1827. สามคำ!
หวังหลินไม่ประหลาดใจ ราวกับรู้อยู่แล้วว่าเสียงนี้จะดังขึ้นมา พอได้ยินจึงหันกลับไปหิมะร่วงโรย ชายชราผมขาวในชุดคลุมเต๋ากำลังนั่งบนกองหิมะและมองมาที่หวังหลิน
ชายชราดูเหมือนรอคอยหวังหลินอยู่ที่นี่มานาน ราวกับรู้ว่าหวังหลินคงจะปรากฏตัวมาในที่แห่งนี้เหมือนตอนที่ใช้วิชาบิดมิติในสายเพลิงปฐพี
ดวงตาเป็นประกายแห่งปัญญา เขามองหวังหลินราวกับสามารถมองทะลุได้ถึงจิตใจ
ชั่วขณะที่เขามองหวังหลิน หวังหลินก็มองอีกฝ่ายไปเช่นกัน รูม่านตาพลันหดเล็กลงแต่ก็กลับคืนสู่ปกติอย่างรวดเร็ว สายตาของชายชราเผยแก่นแท้ออกมา แต่นี่ไม่ใช่ร่างดั้งเดิม มันคือ ร่างแก่นแท้!!
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินเห็นร่างแก่นแท้ของคนอื่นนอกจากของตัวเอง!
ถึงจุดนี้จึงแน่ชัดเรื่องตัวตนของชายชราแล้ว!
“ผู้น้อยขอทักทาย ท่านกระทิงเขียว” หวังหลินยังคงคำนับฝ่ามือด้วยท่าทีสงบนิ่ง
ร่างแก่นแท้ของกระทิงเขียวมองดูหวังหลินและเอ่ยขึ้น “จงเผยร่างแก่นแท้ของเจ้า ให้ข้าดู”
หวังหลินเลิกคิ้ว เปลวเพลิงในดวงตาซ้ายกะพริบวาบ ร่างเงาปรากฏขึ้นด้านหลังและเปลี่ยนกลายเป็นร่างแก่นแท้ มันดูเหมือนหวังหลินไม่มีผิดและจ้องไปที่ ร่างแก่นแท้ของกระทิงเขียว
สองร่างแก่นแท้ต่างจ้องมองกัน ร่างแก่นแท้ของกระทิงเขียวพลันยืนขึ้น กลิ่นอายน่ากลัวแผ่กระจายออกมาห่อหุ้มภูเขาสวรรค์ หิมะสีฟ้าถูกสายลมพัดปลิว
“เป็นร่างแก่นแท้จริงๆ…ในชีวิตข้านอกจากตัวข้าเองแล้ว เจ้าคือ คนที่สามที่ข้าได้เห็นร่างแก่นแท้…”
หวังหลินขบคิดและไม่ได้พูดอะไรออกมา
ร่างแก่นแท้ของกระทิงเขียวพลันเอ่ยปาก “เจ้าชื่อหวังหลิน!”
หวังหลินยังคงสงบนิ่งราวกับไม่ประหลาดใจที่ชายชรารู้ชื่อเขา ฟ่านชานเมิ่งเองก็รู้จักเขาดังนั้นจึงไม่ประหลาดใจที่บรรพชนของสำนักมหาวิญญาณจะรู้
หวังหลินเอ่ยขึ้น “เป็นข้าเอง!”
“เหล่าผู้ได้ก้าวออกมาจากโลกถ้ำ…ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ…” ร่างแก่นแท้ของกระทิงเขียวพลันถอนหายใจ
หวังหลินดวงตาส่องสว่างและเอ่ยถาม “ข้าสงสัย ร่างแก่นแท้ของผู้อาวุโสเป็นแก่นแท้อะไร?”
