย่างยิ่ง

พื้นดินเป็นสีเขียวเป็นหย่อมๆ พร้อมกับภูเขาและแม่น้ำแผ่หลาออกไปไกล กลิ่นหอมของพื้นดินและเพียงสูดเข้าไปก็ทะลุไปถึงวิญญาณ

หวังหลินกลับมายังแดนสวรรค์ นอกจากปรมาจารย์เต๋าความฝัน ไม่มีใครอื่นที่สังเกตว่าหวังหลินกลับมา หวังหลินปรากฏตัวเบื้องหน้าภูเขาที่ใช้ปิดด่านบ่มเพาะ ก่อนหน้านี้

พอมองท้องฟ้า สีหน้าท่าทางจึงมืดมน ดวงตาค่อยๆ เต็มไปด้วยความคิดและโศกเศร้า วันนี้ของทุกปี เขาต้องการทำให้ตัวเองลืมอยู่เรื่องหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้ว เขาบังคับให้ตัวเองยุ่งจนจำไม่ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version