239. ต้นไม้ใหญ่ร่วงหล่น
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นขณะจ้องชายหนุ่มที่เปล่งกลิ่นอายดุร้ายทรงพลังออกมา หากชายหนุ่มคนนี้เปลี่ยนเป็นปิศาจ มันจะกลายเป็นปิศาจที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา
ชายหนุ่มไม่ได้ทำอะไรผลีผลามแต่มองไปที่ร่างนับไม่ถ้วนเบื้องหลังหวังหลิน จากนั้นเขากันตัวและวิ่งหนีโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาไปได้เร็วมากและหายไปโดยไม่มีร่องรอยทิ้งไว้
หวังหลินยิ้มบางและรีบติดตามเขาไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
เถิงจิ่วหนีมาได้หนึ่งพันลี้ในครั้งเดียว แต่สัมผัสอันตรายยังคงอยู่ ความรู้สึกนี้ทำให้เขาขนลุก
ความรู้สึกยิ่งรุนแรงขึ้นและรุนแรงขึ้นจนในที่สุดดวงตาเถิงจิ่วสว่างออกและเขาตบกระเป๋านำลูกปัดสีเทาโยนไปเบื้องหลัง
ขณะที่หวังหลินเห็นเถิงจิ่วตบกระเป๋า เขานำธงกฎเกณฑ์ออกมาทันที กฎเกณฑ์จำนวนสิบแบบพลันปรากฎและสร้างเป็นกำแพงป้องกันหวังหลิน
เมื่อลูกปัดปะทะกับกำแพงกฎเกณฑ์มันจึงระเบิดออกมา
กับผลลัพธ์เช่นนั้นเถิงจิ่วจึงไม่เผยรอยยิ้มมีความสุข แต่กลับมีสัมผัสอันตรายรุนแรงมากขึ้นแทน
ขณะที่กำลังหนีออกไปห่างพลันรู้สึกได้ว่าเส้นผมทุกเส้นในร่างลุกขึ้น เขาหลบไปด้านข้างโดยไม่ลังเลและเห็นสายฟ้าสีแดงกระพริบวาบเกือบสัมผัสร่างเขาไป
ดวงตาเถิงจิ่วเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเพราะเขาเข้าใกล้ความตายมาหมาดๆกับสายฟ้าแดงนั้น เขาชื่อว่าหากไม่หลบก็คงตายไปแล้ว
แต่ก่อนที่จะยินดี สายฟ้าแดงหลายร้อยเส้นปรากฎรอบตัวเขาทันที ป้องกันไม่ให้เขาหลบหนีโดยสิ้นเชิง
ร่างเถิงจิ่วตัวแข็งทื่อและไม่กล้าเหาะเหินต่อ เขาหินกลับมาหาหวังหลินอย่างช้าๆและเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโส ผู้น้อยยินดีรับใช้ท่านและไม่คิดหลอกลวง ข้ายินดีให้โลหิตวิญญาณของข้าเพื่อแสดงความจงรักภักดี”
หวังหลินจ้องเถิงจิ่วและส่ายศีรษะอย่างช้าๆ เขาไม่ได้เอ่ยอะไรแต่ใช้สัมผัสวิญญาณสร้างกรงสายฟ้าแดงรอบเถิงจิ่วให้หดลงอย่างช้าๆ
หน้าผากเถิงจิ่วเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อขณะที่นำสมบัติวิเศษออกมานับไม่ถ้วนและส่งมันออกไป แต่ไม่ว่าเขาจะส่งออกไปมากเท่าไหร่ ไม่มีอะไรจะทำลายสายฟ้าแดงไปได้ สัมผัสวิญญาณบนสมบัติวิเศษทุกอย่างแตกกระจายเมื่อสัมผัสกับสายฟ้าแดง
ทุกครั้งที่สัมผัสวิญญาณบนสมบัติแตกกระจาย เขาจะรู้สึกเจ็บปวดในศีรษะ ความหวาดกลัวบนใบหน้าจึงค่อยๆมากขึ้น
“เจ้าต้องตายเพราะเจ้าชื่อเถิง!” เสียงหวังหลินเปล่งออกมาอย่างช้าๆราวกับจิตสังหารอันเบาบางกระจายออกมาจากเขา
ร่างเถิงจิ่วสั่นสะท้าน ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงและคำรามพร้อมกับพุ่งเข้าหาสายฟ้าแดง เมื่อร่างสัมผัสกับสายฟ้า เขาไม่ได้ตายทันทีแต่ร่างกายดูอ่อนแออย่างมาก
หวังหลินจะสังหารตัวเลือกที่ดีในการกลายเป็นปิศาจได้อย่างไรเล่า? เขาเผยรอยยิ้มเมื่อคิดว่าจะดีแค่ไหนที่เปลี่ยนคนตระกูลเถิงไปเป็นปิศาจ
สายฟ้าแดงเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ความคิดเถิงจิ่วว่างเปล่าขณะที่รู้สึกสิ้นหวัง
ความรู้สึกนี้รุนแรงมากขึ้นและขึ้นถึงจุดสูงสุด ขณะที่เถิงจิ่วกำลังจะทำลายวิญญาณตนเอง หวังหลินจึงเคลื่อนไหว พลันกระโดดออกจากอสูรยุงและผ่านสายฟ้าแดงไป เขายื่นมือเข้าหาลำคอเถิงจิ่วและบีบอย่างรุนแรง
ป๊อก!
