Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1939

Cover Renegade Immortal 1

1939. มหาเทพจิน!

ทางตอนเหนือของแผ่นดินทิศตะวันออกมีแคว้นแห่งหนึ่งเรียกกันว่า แคว้นมหาปราชญ์!

แคว้นมหาปราชญ์นั้นอยู่ห่างไกลและอ้างว้างยิ่งกว่าแคว้นกระทิงสวรรค์ มีคนธรรมดาจำนวนมากบนแคว้นนี้และพื้นดินก็อุดมสมบูรณ์จนปลูกอะไรก็ได้ผลิตผลงอกงาม คนทั่วไปบนแคว้นมหาปราชญ์จึงมีชีวิตที่ดี

ลือกันว่าเหล่าเทพได้จุติลงมาผ่านคนทั่วไปเป็นเวลานานหลายปี ดังนั้นแทบทุกคนจึงเทิดทูนเหล่าเทพและทั้งหมดก็ต้องการเป็นเทพ

แต่สำนักบนแคว้นแห่งนี้ไม่ค่อยออกไปไหน บางทีเพราะความลึกลับของสำนักตงหลินซึ่งเป็นสำนักอันดับหนึ่งของแคว้นนี้ เหล่าสำนักอื่นทั้งหมดจึงต้องทำตาม พวกเขาปกคลุมตัวเองด้วยชั้นหมอกหลายชั้น แต่เพราะเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้เหล่าคนธรรมดายิ่งโหยหาความเป็นเทพมากขึ้นไปอีก

ความลึกลับของสำนักตงหลินทำให้พวกเขามีสถานะต่ำมากท่ามกลางเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง ศิษย์แต่ละคนแทบไม่ค่อยออกมาและส่วนใหญ่ต่างก็บ่มเพาะอยู่ในสำนัก

บนท้องฟ้าของแคว้นมหาปราชญ์มีก้อนเมฆสีขาวจำนวนมาก ก้อนเมฆนี้ปกคลุมท้องฟ้าตลอดทั้งปีราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมัน หากมีช่วงที่ไม่มีก้อนเมฆ เหล่าคนธรรมดาคงประหลาดใจ

ยามนี้ในแคว้นมหาปราชญ์ ด้านนอกเมืองธรรมดาแห่งหนึ่งมีคนยืนอยู่เกือบร้อยคน นำหน้าโดยคนชราสามถึงสี่คนที่ดูอ่อนแอแต่กลับเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ คนรับใช้แต่ละคนกำลังช่วยเหลือและพวกเขารอมาสองชั่วโมงแล้ว

คนที่เหลือทั้งหมดต่างก็อดทนอย่างมากราวกับการเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ช่างมีเกียรติ ทั้งหมดทอดสายตามองออกไปไกลราวกับกำลังรอคอยบางอย่าง

แต่ดูเหมือนพวกเขารอคอยมานานเกินไป ผ่านไปอีกชั่วโมงก็เป็นยามบ่าย ดวงอาทิตย์อันร้อนระอุส่องกระทบบนพื้นดิน แม้แต่สายลมยังร้อนแรง

คนบางส่วนไม่อาจทนได้อีก แม้จะมีจิตใจแข็งแกร่งแต่ความร้อนจากดวงอาทิตย์ก็ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนจะเป็นลม ชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นสวมชุดคลุมสุภาพรับเศษน้ำแข็งจากคนรับใช้ วางไว้บนหน้าผากและอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำ

“ท่านมหาเทพลืมมาที่นี่หรืออย่างไร…เรารออยู่เกือบสามชั่วโมง ตอนนี้ก็เวลาบ่ายที่เป็นช่วงที่ร้อนที่สุด เราต้องรอไปอีกนานแค่ไหน…”

ชายชราด้านหน้าชายวัยกลางคนพลันหันกลับมาจ้อง “หุบปาก! แม้ท่านมหาเทพจะไม่มา ก็เป็นเรื่องของท่าน หากเจ้าไม่อยากรอก็ไม่มีใครบังคับเจ้า!”

