1749. กลิ่นอายสูญสิ้น
ณ ทางทิศตะวันออกอันกว้างใหญ่ของดาราจักรทุกชั้นฟ้า มีอยู่ดาวเคราะห์หนึ่ง แม้ดาวเคราะนี้จะมีพลังปราณแต่ก็ไม่หนาแน่น มันเป็นเพียงดาวเคราะห์เซียนธรรมดา
หลังจากผ่านสงครามไปสองครั้งจึงเหลือเซียนบนดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่มากนัก เหลือเพียงเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณและแกนลมปราณ สำนักส่วนใหญ่ถูกทิ้งร้าง
ยามนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง สายลมพัดผ่านนำพาเอาใบไม้แห้งล่องลอยผ่านท้องนภา สองฝั่งภูเขามีหุบเขาแห่งหนึ่ง
หุบเขาแห่งนี้ยามฤดูใบไม้ร่วงกลับเต็มไปด้วยกล้วยไม้ที่เบ่งบานเฉพาะฤดูนี้ กลิ่นหอมของดอกไม้ไม่ได้รุนแรงนัก แต่สายลมกลับทำให้รู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
ทุกฤดูใบไม้ร่วง กล้วยไม้ในหุบเขาจะสวยงามยิ่งและมันเบ่งบานได้ไม่นานก็ถึง ฤดูหนาว เหล่ากล้วยไม้ทั้งหมดจะเหี่ยวเฉาและถูกหิมะปกคลุม พวกมันจะหายไปในฤดูหนาวอันเย็นเยียบจนกระทั่งสายลมใบไม้ผลิของปีถัดไปเข้ามาปลุกพวกมันอีกครั้ง
ตอนนี้ปลายฤดูใบไม้ร่วงอยู่ห่างไปไม่ไกล กล้วยไม้ในหุบเขากำลังเบ่งบานเผยความงดงามสุดท้ายแห่งปี
ลึกเข้าไปในทุ่งกล้วยไม้มีบ้านอยู่หนึ่งหลัง บ้านหลังนี้ทรุดโทรมมากและเห็นชัดว่ารกร้างมานานแล้ว บางทีอาจจะหลายพันปีก่อน มีใครสักคนอาศัยอยู่ที่นี่และตายไปพร้อมกับเหล่ากล้วยไม้
ตอนนี้มีชายชราผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่นอกบ้าน เขาสวมชุดสีฟ้า ใบหน้าเต็มไปด้วย ริ้วรอยเหี่ยวย่น มองดูดอกกล้วยไม้เบื้องหน้า สายตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านเข้ามายังหุบเขาจนเหล่ากล้วยไม้พัดไหว สายลมร่อนไปบนร่างของชายชราทำให้เสื้อผ้าพัดพริ้ว เรือนผมหลายมัดเลื่อนขึ้น
ใบไม้สีเหลืองหลายใบลอยเข้ามายังหุบเขาเบื้องหน้าชายชราอย่างเงียบงัน เสี้ยววินาทีนั้นเหล่าใบไม้จึงขัดขวางวิวทิวทัศน์ของเหล่ากล้วยไม้
ชายชราถอนหายใจและเงยหน้า เขาเริ่มไอเสียงดังอยู่นานก่อนจะสงบลง มองไปยังใบไม้แห้งเหี่ยวด้วยสายตาแปลกๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม
‘ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงแล้ว…กล้วยไม้พวกนี้เหลือเวลาไม่มากนัก ไม่นานพวกมันก็จะแห้งเหี่ยวและตายไป…ปีหน้าช่วงนี้พวกมันก็จะเบ่งบานอีกครั้ง แต่ข้าจะไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อชมพวกมันเบ่งบาน…’ ชายชราส่ายศีรษะและยกแขน มองดูแขนตัวเองและเห็นกล้วยไม้มีร่องรอยประหลาดเปล่งแสงออกมา
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผนึกทั้งสามนี้ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว…นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ข้าจะทำเพื่ออาจารย์…” ชายชราพึมพำ
“วันนี้ของปีหน้า…ข้าจะไปอยู่ที่ไหน…ข้าไม่อยากไปเกิดใหม่อีกแล้ว ข้าแค่ต้องการหลับตา…อาจารย์ ท่านมาแล้วใช่หรือไม่…” ชายชราส่ายศีรษะ