ดวงตาเถิงจิ่วแทบถลนออกมาขณะที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและตายไป ขณะที่เขาตาย ฝ่ามือซ้ายของหวังหลินสร้างผนึกประหลาดและวางมันลงบนหน้าผากเถิงจิ่ว
“ข้านำวิญญาณเจ้ามาในชื่อของวิญญาณกลืนกิน!”
ลำแสงสีแดงออกมาจากหน้าผากเถิงจิ่ว มันพยายามหลบหนีแต่ถูกหวังหลินจับไว้อย่างรวดเร็วและเข้าไปในธงวิญญาณ
หวังหลินโยนร่างเถิงจิ่วกลับไปเบื้องหลังอย่างไม่ใส่ใจและมองไปที่ธงวิญญาณด้วยความพอใจ กล่าวได้ว่าหวังหลินฝันว่าจะมีกองทัพปิศาจเหมือนกับที่เขาทำในสนามรบต่างแดน ด้วยกองทัพนั้นเขาจะมีพลังพอที่จะเริ่มสำนักตนเองและไม่กลัวใครที่มีระดับฝึกฝนมากกว่าเขา
พูดได้ว่าวิญญาณที่สามารถเปลี่ยนเป็นปิศาจได้เป็นเรื่องหายากมาก ในสี่ร้อยปีที่ผ่านมานอกจากเถิงจิ่ว เขาพบเพียงสามตน
ฉวี่ลี่กั๋วที่เขาสร้างมามีข้อบกพร่องหลายประการ หากไม่ใช่ว่าฉวี่ลี่กั๋วมีสติปัญญาที่ทำให้มันแตกต่างจากอสูรตัวอื่น หวังหลินคงสังหารเขาเอามาให้ปิศาจตนอื่นกินไปแล้ว
หวังหลินมีความสุขอย่างมากกับเจ้าปิศาจตัวที่สองก่อนหน้านี้เพราะว่ามันดุร้ายและทรงพลัง แต่เมื่อระดับฝึกฝนของเขาเพิ่มสูงขึ้น เจ้าปิศาจน้อยกลับไม่เพิ่มขึ้นมาและไม่ได้แข็งแกร่งเพียงพออีกต่อไป
เจ้าปิศาจตัวที่สามที่สร้างจากวานรวิญญาณมันทรงพลังแต่ไม่ดุร้ายเพียงพอ
ปิศาจทั้งสามตัวนี้แตกต่างจากมุมต่อปิศาจของหวังหลินที่เขาได้รับจากสนามรบต่างแดน ทั้งสามตัวไม่อาจเปรียบได้กับพลังและความดุร้ายของวิญญาณเร่ร่อนจากสนามรบต่างแดน ดังนั้นจึงไม่มีตัวไหนเป็นผลผลิตที่ทำให้หวังหลินพึงพอใจได้
ทว่าตอนนี้นับว่าแตกต่างกัน หากวิญญาณในธงวิญญาณกลายเป็นปิศาจ เมื่อนั้นมันจะทรงพลังและดุร้ายโดยไม่มีปัญหา หากมันไม่ดีเหมือนกับวิญญาณเร่ร่อนป่าเถื่อนในสนามรบต่างแดน ความแตกต่างก็นับว่าไม่ใหญ่เกินไป
“หากสมาชิกหลักตระกูลเถิงทั้งหมดมี่ลักษณะเช่นนี้ ข้าคงต้องขอบคุณเถิงฮว่าหยวนที่ฝึกฝนมาจนเป็นตัวเลือกปิศาจที่สมบูรณ์แบบให้” หวังหลินพึมพำกับตนเองขณะที่ดวงตาสว่างขึ้นและเหาะเข้าหาเป้าหมายถัดไป
ด้วยสัมผัสวิญญาณของเขา จึงสัมผัสได้ว่านอกจากคนผู้หนึ่งที่อยู่ชายแดนแคว้นจ้าว ทั้งหมดต่างเคลื่อนไหว เป็นเรื่องชัดเจนแล้วว่าพวกเขาต้องการกลับไปที่เมืองตระกูลเถิง
หากเป็นก่อนที่เขาจะเจอเถิงจิ่ว หวังหลินคงให้ทั้งหมดกลับเมืองตระกูลเถิงและสังหารพวกเขาที่นั่น แต่หลังจากเจอเถิงจิ่ว เขาจะปล่อยให้ตัวเลือกที่ดีแบบเถิงจิ่วหนีไปได้อย่างไรเล่า? แม้ว่าอสูรยุงจะเร็วมากแต่มันก็ไม่เร็วพอสำหรับหวังหลิน เขานำเม็ดยาออกมาและกลืนลงไปพร้อมกับกระโดดลงอสูรยุงและพุ่งเข้าหาเป้าหมายถัดไป
