Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1755

Cover Renegade Immortal 1

1755. ซื่อเจีย

‘เป็นนาง…’ หวังหลินเยาะเย้ย จิตสังหารในดวงตาเต็มเปี่ยม

วังวนเริ่มหายไปหลังจากนั้น ร่างเลือนลางข้างในพลันชัดเจน นางเป็นสตรี ผู้มีเรือนผมสีฟ้าและสวมชุดราตรียาวสีม่วง นางงดงามมาก หากคนธรรมดาเห็นนางคงตกหลุมรักอย่างแน่นอน

แม้แต่เหล่าเซียนยังมีความคิดที่จะให้นางเป็นคู่ฝึกฝน

นางคือซื่อเจียแห่งดาราจักรอัญเชิญนที นางสนมลำดับเจ็ด! นางภักดีอย่างยิ่งต่อราชันย์เทพสีรุ้งไม่เหมือนนางสนมคนอื่น และกระทั่งได้พยายามสั่งการหวังหลินมาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะนางกังวลเรื่องคันศรลี่กวงของหวังหลิน นางคงพยายามสังหารเขาไปแล้ว

สตรีผู้นี้ไม่ได้อ่อนแอ ก่อนที่หวังหลินจะรู้แจ้งแก่นแท้เขตอาคม การต่อสู้กับนางถือได้ว่ายากมาก นางแค่กังวลเรื่องคันศรลี่กวงเท่านั้น แต่ตอนนี้หวังหลินมีแก่นแท้เขตอาคมแล้ว สายโลหิตเต๋าโบราณก็แข็งแกร่งกว่าเดิมและมีแขนขวาของเย่โม่ รวมถึงกฎที่เขาได้วางเอาไว้ สถานการณ์ตอนนี้จึงกลับตาลปัตรไปอย่างสิ้นเชิง หวังหลินมีพลังพอจะสังหารนางสนมลำดับเจ็ดได้โดยไม่ต้องพึ่งคันศรลี่กวง!

‘ผู้อาวุโสฉิงหลินเคยบอกได้ว่าโลงศพเลี่ยงสวรรค์เป็นของนาง…นางคือนางสนมจักรพรรดิเทพ ดังนั้นต้องความรู้ความลับบางอย่างเกี่ยวกับที่นี่…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง สะบัดแขนขวา กระบี่โลหิตทะยานออกไปและหายวับไปในคราเดียว

กระบี่โลหิตนั้นไม่ธรรมดา มันไม่ได้ทำตัวเงียบแต่กลับส่งเสียงดังแหลมทะลุ ผ่านอากาศ พุ่งทะยานเข้าหาร่างที่กำลังชัดเจนในวังวน

เสียงดังเสียดแก้วหูทำให้ความคิดจิตใจสั่นไหวและต้องถอยไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว!

ทว่าซื่อเจียไม่ได้ถอย เมื่อทัศนวิสัยของนางชัดเจน จึงสัมผัสจึงจิตสังหารที่กำลังพุ่งเข้าหาได้ นางได้ยินเสียงเสียงแสบแก้วหูและเห็นกระบี่โลหิตกำลังพุ่งมาใส่

สีหน้าท่าทางของนางพลันเปลี่ยนไปและปรากฏจิตสังหารทันที!

‘เขาอยู่นี่เอง!’ ร่างกายสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว แขนขวาโบกสะบัดปรากฏ ก้อนเมฆสีม่วงขึ้นมาและเปลี่ยนกลายเป็นฟินิกซ์สีม่วงพุ่งทะยานเข้าหากระบี่โลหิต

ยามที่ทั้งสองปะทะกันจึงเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง ดาราจักรสั่นสะเทือนพร้อมกับเกิดรอยแตกร้าวจำนวนมากและเริ่มพังทลาย