อีกฝ่ายยิ้มออกมา เขาไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรกับคำถามหวังหลิน “ร่างแก่นแท้ของข้าสร้างขึ้นจากแก่นแท้ความเย็น…มันหนาวเย็น ไม่ใช่น้ำ…เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
หวังหลินขมวดคิ้วและมองดูร่างแก่นแท้ของชายชราอย่างละเอียดอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยปาก
“ความหนาวเย็นคือ กลิ่นอายและน้ำเป็นกายภาพ…”
กระทิงเขียวยิ้มให้และมองดูหวังหลินด้วยความชื่นชมอย่างไม่อาย
“ข้ารู้ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเข้ามาในค่ายกลสำนักมหาวิญญาณ ข้าเฝ้าดูเจ้าเข้าไปในภูเขาแดง เฝ้าดูเจ้าพบกับฟ่านชานลิ่ว เฝ้าดูเจ้าดูดซับเพลิงปฐพีสายหลัก…”
“เจ้าได้สร้างร่างแก่นแท้เพลิงในสำนักมหาวิญญาณของข้า ดังนั้นจึงหมายความเจ้าและสำนักมหาวิญญาณมีชะตาต้องกัน! เช่นนั้นแล้วคงไม่ต้องรีบจากไปเร็วนัก หวังหลิน ข้าให้ตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนักมหาวิญญาณกับเจ้า ว่าอย่างไร?”
หวังหลินดวงตาส่องสว่างแต่ไม่พูดออกมา
ร่างแก่นแท้ของกระทิงเขียวได้มองดูหวังหลินและเอ่ยขึ้น “บนแผ่นดินเซียนดารานั้น การจะเติบโตได้เจ้าต้องมีพันธมิตร เว้นแต่เจ้าจะสร้างสำนักขึ้นมาเอง เจ้าสามารถปฏิเสธข้อเสนอได้ แต่อีกไม่ช้าไม่เร็วก็จะต้องเผชิญกับตัวเลือกนี้!”
“สำนักมหาวิญญาณของข้าเป็นหนึ่งในเก้าสำนักสิบสามกองกำลังของแผ่นดินตะวันออก การกลายเป็นผู้อาวุโสของสำนักข้า ข้าจะให้ยอดเขาและถ้ำกับเจ้า! ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ สำนักมหาวิญญาณจะเอื้ออำนวยทั้งหมด ตราบใดที่เจ้าบรรลุเงื่อนไขได้ก็สามารถเรียนรู้วิชาเต๋าใดก็ได้ของสำนักมหาวิญญาณ! ว่าอย่างไรเล่า?”
สิ่งที่กระทิงเขียวพูดช่างน่าเย้ายวนยิ่งนัก เขาไม่ได้คุกคามหวังหลินและเมินเฉยเรื่องที่หวังหลินทำลายสายเพลิงปฐพี ต่อสู้กับสตรีคนนั้นและทำให้เกิดเพลิงไหม้ในสำนักมหาวิญญาณ
แต่ยิ่งเขาเมินเฉยเรื่องนี้และยิ่งดูไม่สนใจมากแค่ไหนน ยิ่งทำให้หวังหลินเข้าใจแรงกดดันที่มองไม่เห็นมากเท่านั้น อย่างไรก็ตามสีหน้าท่าทางของหวังหลินกลับ สงบนิ่ง จิตใจราบเรียบ เขาพอคาดการณ์สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งหมดได้หลังจากเข้าไปในสำนักมหาวิญญาณ
ซึ่งรวมถึงข้อควรระวังต่อกระทิงเขียว พอหวังหลินเห็นอีกฝ่ายไม่ได้มาด้วย ร่างจริงแต่เป็นร่างแก่นแท้ หวังหลินจึงคาดเดาเจตนาที่แท้จริงได้แล้ว
ใช้ร่างแก่นแท้เพื่อให้จิตใจหวังหลินเอนเอียง ทุกอย่างที่พูดเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น ข้อเสนอจริงๆยังไม่พูดออกมา
พอเห็นว่าหวังหลินยังคงขบคิด ร่างแก่นแท้ของกระทิงเขียวจึงยิ้มและพูดขึ้นอีกครั้ง
“รวมไปถึง ข้าจะกลายเป็นคนที่ช่วยเจ้าได้มากที่สุดเพราะเราต่างก็มีร่างแก่นแท้ ข้าสามารถบอกความลับเรื่องร่างแก่นแท้ให้กับเจ้าได้…”
หวังหลินกำลังรอคำตอบนี้ ดวงตาพลันหรี่แคบ ทว่าเขากลับเงียบและไม่ได้ปฏิเสธหรือตกลง เขามองมาที่ร่างแก่นแท้ของกระทิงเขียว
“ข้าจะให้เวลาเจ้าคิดหนึ่งก้านธูปไหม้!” กระทิงเขียวสะบัดแขน หิมะรอบด้านรวมกันก่อตัวเป็นก้านธูปซึ่งกำลังเผาไหม้และละลายอย่างช้าๆ มันไม่ต่างอะไรกับก้านธูปจริงๆเลย
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผ่านไปชั่วครึ่งก้านธูป หวังหลินพลันเอ่ยขึ้น
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะปรากฏตัวที่นี่หลังจากออกมา?”
“สำนักมหาวิญญาณของข้ามีวิชาเต๋าในชื่อ ‘เต๋าเนตรวิญญาณ’ วิชานี้สามารถทำนายได้หลายอย่าง…บนแผ่นดินเซียนดารามีผู้คนมากมาย ซึ่งมีหลายวิธีในการทำนาย ในเผ่าเทพของข้า ราชครูในวังหลวงถือเป็นอันดับหนึ่ง”
“เพียงพลังอำนาจของคนคนเดียว ด้านการทำนายแล้วเขาเทียบได้กับสามราชครูของสามแคว้นโบราณ!”
“วิชาเต๋าเนตรวิญญาณของข้านั้นแค่ปลายขอบเส้นทางการทำนาย มันไม่ได้เน้นด้านการทำนายคนอื่น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้คนอื่นทำนายเจ้าได้ยากขึ้น”
“หากเจ้าต้องการเรียน ข้าสามารถสอนเจ้าได้…เวลากำลังจะหมดแล้ว ข้ากำลังรอคอยคำตอบเจ้า” กระทิงเขียวยิ้มออกมา
หวังหลินมองดูก้านธูปหิมะที่เหลือเวลาอยู่ไม่มากนัก ดวงตาส่องสว่างพลางก้าวถอยหลัง ร่างแก่นแท้ก็ก้าวเท้าด้วย ระลอกคลื่นดังกึกก้องและหายตัวไปจาก ภูเขาสวรรค์
การเคลื่อนไหวฉับพลันนี้ไม่ได้ถูกกระทิงเขียวหยุดยั้ง แม้แต่สีหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง เขาเห็นหวังหลินหายตัวไปและส่ายศีรษะเล็กน้อย
“หากเจ้าเป็นคนที่ท่านบรรพชนพูดถึงตอนที่เขาเลือกตำแหน่งในการสร้างสำนักมหาวิญญาณไว้บนเพลิงปฐพีสายหลักอยู่จริงๆ เช่นนั้นเจ้าก็จะกลับมาก่อนที่ก้านธูปหิมะจะไหม้จนหมด ข้ามีวิชาและข้อมูลที่เจ้าต้องการ แต่หากเจ้าไม่กลับมา เจ้าก็ไม่ใช่คนนั้นที่…” ขณะที่เขาพึมพำได้พลันหลับตาไปด้วย
ก้านธูปหิมะเหลืออยู่ไม่มากนัก มันกำลังละลายอย่างช้าๆ
ห่างออกไปจากภูเขาสวรรค์ไม่ไกลนัก สถานที่หนึ่งในแคว้นกระทิงสวรรค์ที่ หวังหลินใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนเพื่อทะยานไป มีภูเขาลูกหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้ สีเขียว ระลอกคลื่นในท้องฟ้าดังกึกก้องและหวังหลินก้าวออกมา
พื้นที่บริเวณนี้เต็มไปด้วยภูเขาและทั้งหมดเป็นรูปทรงไม่เสมอกัน เทือกเขาหนาแน่นไร้จุดที่สุด ซึ่งเป็นรูปแบบทั่วไปที่พบได้ในแคว้นกระทิงสวรรค์
“เต๋าเนตรวิญญาณ…ไม่ว่าวิชานี้จะมีจริงหรือไม่ ข้าสามารถทดสอบมันได้ง่ายๆ!” หวังหลินดวงตาส่องสว่างและมองไปรอบๆ เขาไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติอันใด แม้จะมีสิ่งมีชีวิตหลายตัวอยู่ใกล้ๆ แต่พวกมันก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคาม
สายลมที่นี่รุนแรง เมื่อพัดผ่านเข้ามาในป่าไม้บนภูเขา จึงทำให้ใบไม้ส่งเสียงอย่างเป็นธรรมชาติ
หวังหลินหันตัวกลับและกำลังจะจากไป ทว่าร่างกายสั่นเทาราวกับเห็นอะไรบางอย่างเลือนลาง หวังหลินมองลงไปที่เทือกเขาด้านล่างทันที
พื้นดินดูธรรมดาราวกับไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
แต่หวังหลินหรี่ตาแคบและรู้สึกว่าเส้นขนทั้งหมดตั้งขึ้น เขาสะบัดแขนให้สายลมพัดผ่านภูเขา ต้นไม้ส่ายโอนเอนไปมา พริบตาเดียวภูเขาและต้นไม้ส่ายจนคล้ายกำลังก่อเกิดเป็นคำพูด!