เถิงปา(แปด)เหาะเหินในอากาศอย่างเฉื่อยๆ ดวงตาสงบนิ่งและไม่รู้สึกเครียดอันใด ความจริงเขาไม่ต้องการกลับเมืองตระกูลเถิง แต่การสังหารที่เกิดขึ้นหลายวันที่ผ่านมาทำให้ทั้งตระกูลตื่นตระหนก
สิ่งสำคัญก็คือบรรพชนตระกูลเถิงไม่แยแสกับเรื่องนี้และไม่ได้ออกจากเมืองตระกูลเถิงเลย ดังนั้นเรื่องทั้งหมดนี้จึงดูแปลกประหลาดมาก
เหตุผลที่เถิงปากำลังกลับไปเมืองตระกูลเถิงก็เพื่อตรวจสอบสถานการณ์
ขณะที่เขาเหาะเหินจึงกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาจนสามารถรับรู้กระทั่งใบหญ้าที่เคลื่อนไหวอยู่ได้ แต่เถิงปาไม่เชื่อว่าคนที่สังหารสมาชิกตระกูลเถิงจะกล้ายุ่งกับเขา นอกจากนั้นสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดที่ถูกเขาสังหามีเพียงขั้นแกนลมปราณเท่านั้น
เถิงปาเชื่อว่าเขาสามารถสังหารคนทั้งหมดพวกนั้นได้เหมือนกัน นอกจากนั้นเขายังมีขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลาง ด้วยระดับฝึกฝนของเขาจึงสามารถไปที่ไหนก็ได้ในแคว้นจ้าว
แม้ว่าเขาไม่อาจะเปรียบได้กับบรรดาปิศาจร้ายแก่ๆขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายเหล่านั้น แต่เขาไม่ได้กลัว ในทั้งแคว้นจ้าวคนที่เขากลัวมีเพียงสองคนเท่านั้น
ในสองคน คนแรกไม่ใช่เถิงฮว่าหยวนแต่เป็นเถิงอี(หนึ่ง) เถิงฮว่าหยวนเพียงลำดับสอง ความจริงทุกครั้งที่เขาคิดเรื่องเถิงอี จึงช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวเย็นในร่างกาย
นอกจากทั้งสองคน เขาไม่กลัวใครอีกเลย ความจริงเขาหวังว่าคนลึกลับผู้นั้นจะปรากฎเบื้องหน้าเขาตอนนี้
เขาเป็นคนลำดับห้าที่ถือครองชื่อเถิงปา นั่นหมายความว่าทุกคนที่ท้าทายเขาถูกเขาสังหารจนสิ้น
ขณะที่กำลังเหาะเหิน สายตาเถิงปาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเมื่อมีก้อนเมฆสีดำมารวมตัวกัน ขณะที่เขากำลังจะเคลื่อนไหวให้เร็วกว่านี้พลันตกตะลึงเมื่อชายหนุ่มสวมชุดขาวปรากฎเบื้องหน้าเขาโดยไม่ทันได้สังเกต
จิตใจเถิงปาสั่นไหว กล่าวได้ว่าเขากระจายสัมผัสวิญญาณออกตลอดเวลา ทั้งยังไม่อาจรับรู้ถึงชายคนนี้ได้เลย นั่นแปลได้ว่าสัมผัสวิญญาณของชายหนุ่มคนนี้สูงมากกว่าเขา
แต่สัมผัสวิญญาณที่ทรงพลังไม่ได้หมายถึงระดับฝึกฝนหรือวิชาเซียนที่ทรงพลัง ดังนั้นเถิงปาตบกระเป๋าโดยไม่ลังเลและกระบี่เหินหลายเล่มลอยออกมา กระบี่เหินลอยออกมามากขึ้นราวกับกระเป๋าไร้ก้นบึ้ง
เมื่อกระบี่เหินลอยออกมาทีละเล่ม ชายหนุ่มไม่ได้ทำสิ่งใด ดวงตาชายหนุ่มทำให้เถิงปารู้สึกสะอิดสะเอียน