ชายชราไม่ได้หันกลับไป เขานั่งพลางเอ่ยขึ้นอย่างขมขื่น “ข้ารู้ว่าท่านอยู่ที่นี่”
สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดพาเอาใบไม้ขึ้นสู่ท้องฟ้าและพัดห่างออกไปไกลจากหุบเขา ทว่ามีร่างหนึ่งที่มาพร้อมกับสายลมได้ยืนอยู่ด้านหลังชายชราและมองออกไป ไม่รู้ว่าร่างนั้นกำลังมองชายชราหรือมองเหล่ากล้วยไม้ที่กำลังแห้งเหี่ยว บางทีทั้งหมดนั้นมีความหมายเดียวกัน
หวังหลินยืนอยู่ตรงนั้นในชุดสีขาว
ชายชราก้มหน้าลงและค่อยๆหันกลับมา เขามองหวังหลินด้วยสายตาซับซ้อน เกินอธิบาย จากนั้นก็ทำตัวสงบนิ่ง อย่างไรก็ตามในสายตามีความเคารพแฝงเอาไว้ ผ่านไปสักพักจึงค่อยๆ คุกเข่าลงและเอ่ยกระซิบ
“ศิษย์เซี่ยฉิงขอคารวะท่านอาจารย์…”
พอหวังหลินมองดูเซี่ยฉิง หัวใจเขารู้สึกเจ็บปวดราวกับโลหิตทั้งหมดหลั่งไหลออกมา เขาเห็นสภาพเซี่ยฉิงในปัจจุบัน
เซี่ยฉิงคุกเข่าและเอ่ยขึ้นเบาๆ “วิญญาณดวงที่สามของราชันย์เทพสีรุ้งคือ ข้าเอง…แต่ข้าคือ เซี่ยฉิง ไม่ใช่เขา”
“ทำไมถึงเป็นเจ้า…” หวังหลินหน้าซีด เขาไม่ได้ติดต่อกับเซี่ยฉิงมาก แต่ก็เหมือนกับฉือซาน ทั้งคู่ต่างก็เป็นศิษย์ของเขา!
“อาจารย์…” เซี่ยฉิงมองหวังหลิน ดวงตารื้นขึ้นช้าๆ
“หลังจากความทรงจำส่วนหนึ่งของศิษย์ได้ตื่นขึ้นมา ข้าเลือกที่จะหนี ข้าดิ้นรน ข้าไม่ยอมรับ…ข้ามาที่นี่เพื่อมองดูกล้วยไม้และครุ่นคิดถึงชีวิตข้า ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าข้าคือเซี่ยฉิง…ข้าไม่ใช่ราชันย์เทพสีรุ้งซูต้าว!” เซี่ยฉิงยิ้ม
“วิญญาณดวงที่สามของราชันย์เทพสีรุ้งมีความทรงจำในชีวิตเขาและมีประโยชน์อย่างยิ่งต่ออาจารย์…ข้ารู้ว่าตอนนี้วิญญาณดวงแรก ดวงที่สองและสี่ขุนพลกำลังค้นหาข้า…”
“แม้สี่ขุนพลคือทาสรับใช้ของราชันย์เทพสีรุ้ง แต่หลายปีผ่านไปความคิดแต่ละคนจึงเปลี่ยนแปลง พวกมันกำลังค้นหาวิญญาณดวงที่สามเพื่อจุดประสงค์ของตัวเอง…ไม่ว่าจะค้นหาข้าด้วยเรื่องไหน ข้าก็ไม่สามารถหนีชะตากรรมที่จะถูกกลืนกินไปได้”
“อาจารย์ นี่คือชะตากรรมของราชันย์เทพสีรุ้ง นี่คือชะตากรรมของข้า ข้ามิอาจหลบหนีได้”
“แม้แต่การเข้าสู่วัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่ได้ผล…วิญญาณดวงที่สามหลบหนีมาหลายปีแต่ตอนนี้มันถึงจุดจบแล้ว…วิญญาณดวงที่สามมีเพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น ไม่มีสัมผัสวิญญาณ ไม่มีวิญญาณดั้งเดิม ไม่มีวิชาอันใด แม้วิญญาณจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่มีความสามารถในการปกป้องตัวเอง”
“แทนที่จะถูกคนอื่นกลืนกิน ข้าขอมอบมันให้อาจารย์…” เซี่ยฉิงพึมพำอย่างเจ็บปวด
หวังหลินขบคิดเงียบๆ หัวใจรู้สึกถึงสายใยความเจ็บปวด แม้จะยืนอยู่ที่นี่แต่เขากลับรู้สึกเหมือนได้เข้าไปสู่สถานที่แห่งหนึ่งอันหนาวเหน็บ ความหนาวเหน็บทิ่มแทงกระดูกจนเกิดความเจ็บปวดไปทั่วร่าง
ก่อนหน้านี้เขาบอกฉิงชุ่ยว่าจะสังหารวิญญาณดวงที่สามเพื่อให้ฉิงชุ่ยปลอดภัย แต่ตอนนี้เขาจะทำมันลงได้อย่างไร? นี่มันไม่ใช่การรักษาสัญญาแต่เป็นการสังหาร ลูกตัวเอง!