คำพูดนี้เรียบง่ายยิ่ง เป็นคำว่า “หวัง”
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ดวงตาหวังหลินเผยประกายแสงประหลาดและผสานกับโลกอีกครั้ง เขาปรากฏตัวห่างออกไปใกล้สำนักมังกรฟ้า หวังหลินเคยมาที่นี่ครั้งก่อนซึ่งเป็นจุดที่เขาดูดซับสายเพลิงปฐพีกิ่งก้านเล็กและเป็นที่ที่เขาเจอกับตู้ฉิง
‘ตำแหน่งที่สร้าง ‘หวัง’ ขึ้นมาเป็นตำแหน่งที่ข้าไม่เคยไปมาก่อน มีอีกหลายวิธีทางในการอธิบายว่าทำไมถึงมีคำพูดเกิดขึ้นที่นี่ ตอนนี้ข้าได้ไปที่ที่ข้าเคยไปมาก่อน ข้าอยากดูว่ามันจะมีปาฎิหาริย์เกิดขึ้นจริงหรือไม่!’ หวังหลินปรากฏตัวในท้องฟ้าและมองดูด้านล่าง
ทว่าสิ่งที่เขาเห็นได้ทำให้ร่างกายสั่นเทา จ้องมองพื้นดินด้วยความคิดสั่นสะเทือน
เพราะสายเพลิงปฐพีแห้งเหี่ยวจึงทำให้เกิดรอยแตกร้าวขึ้นบนพื้น และรอยแตกนั้นก่อตัวเป็นคำว่า “หลิน!”
เพียงมองจากด้านบนจะเห็นคำว่า “หลิน”
หวังหลินหลับตา เขามั่นใจว่ารอยแตกร้าวทั้งหมดเพิ่งเกิดขึ้นที่นี่และไม่ได้เป็นฝีมือคนอื่น นั่นหมายความว่ารอยแตกร้าวทั้งหมดเกิดขึ้นตามธรรมชาติ!
หวังหลินขบคิดและหายตัวไป ครั้งนี้ไม่ได้เลือกเป้าหมาย เคลื่อนไหวอย่าง ไร้ทิศทางโดยไม่รู้ว่ากำลังไปไหน เขาปรากฏตัวในท้องฟ้าแห่งหนึ่งเหนือแคว้น กระทิงสวรรค์
หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกไปและไม่เห็นพื้นดินที่เขียนคำพูดอื่นอีก ด้านล่างเป็นแม่น้ำโค้งออกไป สายน้ำนี้ดูธรรมดามากและไม่ได้เป็นรูปคำพูดอันใด
หวังหลินดูผ่อนคลายแต่ไม่นานสีหน้าก็เคร่งเครียด เขาเห็นสะพานหินเก่าแก่ ที่เคยใช้มานานมากและมันพังทลายไปแล้วจนเหลือเพียงส่วนปรักหักพัง มีแผ่นหินจารึกที่ดูเหมือนมีชื่อของสะพานแห่งนี้สลักเอาไว้
พริบตาเดียวหวังหลินร่อนไปข้างแผ่นหิน หลังจากมองดู ร่างกายสั่นสะท้านอย่างรุนแรงอีกครั้ง
“กลับ…” หวังหลินพึมพำ