ฟินิกซ์สีม่วงพังทลายแต่กระบี่โลหิตไม่อาจทะยานเข้าไปข้างหน้าได้และถูก ดันกลับมา วังวนที่หายไปด้านหลังซื่อเจียเริ่มหมุนอีกครั้ง นางรู้ว่าหวังหลินใช้ คันศรลี่กวงไปแล้วหลายครั้งแต่นางไม่รู้ว่าเขาใช้ได้อีกเท่าไร หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ นางยกแขนขวาขึ้นมาหยิบหินหยกเพื่อจะหนีและส่งข้อความออกไปเรียกคนให้เข้ามา

นางรู้ว่าหวังหลินมีวิชายับยั้ง จึงตัดสินใจหนีทันที ด้วยการที่มีวังวนช่วยเหลือเพื่อกีดขวางเส้นทางวิชา รวมถึงนางมีระดับบ่มเพาะสูงส่ง จึงคิดว่าสามารถต้านทานได้!

นางเป็นคนเจ้าแผนการมากและระมัดระวังตัวเช่นกัน จึงไม่ยอมเสี่ยง

ทว่าในขณะที่กำลังจะบีบหินหยกให้แตก ร่างหวังหลินปรากฏตัวออกมาจากระยะไกล เอ่ยน้ำเสียงดังกึกก้องทั่วดาราจักร

“สมควรแล้วที่เป็นถึงนางสนมลำดับเจ็ดที่ราชันย์เทพสีรุ้งชื่นชอบ…” หวังหลินเอ่ยขึ้นฉับพลัน แต่ซื่อเจียเข้าใจได้ทันที

หวังหลินเห็นว่านางไม่ได้ก้าวออกมาและยังคงนิ่งเฉย ท่าทางประหลาดแบบนี้ได้บอกว่านางไม่เพียงแค่รู้เรื่องโลกที่ล้มเหลวทั้งสามร้อยใบ นางยังรู้ว่ากฎที่นี่ได้เปลี่ยนไป!

อย่างไรก็ตาม ไม่มีกฎใดเปิดใช้งานหากนางไม่เคลื่อนไหว ซึ่งถ้าก้าวออกมา นางจะเข้าสู่โลกใบนี้และได้รับผลกระทบจากกฎในทันที

หวังหลินเข้าใจเป็นอย่างดี

ซื่อเจียเองก็รู้เช่นกัน นางเข้าใจดียิ่งกว่านางสนมคนอื่นๆ นางไปโลกที่ล้มเหลวมาแล้วหลายสิบใบและไม่ได้เข้าไป แต่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาเพื่อล่อลวงให้คนมาหานาง

“ในเมื่อเจ้าอยากออกไป ข้าจะไม่ไปส่งเจ้าแล้วกัน!” หวังหลินมองดูหินหยกที่ซื่อเจียดึงออกมา เขาหันตัวกลับและจากไปแต่จิตใจมืดมน หวังหลินมองเห็น ศิษย์สำนักเจ็ดเต๋านำก้านธูปออกมา ตอนนี้ซื่อเจียก็นำหินหยกออกมาอีก เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้มีข้อตกลงกันก่อนที่จะเข้ามาที่นี่

ทำให้แผนที่วางไว้ยากขึ้นอีกเล็กน้อย

‘ซื่อเจียระมัดระวังเกินไป หากนางเลือกที่จะหนีไป ด้วยระดับบ่มเพาะของนาง ข้าก็ไม่สามารถรั้งนางไว้ที่นี่ได้…แต่ไม่รู้หินหยกส่งข้อความหาเซียนเต๋าสีรุ้งหรือ ผีเฒ่าจางหรือไม่ จากที่นางพูดก่อนหน้านี้ นางภักดีต่อราชันย์เทพสีรุ้งและสามารถติดต่อกับสี่ขุนพลได้…นางอาจจะส่งข้อความหาพวกสี่ขุนพล!’

‘ถึงแม้จะเป็นเซียนเต๋าสีรุ้งหรือผีเฒ่าจางก็ไม่สำคัญ ถ้าพวกนั้นเข้ามาข้าก็เตรียมการไว้แล้ว มีแค่ซื่อเจียที่ระมัดระวังเกินไป หากครั้งนี้ข้าไม่สังหารนางก็จะยิ่งระมัดระวังมากขึ้นและการสังหารจะยิ่งยากกว่าเดิม…ส่วนคันศรลี่กวง ก็ยังไม่ถึง เวลาใช้’ การเคลื่อนไหวของหวังหลินเปลี่ยนไปฉับพลัน แต่ไม่นานเขาก็ซ่อนเอาไว้

หวังหลินสะบัดแขนขวา กระบี่โลหิตกลับมาอยู่ข้างกายอย่างเงียบๆ มันติดตามเขาออกไปไกล

ออกเห็นว่าหวังหลินกำลังจะหายไป ซื่อเจียที่ยังอยู่ในวังวนจึงเริ่มลังเล นางไม่รู้ว่าควรจะส่งข้อความออกไปดีหรือไม่

‘หวังหลินมีคันศรลี่กวง เขาเลือกจะไม่นำมันออกมาตอนที่เห็นหินหยกของข้าแต่เลือกที่จะจากไปเสียนี่…ดูเหมือนเขารีบร้อนเล็กน้อย…เป็นไปได้ว่าเขาบาดเจ็บตอนที่ต่อสู้กับคนอื่นก่อนข้ามาถึง…’

‘ก่อนหน้านี้ เขาโจมตีด้วยกระบี่และไม่ได้มาเอง ส่วนสำคัญที่สุดคือกระบี่นั้นเสียงดังเกินไป ราวกับให้คุณค่ามากกว่าการโจมตี…เขาพยายามไล่ให้คนหนีไป…’

‘หรือว่าบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถใช้คันศรลี่กวงได้? เมื่อข้าก้าวออกไปอาจจะตกลงไปในกับดัก! หากข้าส่งข้อความออกไปและสิ่งที่ข้าคาดเดาเป็นเรื่องจริง สี่ขุนพลอาจจะสามารถชิงวิญญาณดวงที่สามมาได้โดยไม่ต้องพยายาม ข้าไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นแน่!’

‘แต่หวังหลินเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการมาก เขาบาดเจ็บจริงหรือแค่แกล้งทำกันแน่…’ ซื่อเจียมีท่าทีเปลี่ยนไปหลายอย่างและยังไม่มั่นใจ ร่างหวังหลินกำลังหายไป จนเป็นแสง ราวกับเป็นปฏิกิริยาของร่างกายตอนที่ระงับอาการบาดเจ็บเอาไว้

‘หากเขาบาดเจ็บอยู่จริงๆ นี่คือโอกาสดีที่สุด! หากข้าสังหารเขาและได้วิญญาณดวงที่สามมา ไม่ว่าข้าจะมอบมันให้เซียนเต๋าสีรุ้งหรือผีเฒ่าจาง นี่ก็จะเป็นผลพลอยได้กับข้า ในอนาคตข้าจะมีที่ยืนแม้แต่บนแผ่นดินเซียนดารา…’ ซื่อเจียกัดฟันแน่นและกำลังจะล้มเลิกการถอย แต่นางยังคงลังเล นางสะบัดแขนให้หมอกสีม่วงปรากฏ กระบี่สีม่วงพุ่งทะยานจากข้างในและมุ่งหน้าไปหาหวังหลิน

‘ข้าจะลองสักครั้ง! หากการกระทำของเขาน่าสงสัยเกินไปคงมีอะไรผิดพลาด!’ ซื่อเจียดวงตาส่องสว่างขึ้นมาและจ้องไปข้างหน้า

กระบี่เหินสีม่วงรวดเร็วมากและเข้าประชิดหวังหลินในเสี้ยวพริบตา พอถึงระยะพันฟุต แววตาหวังหลินเย็นเยียบและยกนิ้วชี้ขวาขึ้นมา กระบี่สีม่วงเต็มไปด้วยระดับบ่มเพาะขั้นแก่นแท้ดับสูญ นิ้วหวังหลินสัมผัสปลายกระบี่ในทันที

พอแตะไป ความคิดหวังหลินแล่นอย่างรวดเร็ว เขาล้มเลิกการแกล้งว่าบาดเจ็บและแสดงระดับบ่มเพาะสูงสุดทันที หกแก่นแท้แรกได้ระเบิดออกมาจากร่างกายเข้าสู่ปลายนิ้ว

กระบี่พังทลายเป็นหมอกสีม่วงและเกิดเสียงดังสนั่น ร่างหวังหลินสั่นเทาแต่ไม่ล่าถอย เขาจ้องมองซื่อเจียอยู่ห่างๆ จิตสังหารผุดขึ้นมาในดวงตา

หกแก่นแท้ครอบคลุมร่างกายและเป็นช่วงจังหวะที่เขาทรงพลัง ราวกับไม่ได้บาดเจ็บอันใด เขาจ้องมองซื่อเจียอยู่ชั่วขณะก่อนจะเยาะเย้ยและหันตัวไป

ซื่อเจียดวงตาเปล่งประกายอยู่ในวังวน

‘เขาบาดเจ็บ!! และไม่ใช่แค่บาดเจ็บทั่วไป หากเขาพยายามเล่นกลกับข้า เขาคงต้องแกล้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อทำให้ข้าติดตามไป!’

‘แต่เขาไม่ได้แกล้งทำเป็นบาดเจ็บและแสดงระดับบ่มเพาะสูงสุดเพื่อระงับอาการบาดเจ็บมาหลอกข้า มีเพียงคนที่บาดเจ็บจริงๆ เท่านั้นและกลัวว่าคนอื่นจะมองออกถึงทำเช่นนี้!’

โดยเฉพาะตอนที่นางเห็นวังวนปรากฏขึ้นรอบตัวหวังหลิน มันเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะออกไปจากโลกนี้ ทำให้นางมั่นใจมากขึ้น!

‘ข้าเดาไม่ผิด! หวังหลิน เจ้าหนีไปไม่ได้แน่! เจ้าพวกนั้นบอกว่าเจ้ามันเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก แต่เจ้าก็ยังเผยจุดอ่อน!’ ซื่อเจียเก็บหินหยกและไม่ส่งข้อความ ออกไปแล้ว แววตาปรากฏความโลภขึ้นมาและกังวลว่าหวังหลินจะหนีไป นางจึงก้าวออกไปจากวังวนโดยไม่ลังเล

ขณะที่ก้าวออกมาและวังวนหายไป นางจึงหมดทางหนีรอดโดยสิ้นเชิง!

ในขณะที่นางก้าวออกไป ร่างกายพลันเริ่มร่วงหล่น การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้สีหน้าท่าทางต้องเปลี่ยนอย่างมหาศาล!

‘ไม่ดีแล้ว!!!’

วินาทีนั้นหวังหลินหันกลับมาและผุดจิตสังหารขึ้น เขาพุ่งใส่นางทันทีพร้อมกับแสงสีโลหิตติดตามมาด้วย!

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในพริบตา ซื่อเจียไม่มีเวลาแม้แต่การตอบสนอง กระบี่โลหิตเข้าประชิดนางจนไม่มีเวลาแม้แต่การนำหินหยกออกมา!

ร่างหวังหลินปิดบังทัศนวิสัยของนางไปแล้ว!

โลหิตสาดกระจายออกมาจากหน้าอกของซื่อเจียและไหลย้อมเสื้อสีม่วง มันไม่ได้เป็นสีแดงแต่เป็นสีดำ! เสื้อผ้าของนางขาดแหว่งจนเผยผิวกาย ช่างเป็นภาพที่ทำให้ใครก็ต้องหัวใจเต้น!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version