ความทรงจำของเซี่ยฉิงปรากฏขึ้นในใจหวังหลิน แม้เขาจะฝังไว้ในใจแต่ตอนนี้กลับชัดเจน จะให้ลืมได้อย่างไร?
หวังหลินห่วงใยเรื่องความสัมพันธ์เป็นอย่างยิ่ง!!
“อาจารย์ ศิษย์คิดไว้แล้ว…เมื่อข้าถูกพบเข้าและไม่ตาย อีกสองวิญญาณจะผสานเข้าด้วยกัน จากนั้นเจ็ดเศษวิญญาณจะกลับคืนโดยอัตโนมัติ แม้ข้าจะสัมผัสได้ว่าห้าในเจ็ดเศษวิญญาณได้แยกขาดจากกันโดยสมบูรณ์ แต่ที่เหลืออีกสองจะกลับคืนมา… ข้ายังรู้สึกด้วยว่าสองดวงนั้นสำคัญยิ่งกับอาจารย์ หากข้าไม่ตาย วิญญาณดวงที่สามจะไม่ปรากฏ หากข้าไม่ตาย พวกเขาจะตาย…”
“หากข้าไม่ตาย สามวิญญาณของราชันย์เทพสีรุ้งจะกลับคืนเป็นหนึ่งและอาจารย์ก็จะตาย…” เซี่ยฉิงมองหวังหลิน ดวงตาเปล่งประกาย
“หลายปีที่ผ่านมา หลังจากวิญญาณดวงที่สามตื่นขึ้น ข้าใช้การบ่มเพาะวิญญาณของข้าสร้างผนึกขึ้นมาสามอย่าง ผนึกแรกจำเป็นต้องไม่ใช้พลังภายนอก เมื่อข้าตาย วิญญาณดวงที่สามจะไม่ไปเกิดใหม่และอาจารย์สามารถเอาไปได้…”
“ถึงตอนนั้น วิญญาณดวงที่สามจะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์หลังจากที่ข้าตาย มันจะเปิดแกนกลางของโลกถ้ำ ให้ไปที่นั่นและเปิดประตู อาจารย์จะสามารถออกไปจากโลกถ้ำได้…”
“ผนึกที่เหลืออีกสองเป็นสิ่งที่ข้าเตรียมไว้สำหรับอาจารย์ ให้ใช้พลังที่จะพุ่งเข้าไปเปิดประตู อาจารย์จะสามารถหยิบยืมพลังของมันและผสานเข้ากับผนึกทั้งสองนี้ เพื่อปิดผนึกวิญญาณดวงแรกและดวงที่สองได้!”
“จากนั้นทุกอย่างก็จะสงบลง…” ขณะที่เซี่ยฉิงพูดขึ้น เขาเริ่มไอออกมาเป็น ลิ่มเลือดรดบนดอกกล้วยไม้เบื้องหน้า ย้อมดอกไม้เป็นสีแดงจนเป็นภาพอันน่าตกใจ
เขาได้ทุ่มสุดตัวสร้างผนึกทั้งสามขึ้นมาจนทำให้วิญญาณเหนื่อยล้า
หวังหลินมองเซี่ยฉิงและไม่อาจเอ่ยคำพูดอะไรออกมาได้สักคำ เขาฟังเซี่ยฉิงและเมื่อเห็นไอเป็นเลือด หัวใจจึงเจ็บปวดยิ่งกว่า
หวังหลินพลันหันไปมองบนท้องฟ้า สายตาดุดันพร้อมกับเอ่ยเสียงคำราม
“ข้าหวังหลิน ช่วงชิงชะตาตัวเองกลับคืนมาจากชะตาแห่งสวรรค์และกลายเป็นเจ้านายของเต๋าแห่งสวรรค์ แต่ทำไมข้ายังตัดสินชะตาตัวเองไม่ได้? ทำไมข้าต้องเผชิญการตัดสินใจแบบนี้!?”