หลังจากโดนชายชราดุด่า ชายวัยกลางคนเผยรอยยิ้มล้อเลียนและกำลังอธิบาย

“ฮึ่ม ท่านมหาเทพจะต้องมาที่นี่หลังจากข้าและสหายอ้อนวอนอยู่นาน แม้ข้าอายุปูนนี้แล้ว ข้าก็รอโดยไม่กล้าเผยความไม่เคารพเหมือนคนที่ไม่อยากรอเช่นเจ้า หากท่านมหาเทพขุ่นเคือง ทั้งตระกูลของเจ้าอาจถูกขับไล่ออกจากเมือง!” ชายชราจ้องชายวัยกลางคนอย่างดุดัน เขารับผ้าเช็ดหน้าจากคนรับใช้มาปาดเหงื่อบนหน้าผาก

“ท่านมหาเทพเป็นคนใจดีและยอมเสียเวลาบ่มเพาะเพื่อเดินทางมาที่แคว้นมหาปราชญ์ ใครจะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเขากันเล่า? ข้าได้ยินมาว่าเมืองหลินได้เชิญชวนท่านมหาเทพและมีเด็กเจ็ดคนถูกคัดเลือก แม้จะมีสามคนถูกส่งกลับมา แต่อีกสี่คนได้เข้าสำนักเทพ พอเขาเหล่านั้นกลายเป็นเทพ แม้แต่หมูหมากาไก่ยังสามารถไต่เต้าขึ้นสวรรค์ได้!”

“ท่านเทพได้พูดว่า เมื่อกลายเป็นเทพแล้ว แม้แต่หมูหมากาไก่ก็สามารถขึ้นสวรรค์ได้! หากหลานชายข้าสามารถเข้าสำนักเทพได้ ข้าจะยอมทิ้งความมั่งคั่งทั้งหมดของข้าเลย!” ชายชราอีกคนพึมพำด้วยท่าทีตื่นเต้น

“ถูกต้องแล้ว ลี่หยวนว่ายแห่งเมืองหลินเป็นสหายข้า ท่านมหาเทพพักที่บ้านเขาและไปเจอหลานสาวที่อายุยี่สิบปีแล้ว ตามข่าวลือนั้นการที่นางจะเข้าสำนักถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่เพราะลี่หยวนว่ายร้องรอ ท่านมหาเทพจึงพานางไปด้วย!”

“ข้าก็ได้ยินเช่นกันที่ท่านมหาเทพบอกว่า เมื่อได้กลายเป็นเทพ แม้แต่หมูหมากาไก่ก็สามารถขึ้นสวรรค์ได้! คำพูดนี้โด่งดังมากในแคว้นมหาปราชญ์…”

คนรอบด้านเริ่มพูดคุยกันและดูเหมือนจะอิจฉาคนที่โชคดี

ขณะที่ทุกคนพูดอย่างตื่นเต้นและลืมความร้อนไปชั่ววูบ สายลมวูบหนึ่งได้พัดผ่านเข้ามาทำให้คนนับร้อยรู้สึกเย็นสบาย ทุกคนต่างก็มองขึ้นไป

ห่างออกไปมีร่มสีแดงกางออกมาขนาดกว้างหลายร้อยฟุต ด้านล่างเป็นเก้าอี้ไม้ไผ่สีม่วง มีชายร่างกำยำสวมชุดคลุมสีทองจำนวนสี่คนกำลังแบกหามเก้าอี้

รอบชายกำยำสี่คนมีเด็กอยู่หลายสิบคน พวกเด็กต่างก็ถือขวดสมบัติ พู่กันหรือไม่ก็หินหยกส่องประกายเดินนำที่ข้างหน้า

ใจกลางเก้าอี้มีชายชราผมขาวนั่งอยู่ เขาเปล่งกลิ่นอายแห่งความเป็นเทพและดูเหมือนเทพจริงๆ!

เขาแตกต่างจากคนธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด สวมชุดคลุมสีขาวและถึงแม้เรือนผมทั้งหมดจะเป็นสีขาว ผิวกายกลับเนียนละเอียดดุจทารก เวลานี้ดวงตาพลันหรี่แคบลงและเปล่งแสงออกมา

“ท่านเทพ!”

“มหาเทพ!”

“นั่นมหาเทพจิน!!” พอเห็นแบบนี้เหล่าคนนับร้อยด้านนอกเมืองต่างก็ดูตื่นเต้นและเผยท่าทีเคารพ เหล่าคนแก่ที่มีคนรับใช้ได้ผลักคนรับใช้ของตัวเองออกห่าง พวกเขาคุกเข่าลงและเริ่มกราบไหว้อย่างตื่นเต้น

“ท่านมหาเทพจินเปียว ช่วยข้ากลายเป็นเทพด้วยเถิด! ท่านมหาเทพจินเปียว นำลูกหลานของเราให้กลายเป็นเทพด้วยเถิด!” ชายชราสี่คนถือเก้าอี้ยกขึ้นร้องตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน

เสียงแต่ละคนดูเหมือนผสานกันเป็นหนึ่ง ราวกับซักซ้อมกันมาหลายครั้ง ทว่าในยามนี้กลับมีเสียงจากท้องฟ้าแผ่กระจายออกไปราวกับเสียงเพลงลงสู่ด้านล่าง

“มหาเทพจินเปียว เทพผู้เป็นอมตะ! มหาเทพจินเปียว ดุจดั่งขุนเขาแห่งโลกา!”

“มหาเทพจินเปียว จอมปราชญ์ปรากฏตัวอีกครั้งแล้ว!” ขณะที่ชายกำยำทั้งสี่คนร้องคำราม พวกเด็กรอบๆ ก็ร้องตะโกนไปทีละคน จนเสียงดังกึกก้อง

ชายชราบนเก้าอี้เผยใบหน้าเมตตา แต่ความเมตตามีสัมผัสแห่งความมีอำนาจมองลงมายังคนที่คุกเข่าด้านล่าง เขายกแขนขวาขึ้นมาโบกสะบัด

เพียงเท่านี้โลกก็เปลี่ยนสีสัน ก้อนเมฆในท้องฟ้ากระจัดกระจาย พื้นที่ภายในบริเวณหมื่นลี้กลายเป็นท้องฟ้าสดใสไร้ก้อนเมฆ!

การเปลี่ยนแปลงในท้องฟ้าได้ทำให้คนธรรมดาด้านล่างตกตะลึงอย่างสิ้นเชิงและทำให้รู้สึกยิ่งหวาดกลัวและตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก

ชายชราผมขาวเผยความรู้สึกพึงพอใจที่มิอาจตรวจจับได้ เขาหลอกลวงได้แม้แต่เหล่าเทพจริงๆ และยังหลอกลวงคนธรรมดาได้จำนวนมาก

แต่ถึงแม้จะภูมิใจ เขาก็ยังต้องทำในสิ่งที่ควรทำให้สมบูรณ์แบบ นี่เป็นความต้องการอันเข้มงวดกับตัวเอง เขายกแขนซ้ายขึ้นและโบกสะบัดอีกครั้ง

ตำหนักอันสวยงามและเลอค่าพลันปรากฏขึ้นในท้องฟ้าสดใส แม้จะเป็นเพียงภาพมายาแต่ภายใต้แสงตะวันยามบ่ายนี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันคือตำหนักเทพ

มีแม้กระทั่งกระเรียนเทพบินออกมาจากตำหนัก พวกมันบินรอบท้องฟ้าและพัดสายลมรุนแรงลงสู่พื้นดิน

ผู้คนด้านล่างทั้งหมดจับจ้องฉากเหตุการณ์อันแปลกประหลาดเบื้องบน พวกเขาอยู่ห่างไกลมากจนมองไม่เห็นหยาดเหงื่อบนใบหน้าชายชรา ซึ่งดูเหมือนวิชานี้จะสร้างภาระให้เขาอย่างใหญ่หลวง

พออารมณ์ความรู้สึกมาถึงขีดสุด ชายชราก็ยืนขึ้นโบกสะบัดแขนและส่งเสียงดังดุจฟ้าร้อง “เมื่อได้กลายเป็นเทพ แม้แต่หมูหมากาไก่ก็สามารถไต่เต้าขึ้นสวรรค์ได้!”

เพียงน้ำเสียงเอ่ยดังกึกก้อง เหล่าคนธรรมดาที่กำลังคุกเข่าด้านล่างจึงตื่นเต้นและพึมพำไปพร้อมกับชายชรา

“เมื่อได้กลายเป็นเทพ แม้แต่หมูหมากาไก่ก็สามารถไต่เต้าขึ้นสวรรค์ได้!”

เก้าอี้ค่อยๆ ลอยลงมาจากท้องฟ้า ชายชราผมขาวยิ้มอย่างอ่อนโยน ผู้คนด้านหน้าลุกขึ้นและมองชายชราอย่างตื่นเต้น

“ยินดีต้อนรับ ท่านมหาเทพจินเปียว!”

“ยินดีต้อนรับ ท่านมหาเทพจินเปียว!!”

“เอาหล่ะ ข้ามักจะทำตัวง่ายๆ เวลาของข้ามีจำกัด ดังนั้นข้าจะพักอยู่ที่นี่สามวันเท่านั้น ภายในสามวันจงนำพาเด็กของพวกเจ้ามาหาข้าเพื่อดูว่ามีชะตาได้กลายเป็นเทพหรือไม่ และข้าจะพาพวกเขาไปด้วย” ชายชราผมขาวยิ้มและพูดจาสุภาพ แต่ยิ่งเขาทำแบบนี้ยิ่งเปล่งกลิ่นอายแห่งเทพออกมา

ชายชราผมขาวดูเหมือนคุ้นชินกับท่าทีตื่นเต้นของผู้คน เขายิ้มและรู้สึกภูมิใจเล็กๆ อยู่ในใจ

‘ข้า จินเปียวจื่อ ออกมาจากหมู่บ้านตั้งแต่อายุหกถึงเจ็ดปี หลอกล่อผู้คนมาระหว่างทาง ดังนั้นผ่านมาหลายปีข้าจึงหลอกลวงคนไปจำนวนมาก ข้าจินเปียวจื่อถือกำเนิดแตกต่างจากคนอื่น ไม่เพียงแต่ข้าจะมีพรสวรรค์ แม้จะไม่มีสำนักหรืออาจารย์ ข้าก็เรียนรู้การบ่มเพาะด้วยตัวเองได้!’

‘คนแบบข้าหาได้ยากมาก! คุ้มแล้วที่ได้หลอกลวงคนเพื่อส่งข้ามาที่แคว้นมหาปราชญ์ คนที่นี่หลอกง่ายและอยากกลายเป็นเทพ ยิ่งทำให้ที่นี่กลายเป็นขุมทรัพย์สำหรับคนแบบข้า!!’

‘สิ่งสำคัญที่สุด ไม่มีคู่แข่งแบบเดียวกับข้า ที่ข้าทำก็แค่พูดประโยคเดียว ‘เมื่อได้กลายเป็นเทพ แม้แต่หมูหมากาไก่ก็สามารถไต่เต้าขึ้นสวรรค์ได้ เส้นทางของข้าช่างลื่นไหลเสียจริง!’ ชายชรายิ้มพลางถูกผู้คนในเมืองทักทายอย่างเคารพและเข้าไปในเมือง!

เวลานี้ในแคว้นมหาปราชญ์ ห่างจากเมืองนี้ออกไปหลายหมื่นลี้ ระลอกคลื่นดังกึกก้องในท้องฟ้าและปรากฏหวังหลินขึ้นมา เขามองรอบๆ พร้อมกับแววตาเป็นประกาย

‘ที่นี่คือแคว้นมหาปราชญ์! สำนักตงหลินตั้งอยู่ที่ไหน?’

…………………………………………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version