หวังหลินจดจ้องเถิงปาและดวงตาสว่างขึ้น กลิ่นอายชั่วร้ายของคนผู้นี้รุนแรงมากกว่าคนก่อนเสียอีก ทว่าเขาเรียนรู้ที่จะซ่อนมันไว้ ดังนั้นมันจึงไม่แสดงออกมามากนัก
ปากหวังหลินขยับและเผยรอยยิ้มพึงพอใจพร้อมกับเดินตรงเข้าไปอย่างช้าๆ เถิงปาเปล่งลมหายใจขณะที่ฝ่ามือขยับ แสงเยือกเย็นแล่นผ่านแววตาขณะที่เขาสร้างผนึกด้วยมือขวาพลันชี้ไปที่หวังหลิน เหล่ากระบี่ส่งเสียงหึ่งและพุ่งตรงไปหาหวังหลิน
กระบี่เหินลอยเข้มาทางเขาพร้อมกับหวังหลินยิ้มอย่างเหี้ยมโหด ร่างกายสั่นไหวขณะที่วิญญาณกลืนกินออกจากร่างกายและสร้างเป็นหมอกสีดำ กระบี่เหินทั้งหมดสัมผัสกับวิญญาณเขาได้สูญเสียสัมผัสวิญญาณและตกลงสู่พื้นทันที
เถิงปาเผยใบหน้าหวาดกลัวและต้องการหนีกลับหลัง แต่นับว่าสายเกินไป หวังหลินพุ่งหาเขาด้วยร่างวิญญาณกลืนกินและหมอกสีดำบุกเข้าใส่ร่างเถิงปาอย่างรวดเร็ว
เถิงปากรีดร้องอย่างโหดหวน เสียงกรีดร้องของเขาสามารถทำให้ใครที่ได้ยินใบหน้าซีดเผือด ร่างกายเขาผลักออกไปทุกทิศทางอย่างไร้การควบคุมและเส้นโลหิตสีดำโผล่ออกมาจากหน้าผาก ที่มันมีสีดำเพราะวิญญาณกลืนกินของหวังหลินไหลผ่านเส้นโลหิตของเขา
เสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดของเถิงปายังคงดังต่อเนื่องไม่นาน น้ำเสียงของเขาแหบพร่าและร่างกายปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ ผ่านไปชั่วขณะร่างกายเขาสั่นอย่างรุนแรงและตกลงสู่พื้นดิน
เมื่อร่างตกลงไป วิญญาณกลืนกินของหวังหลินดึงวิญญาณเซียนของเถิงปาและหวังหลินกลับเข้าร่าง วิญญาณเถิงปาถูกใส่ไว้ในธงวิญญาณและร่างกายเขาห่อหุ้มด้วยธงมังกร
ตั้งแต่เวลาที่หวังหลินปรากฎตัวจนถึงตอนนี้นับว่าไม่นานนัก เวลาส่วนใหญ่มีแต่เสียงกรีดร้องของเถิงปา หลังจากวิญญาณหวังหลินกลับเข้าร่าง เขาไม่ลังเลที่จะพุ่งหาเป้าหมายถัดไป
เถิงลิ่ว(หก)ไม่ใช่คนหนุ่ม สองร้อยปีก่อนเขาก็เป็นสมาชิกหลักของตระกูลเถิงแล้ว แต่เขาสูญเสียตำแหน่งจากการท้าประลอง โชคดีที่เขาไม่ตายและปิดด่านฝึกตนมาหลายปี หลังจากออกมาจึงไปหาที่ที่เถิงลิ่วคนล่าสุดฝึกฝนอยู่และสังหารคนที่เอาชนะเขาครั้งก่อน เขาทำเรื่องทั้งหมดนี้โดยไม่ได้ขออนุญาตเถิงฮว่าหยวน
ภายใจได้รับการลงโทษจากเถิงฮว่าหยวน เขาจึงถือครองชื่อเถิงลิ่ว
แม้ว่าระดับฝึกฝนของเขาจะเป็นขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเท่านั้น แต่ด้วยกรรมวิธีการฝึกฝนจึงทำให้เขามีจิตสังหารอันโหดเหี้ยม เพราะความสามารถเช่นนี้จึงทำให้เถิงฮว่าหยวนยอมให้เขาอยู่ในตำแหน่งเถิงลิ่วต่อไป
แต่วันนี้เส้นทางของเถิงลิ่วจะจบลง นับแต่นี้ไปจะไม่มีเถิงลิ่วคนที่สองอีก
เถิงลิ่วเลียริมฝีปากขณะที่เหาะเหินผ่านชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็ว เหตุผลที่เขาออกมากลับตรงข้ามกับเถิงปาโดยสิ้นเชิง เขาออกจากห้องลับมาเพราะสัมผัสได้ถึงอันตราย
นับตั้งแต่ที่เขาเปลี่ยนจิตสังหารทั้งหมดเข้าสู่ร่างกาย จึงได้รับความสามารถมาใหม่ ความสามารถนี้ช่วยชีวิตเขามาแล้วหลายครั้ง
เขาเชื่อในสัญชาตญาณที่รับรู้ดังนั้นจึงมุ่งหน้าเข้าหาเมืองตระกูลเถิงอย่างรวดเร็ว
เขาไม่เชื่อว่าการเดินทางของเขาจะราบรื่น แม้จะการเดินทางเข้าเมืองตระกูลเถิงจะใช้เวลาห้าวัน แต่ระหว่างการเดินทางครั้งนี้สัมผัสอันตรายของเขายิ่งรุนแรงมากกว่าเดิม
วิญญาณของหวังหลินล๊อคเป้าบนตัวเขาเรียบร้อยแล้ว ระดับฝึกตนของเขาเป็นขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลาง เขาเลียริมฝีปากขณะที่ลอยเข้าไปใกล้ๆ
ขณะที่เถิงลิ่วกำลังเหาะเหิน พลันสัมผัสจิตสังหารที่ปกคลุมได้จึงลอบสาปแช่งในใจ หากไม่สัมผัสอันตรายได้เขาคงออกไปสู้กับคนผู้นี้เสียแล้ว แต่ตอนนี้เขากัดฟันแน่นและเท้าทั้งสองข้าระเบิดออกมา ต้องขอบคุณการระเบิดนั้นโลหิตจึงสร้างเป็นหมอกและปกคลุมร่างกาย
ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นทันทีหลายเท่าแลกกับการทนความเจ็บปวดรุนแรง ร่างกายสร้างเป็นอุกกาบาตโลหิตและหายไป
หวังหลินขมวดคิ้ว คนผู้นี้ตัดสินใจแน่วแน่เพื่อใช้วิชาต้องห้ามเช่นนั้น ราคาที่ต้องจ่ายคือการเผาวิญญาณตนเองเพื่อเพิ่มความเร็วให้หลายเท่า จนหวังหลินไม่อาจไล่ตามทันที
หวังหลินยืนมองทิศทางที่เถิงลิ่วหายไป เขาขบคิดชั่วขณะจากนั้นนำธงกฎเกณฑ์ออกมาเพื่อปกคลุมพื้นที่รัศมีหนึ่งพันลี้
หลังจากนั้นไม่นาน หวังหลินชี้ไปที่คิ้วและเจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วและปิศาจหมายเลขสามปรากฎออกมา หวังหลินสั่งให้พวกมันป้องกันเขาขณะที่นำกระจกทองแดงออกมาด้วย กระจกทองแดงลอยเหนือศีรษะหวังหลินและค่อยๆแกว่งไปมา
หลังทำเรื่องทั้งหมดนั้น หวังหลินสูดหายใจลึกและหลับตา ไม่นานนักหมอกสีดำเริ่มออกมาจากศีรษะหวังหลินขึ้นเรื่อยๆจนมันกลายเป็นเมฆสีดำ
ทันใดนั้นก้อนเมฆดำเคลื่อนไหวและกระจายออกมาครอบคลุมทั้งแคว้นจ้าวอย่างรวดเร็ว เมฆสีดำนี้คือวิญญาณกลืนกินของหวังหลิน ในเวลานี้วิญญาณกลืนกินของเขาออกมาจากร่างกายเสร็จสมบูรณ์
เถิงหวู่(ห้า)เป็นชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลา กล่าวได้ว่าเขาดูคล้ายกับเถิงลี่ตอนเมื่อก่อนอย่างมาก ด้านข้างเขาคือเซียนสตรีสาวสองคนที่งดงาม ทั้งสามคนต่างมุ่งหน้าเข้าหาเมืองตระกูลเถิงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่ากำลังจะเข้าใกล้เมืองตระกูลเถิงในระยะหนึ่งหมื่นลี้ เถิงหวู่ถอนหายใจโล่งอก แต่ขณะนั้นท้องฟ้าพลันมืดลงและก้อนเมฆสีดำปกคลุมทั่วฟ้า
ขณะที่เถิงหวู่จ้องอย่างตกใจ ก้อนเมฆสีดำลดต่ำลงมาอย่างรวดเร็วและล้อมรอบเขา จากนั้นก้อนเมฆสีดำจากไปพร้อมกับวิญญาณเถิงหวู่และวิญญาณเซียน
เสียงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากเมืองตระกูลเถิงพร้อมกับเถิงฮว่าหยวนพุ่งออกมาราวกับสายฟ้าฟาด เพียงแต่ตอนนั้นที่เขาสัมผัสการคงอยู่ของเถิงหวู่ได้ จากนั้นตัวตนของเถิงหวู่ก็หายไป ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกว่าตัวตนนั้นแข็งแกร่งพอที่จะทำให้จิตใจเขาบุบสลาย
ขณะที่เถิงฮว่าหยวนมาถึง ก้อนเมฆสีดำในท้องฟ้าเคลื่อนไหวและเกิดเป็นใบหน้าหวังหลิน
เขามองเถิงฮว่าหยวนอย่างเยือกเย็นพลันปล่อยรอยยิ้มโหดเหี้ยมและหายไป
ระดับฝึกฝนของเถิงซื่อ(สี่)ไม่สูงนัก มีเพียงขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้นเท่านั้น นอกจากนั้นเขายังเป็นคนที่ได้รับตำแหน่งนี้มาเมื่อยี่สิบปีก่อน
ปัจจุบันเขากำลังยืนบนกระบี่เหินเล่มหนึ่งที่กำลังพุ่งตรงไป เขารู้สึกเศร้าเสียใจอย่างมากจากการตายของคนในตระกูล หนึ่งในนั้นเป็นน้องชายเขาเอง
ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาออกมาจากห้องลับ เขาไม่ได้ออกมาเพื่อกลับเมืองตระกูลเถิง แต่เพื่อแก้แค้นให้น้องชาย
น่าเสียดายที่ภารกิจล้างแค้นนี้ไม่มีวันสำเร็จ เพราะกระทั่งในตอนนี้เขายังไม่รู้ตัวว่ามีก้อนเมฆข้างบนกำลังก่อตัวหนาแน่น
ในวันเดียว สมาชิกหลักตระกูลเถิงทั้งเจ็ดคนที่อยู่ข้างนอกตายไปห้าคน หนึ่งในนั้นยังไม่เคลื่อนไหวจากห้องลับของตนเองและอีกหนึ่งเคลื่อนไหวได้เร็วมาก
ด้านข้างเขาเป็นหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรี
หากหวังหลินเห็นสองคนนี้เขาคงจดจำได้ทันทีเพราะหนึ่งในนั้นคือหวังจัว!
หวังจัวไม่มีภาพลักษณ์อึมครึมบนใบหน้าอีกต่อไปแต่เผยความโล่งอกแทนเพราะในตอนนี้มีคนกำลังกวาดล้างตระกูลเถิง
แม้เขาจะไม่รู้ว่าใครกันที่ทำเรื่องนี้ เขาหวังว่าคนผู้นั้นจะสังหารต่อไปจนกระทั่งตระกูลเถิงทั้งหมดถูกกวาดล้าง
เขามองไปที่ภรรยาตนเองและมีความรู้สึกซับซ้อนอย่างมาก เดิมทีเขาไม่มีความรู้สึกใดกับสตรีคนนี้แต่เนื่องจากแรงกดดันจากเถิงฮว่าหยวนและเพื่อปกป้องตนเอง เขาจึงแต่งงานกับนาง
แต่มนุษย์ไม่ได้สร้างมาจากไม้ แม้เขาจะเกลียดตระกูลเถิงทว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อภรรยานับว่ายากจะเข้าใจ