“สวรรค์ ไม่ว่ามันจะเป็นสวรรค์ของโลกถ้ำหรือสวรรค์แห่งแผ่นดินเซียนดารา เจ้าเห็นหรือไม่!? หากสวรรค์ไร้เมตตา ข้าหวังหลินขอสาบานว่าจะทำลายสวรรค์ไปตลอดชีวิต!!” เส้นโลหิตบนใบหน้าหวังหลินปูดโปน เขาร้องคำรามดูบ้าคลั่ง ร่างกายระเบิดกลิ่นอายทรงพลัง กลิ่นอายนี้เสมือนหมอกควันและรวมกันอย่างรวดเร็วก่อตัวเป็นกระบี่มายา กระบี่เล่มนี้เปล่งกลิ่นอายที่สามารถทำลายสรวงสวรรค์ได้ทีเดียว!
วินาทีนี้ สีหน้าท่าทางของมหาชั้นฟ้าซวนลั่วพลันเปลี่ยนไปมหาศาลเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เข้ามายังโลกถ้ำ! เขาจ้องมองกระบี่มายารอบตัวหวังหลินที่มีแต่เขาเห็น เพียงคนเดียวเท่านั้นและเกิดอาการตกตะลึง
‘กลิ่นอายสูญสิ้น!! นี่มันกลิ่นอายสูญสิ้น!!! คำพูดของเจ้าเด็กนี่สามารถสร้าง กลิ่นอายสูญสิ้นขึ้นมาได้ เขา…เขา…’
ขณะที่เซี่ยฉิงมองหวังหลิน หยาดน้ำตาเริ่มไหลรินลงมา เขาคุกเข่าและโขกคำนับหนึ่งครั้ง
“วิญญาณข้าบาดเจ็บสาหัสขณะที่รอให้อาจารย์มาถึง ข้าลังเลเช่นกันแต่ตอนนี้ ข้าไม่เสียใจแล้ว…อาจารย์ไม่จำเป็นต้องลงมือ ข้าได้ก้าวมาถึงหน้าประตูแห่งความตายแล้ว…นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะเรียก…อาจารย์…” เซี่ยฉิงมองกล้วยไม้ข้างหน้าและหลับตาลง น้ำตาที่กำลังจะตกลงมาพลันหยุดชะงักพร้อมกับเผยรอยยิ้มและสูดลมหายใจครั้งสุดท้าย…เขาเสียชีวิต!
ยามที่เขาตาย เศษดวงวิญญาณผุดออกมาจากร่าง มันคือวิญญาณดวงที่สาม มีความทรงจำของการเกิดใหม่นับไม่ถ้วนรวมถึงชีวิตของเซี่ยฉิง!
เนื่องด้วยผนึกของเซี่ยฉิง วิญญาณดวงที่สามจึงไปเกิดใหม่ไม่ได้ ความทรงจำหลายอย่างสูญสลายไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อสูญสิ้นไปอย่างสมบูรณ์ เซี่ยฉิงจะหายไปตลอดกาล
“นี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย!” หวังหลินคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว พลันก้มศีรษะลงไป ความโกรธเกรี้ยวทุ่มใส่โลกใบนี้ ก้าวย่างไปข้างหน้าและมาถึงข้างเซี่ยฉิง เขาสะบัดแขนรับวิญญาณดวงที่สามเอาไว้ วินาทีที่เขาคว้าวิญญาณดวงที่สามเอาไว้ มันจึงตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ ดาวเคราะห์สั่นสะเทือนรุนแรง ท้องฟ้าปั่นป่วน สี่ดาราจักร สั่นสะท้าน!
แม้กระทั่งดินแดนชั้นนอกยังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกตะลึง!