217. พบปะ
ขณะที่ร่างหลักค่อยๆปรากฎตัวจากฎเกณฑ์ ห้องเยือกเย็นขึ้นจนทำให้ทั้งห้องมีชั้นหนาวเย็นเกาะกำแพงเต็มไปหมด
ร่างอวตารสูดหายใจลึกและเดินไปเบื้องหน้าตรงสู่ร่างหลักและรวมกันกลายเป็นหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นานสายตาหวังหลินปลดปล่อยแสงเยือกเย็นและร่างกายปลดปล่อยจิตสังหารอันรุนแรง ตลอดเวลาที่ได้อยู่ในแคว้นซู จิตสังหารของเขาไม่เคยลดลงเลย ตอนนี้เขาค่อยๆปลดปล่อยจิตสังหารเพียงเล็กน้อยและไม่เปิดเผยออกมา
หวังหลินขบคิดชั่วขณะพลางเคลื่อนร่างและผ้าปิดปากปรากฎบนใบหน้าพร้อมกับเสื้อผ้าที่เหมือนกับร่างอวตาร จากนั้นเขาออกจากห้องอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกชัดเจนว่าระดับฝึกฝนในร่างกายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
กล่าวได้ว่าเขามาถึงจุดสูงสุดของขั้นแกนลมปราณแล้ว เดิมทีมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเพิ่มระดับฝึกฝนอีกเพียงเล็กน้อย แม้ว่าเขาไม่ได้ถึงจุดที่ทำให้ทำลายแกนลมปราณเพื่อสร้างวิญญาณเซียนแต่กลับมีเสี้ยวพลังสีม่วงปรากฎในแกนลมปราณของเขา
หวังหลินรู้ได้ว่าเมื่อเขาพยายามทะลวงสู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิด พลังสีม่วงจะปรากฎอีกซึ่งมันเรียกว่าพลังงานแรกกำเนิดที่เป็นหัวใจหลักของการทะลวงผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิด
เมื่อทั้งแกนพลังถูกปกคลุมด้วยพลังสีม่วงนี้นั่นหมายถึงวันแห่งการสร้างวิญญาณเซียนจะมาถึงในไม่ช้า
ในที่ผ่านมาไม่ว่าหวังหลินจะพยายามมากแค่ไหน พลังงานสีม่วงไม่เคยปรากฎขึ้นมาก่อน แม้กระทั่งหลังจากหวังหลินกลืนกินวิญญาณเซียนไป พลังงานกลับถูกขอบเขตจวี่ทำลายขณะที่มันพึ่งปรากฎขึ้น
แต่ตอนนี้พลังงานสีม่วงนี้ปรากฎออกมาและขอบเขตจวี่ไม่โจมตีมัน นี่หมายถึงทฤษฎีของหวังหลินถูกต้อง หากเขาทำต่อไปในแผนเดิมและรวมร่างหลักเข้ากับร่างอวตารที่บรรลุวิญญาณแรกกำเนิด เมื่อนั้นร่างหลักจะบรรลุผ่านสู้ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดและเขาจะเป็นอมตะต่อหน้าทุกคนที่ต่ำกว่าขั้นตัดวิญญาณ
และเพิ่มจากวิชาอันหลากหลาย สมบัติ และการสืบทอดของเทพโบราณ เขาจะไม่กลัวเกรงการต่อสู้กับขั้นตัดวิญญาณเหมือนที่เขาไม่กลัวการต่อสู้กับขั้นวิญญาณแรกกำเนิดตอนนี้
หวังหลินสูดหายใจลึก เขายังไม่ได้พักแต่เคลื่อนไหวราวกับภูติพรายจนร่างมาถึงตำแหน่งวารนรวิญญาณ ดวงตาเพ่งไปที่วานรวิญญาณพลันคิด “มิน่าเล่ามันระดับสูงกว่าอสูรวิญญาณ ด้วยระดับฝึกฝนของร่างอวตาร ข้าไม่สามารถเห็นได้ว่าวิญญาณของมันยังอยู่ที่นี่”
หวังหลินเคลื่อนฝ่ามือขวากดลงบนศีรษะวานรและกล่าวขึ้น “นับที่ข้าเจอเจ้าครั้งก่อน ข้าจะช่วยเจ้าหนึ่งครั้ง จากวันนี้ในภายภาคหน้า เจ้าจะเป็นปิศาจตัวที่สามของข้า!”
ลำแสงสีดำปรากฎจากฝ่ามือหวังหลินเข้าไปในศีรษะวานรวิญญาณ มันลอยผ่านร่างวานรและกลับออกมาจากศีรษะมัน พร้อมกันนั้นวิญญาณของวานรอยู่ในแสงสีดำนั้นด้วย
ขณะที่วิญญาณปรากฎ กลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านปรากฎขึ้น กลิ่นหอมจากสมุนไพรรอบสวนหายไป สมุนไพรเองก็เริ่มร่วงโรยทีละต้น
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นและกล่าวอย่างช้าๆ “ดูเหมือนวิญญาณตัวนี้จะมีการต่อต้านโดยธรรมชาติ เยี่ยมมาก ไม่เพียงแต่ร่างของเจ้าแต่วิญญาณเจ้ายังพบเจอเคราะห์กรรมหลายอย่างก่อนที่เจ้าจะตาย” หวังหลินสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายรอบร่าง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาสัมผัสถึงกลิ่นอายนี้ได้ ครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้คือสี่ร้อยปีก่อนในแคว้นจ้าว
เจ้าของกลิ่นอายนี้ตอนนั้นก็คือหวังหลินเอง
ตอนนี้เขาเห็นได้ว่าวิญญาณอสูรตัวนี้มีกลิ่นอายเช่นเดียวกับเขา เขายื่นมือออกมาคว้าวิญญาณและเก็บมันเข้าใส่ธงวิญญาณ
หลังวางกฎเกณฑ์ลงบนธงเล็กน้อยจึงเก็บมันไปและปล่อยไว้ ภายในธงมีวิญญาณที่แข็งแกร่งตัวอื่นซึ่งเขาเก็บไว้เพื่อสร้างปิศาจตัวใหม่
หากวานรวิญญาณตัวนี้ไม่กลืนกิน มันจะถูกวิญญาณตัวอื่นข้างในกลืนกินแทน จากนั้นก็ถึงเวลาจะกลายเป็นปิศาจตัวที่สาม หากไม่ทำเช่นนั้นเส้นทางเดียวที่เหลือไว้ก็คือถูกลืนกินเท่านั้น
หลังรวบรวมวิญญาณอสูร หวังหลินออกจากลานและมุ่งหน้าเข้าสู่ลานทิศใต้
แทบจะในทันที่ร่างหลักของหวังหลินปรากฎตัว คิ้วลี่มู่หวานขมวดขึ้น ร่างกายนางทำให้ร่างกายสั่นเทาเพราะอยู่ในกระบวนการหลอมเม็ดยาที่สำคัญมาก นางไม่สนใจกระบวนการหลอมที่จำเป็นต้องดูแลตลอดเวลาและโยนเตาปรุงยาออกไปขณะที่พุ่งออกไปจากห้อง
ชุดเม็ดยาอันดับสี่เปรียบไม่ได้กับการเจอคนหนึ่งในใจเธอตอนนี้
ขณะเดียวกันหยดโลหิตในคิ้วนางซึ่งมีสัมผัสวิญญาณของคนผู้นั้นได้ผันผวนทันที มันปลดปล่อยความรู้สึกที่อยากกลับไปหาเจ้าของ
ราวกับมีแม่เหล็กยักษ์ดึงเสี้ยวสัมผัสวิญญาณนี้จากที่ห่างไกล ร่างนางระเบิดออกมาเกือบทันทีและพุ่งไปสถานที่แห่งนั้น
รูปแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในที่ผ่านมาสองร้อยปี แต่ในหัวใจและความคิดนางกลับสัมผัสได้เหมือนเข้าใจบางสิ่ง หรือเป็นไปได้ว่าคนที่นางรอคอยมามากกว่าสองร้อยปีจะอยู่ไม่ไกล?
ลี่มู่หวานสูดหายใจลึกและพุ่งออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ขณะที่นางกำลังจะออกจากลาน น้ำเสียงแหบพร่าถามขึ้น “น้องสาว เจ้ากำลังจะไปไหน?”
แสงเยือกเย็นกระพริบผ่านแววตานาง นางพยายามจะเคลื่อนที่ไปเบื้องหน้าแต่ร่างกายสีขาวปรากฎตรงข้ามพร้อมกับป้องกันเส้นทางไว้ ร่างสีขาวเป็นชายวัยกลางคนจากคราวก่อน
เขามองลี่มู่หวานและประหลาดใจเล็กน้อย “น้องสาว เจ้ายังไม่ได้บอกข้าว่าจะออกไปไหน เอ๊ะ? หายากนะเนี่ยที่จะเห็นเจ้ารีบเร่งเช่นนี้”
แววตาลี่มู่หวานกระทั่งเยือกเย็นมากขึ้น นางจ้องชายคนนั้นขณะถอนสัมผัสวิญญาณจากร่างกลับมา นางพูดขึ้นทีละคำด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ซุนเซินเว่ย เจ้าคิดจริงๆหรือว่าด้วยระดับขั้นแกนลมปราณระดับปลายจะหยุดข้าได้? หากเจ้าไม่หลีกทางเสียแต่ตอนนี้ อย่ากล่าวหาว่าข้าโหดร้ายเลย”
ชายวัยกลางคนยิ้มออกอย่างนุ่มนวล “น้องสาว ที่นี่คือสำนักเมฆาฟ้า ทำไมข้าไม่กล้าหยุดเจ้ากันหล่ะ? เจ้ากำลังไปที่ไหนกัน? ข้าไปกับเจ้าที่ไหนก็มีความสุข”
ขณะนั้นหวังหลินมาถึงลานทิศใต้ เขาจ้องหมอกสีขาวรอบลานด้วยใบหน้าไร้อารมณ์