273. เชื้อสายเฉว่ยี่
หวังหลินยืนอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานขณะมองต้าหนิวและภรรยาจากไป สามสิบกว่าปีก่อนต้าหนิวเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง ผ่านไปชั่วเวลาเดียวเขากลายเป็นชายกลางคนเสียแล้ว
เช่นเดียวกับเขตแดนชีวิตและความตาย ยากนักที่จะบอกว่าสิ่งใดในโลกจะสามารถหลีกหนีชีวิตและความตายพ้นไปได้
หวังหลินยิ้มขณะชี้ไปที่ม่านแสงอีกครั้ง เพียงกระพริบตาอุโมงค์ในม่านแสงปิดลง หวังหลินเงยศีรษะขึ้นและมองรอบๆ เขาไม่ได้เร่งรีบจะออกจากสมาพันธ์สี่สำนักเพราะเขายังมีอีกเป้าหมายหนึ่งที่ยังไม่บรรลุ
นั่นคือการได้รับหม้อพิรุณ!
หม้อพิรุณนี้คือภัยพิบัติต่อสมาพันธ์สี่สำนัก แต่เป็นสมบัติชิ้นหนึ่งเช่นกันเพราะมันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเซียนขั้นตัดวิญญาณเพื่อบรรลุขั้นแปลงวิญญาณได้
สำหรับหวังหลิน หม้อพิรุณนี้เป็นสิ่งที่เขาจำเป็นต้องใช้ในอนาคต หวังหลินรู้สึกได้ว่าพลังปราณรอบตัวเขาไม่สะอาดเหมือนเช่นก่อน
ราวกับพลังปราณเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก มันไม่ใช่ว่าพลังปราณมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา แต่เพราะระดับฝึกฝนของหวังหลินเพิ่มพูนขึ้น เขาจึงสามารถตรวจเจอปัญหานี้ได้
พลังปราณนี้ไม่เป็นอันตรายต่อเซียนต่ำกว่าขั้นตัดวิญญาณเพราะพวกเขาไม่สามารถรับรู้สิ่งสกปรกที่อยู่ข้างในได้
แต่เมื่อหลังจากบรรลุขั้นตัดวิญญาณและต้องการก้าวต่อไปในอนาคต พลังปราณนี้เป็นเรื่องร้ายแรง ส่วนเรื่องน้ำพลังปราณจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า อาจจะเป็นเพราะธาตุทั้งห้าไม่สมบูรณ์ ความบริสุทธ์ของมันยังขาดอยู่บ้าง
ทว่าธาตุทั้งห้านั้นยากเกินจะได้มานัก นอกจากธาตุวารีแล้ว เขาจำเป็นต้องมีอสูรเดียวดายดังเช่นตัวที่เขาได้รับธาตุอัคคีเพื่อเติมมันให้เต็ม
ธาตุอื่นๆที่ยังขาดอีกเล็กน้อยต่างจำเป็นต้องใช้วิญญาณอสูรเดียวดายที่เหมาะสมซึ่งเป็นเหตุผลที่หวังหลินไม่ทำการเติมให้เต็มในเวลาที่ผ่านมาสี่ร้อยปี
หวังหลินต้องเข้าประตูสวรรค์เพื่อให้ได้ปราณสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงเล็งไปที่หม้อพิรุณ
ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เวลาที่จะไปเอาหม้อพิรุณมา เวลาที่เหมาะสมคือตอนที่เฉว่ยี่เริ่มรุกราน
เมื่อคิดเรื่องนี้สายตาหวังหลินเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง เขาพบภูเขาหิมะขนาดใหญ่และจมเข้าไปข้างใน
ขณะที่ร่างกายจมเข้าไปในหิมะ หวังหลินนำธงกฎเกณฑ์ออกมาและล้อมรอบตัวเองไว้ ไม่นานนักเขาก็หายไปข้างในภูเขาหิมะนั้น
หวังหลินไม่รู้ว่าเฉวี่ยี่จะมาเมื่อไหร่ ดังนั้นเขาจึงรีบเร่งและเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อบรรลุขั้นตัดวิญญาณและเพิ่มโอกาสในการได้หม้อพิรุณมาด้วย
กระพริบตาครั้งเดียวหนึ่งปีก็ผ่านไปแล้ว เป็นเพราะค่ายกลในท้องฟ้าที่ทำให้หิมะค่อยๆลดลง ไม่เช่นนั้นเฉว่ยี่จะมาถึงในไม่ช้า
ทั้งเขตสมาพันธ์สี่สำนักถูกปกคลุมในหิมะ ในปีที่ผ่านมามีคนธรรมดาจำนวนมากตายลงไป แม้ว่าศพของพวกเขาไม่ได้เห็นกันชัดๆ แต่ทุกก้าวที่เต็มไปด้วยหิมะต่างมีร่างศพซ่อนอยู่ โลกคนธรรมดาของสมาพันธ์สี่สำนักได้กลายไปเป็นหลุมฝังศพเสียแล้ว
แท้จริงแล้วสมาพันธ์สี่สำนักแบ่งออกเป็นสองฝ่าย หนึ่งต้องการซ่อนตัวและรอคอยสิ่งต่างๆออกมา ขณะที่อีกหนึ่งต้องการต่อสู้จนจบสงคราม นอกจากนั้นเฉว่ยี่ต่างก็เป็นแคว้นเซียนอันดับสี่เช่นกัน
ในวันนี้กลิ่นอายเยือกเย็นจำนวนมากหนีออกมาจากรอยแยกในท้องฟ้า และเด็กสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากหนึ่งในรอยแยกที่ตั้งอยู่ใจกลางสมาพันธ์สี่สำนัก
หญิงสาวคนนี้สวมชุดราตรีสีขาวราวกับราชินีน้ำแข็ง นางไม่ได้สวยนักแต่ความเย็นชาที่ออกมาจากใบหน้าของนางดูหนาวเย็นกว่าหิมะทั้งหมดเสียอีก
นางเดินออกมาจากรอยแยกจากนั้นชำเลืองไปที่พื้นดินก่อนจะยกแขนขวาและชี้ไปที่ท้องฟ้าอย่างลวกๆ ทันใดนั้นรอยแยกนับไม่ถ้วนปรากฎในท้องฟ้าและขยายอย่างรวดเร็ว
เสียงรอยร้าวดังออกมาราวกับกระจกกำลังแตก กระจายผ่านไปตลอดพื้นที่พันธมิตรสี่สำนัก ในเวลาเดียวกันนั้นค่ายกลที่ป้องกันหิมะพลันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและตกลงสู่สี่มุมพันธมิตรสี่สำนัก
หลังจากนั้นไม่นานนักเซียนนับไม่ถ้วนที่สวมชุดคลุมสีขาวออกมาจากรอยแยก สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือใบหน้าเย็นชา ความเย็นชากระจายไปทุกหัวมุมของพันธมิตรสี่สำนัก
คลื่นจิตสังหารปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ในขณะเดียวกันไม่มีเซียนคนไหนจากสมาพันธ์สี่สำนักปรากฎตัว ซึ่งทำให้เซียนทั้งหมดของเฉว่ยี่เดินออกมาทีละคน
เซียนของเฉว่ยี่ค่อยๆปรากฎตัวมากขึ้นและมากขึ้น ไม่มีคนไหนพูดออกมา สายตาทุกคนจดจ้องไปที่หญิงสาวชุดราตรีสีขาว
แม้กระทั่งคนที่อยู่ไกลที่สุดยังเห็นสายตาของนางได้
สายตาหญิงสาวเยือกเย็นพลันชี้ไปบนพื้น การกระทำเรียบง่ายเช่นนี้ทำให้เซียนทุกรายจากเฉว่ยี่ลดตัวลงจากท้องฟ้าราวกับลำแสงสีขาว
เมื่อจำนวนหนึ่งเคลื่อนไหวเกิดเป็นลูกโซ่ขึ้น เซียนทั้งหมดของเฉว่ยี่ลดตัวลงต่ำทันที
แต่ขณะที่พวกเขาลงมาจากท้องฟ้า ลำแสงสี่เส้นพุ่งเข้าใส่จากทิศเหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตก
ลำแสงราวกับเสาแสงสีฟ้า สีแดง สีม่วงและสีขาวปรากฎบนท้องฟ้า บนยอดเสาแสงมีร่างยักษ์ค่อยๆรวมตัวกัน กลายเป็นคนเถื่อนโบราณสวมชุดเกราะหนัง
หากมองดูคนเถื่อนยักษ์ใกล้ๆจะเห็นเซียนผู้หนึ่งอยู่ในหน้าอกแต่ละตน แม้จะเป็นไปไม่ได้ที่จะมองดูระดับของพวกเขา แต่มันไม่ได้ต่ำเลย
คนเถื่อนยักษ์เดินออกมาจากเสาแต่ละต้นและพุ่งเข้าหาเซียนของเฉว่ยี่
มีคนเถื่อนพวกนี้จำนวนมาก ทุกก้าวของพวกเขาช่างดูเหมือนทำให้ฟ้าดินสั่นไหว
ขณะที่คนเถื่อนพุ่งออกไป เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากเมฆสีขาวทางทิศตะวันออก
ก้อนหินสีดำขนาดใหญ่ลอยในอากาศ บนก้อนหินเป็นชายชราผู้หนึ่งถือโซ่ค้างไว้เก้าเส้น
ใบหน้าชายชราผู้นี้เหลืองซีดและผอมมาก ร่างกายเต็มไปด้วยรัศมีแห่งความตายและแทบไม่มีชุดที่ปกคลุมเขานอกจากเศษผ้าเล็กน้อย
เขามองดูเซียนเฉว่ยี่ในท้องฟ้าด้วยแววตาสลัวขณะที่เส้นผมกระจัดกระจายไปทั่วพลันเลียริมฝีปากไปด้วย
ลิ้นของเขายาวมาก เมื่อมันออกมาทำให้เขาดูเหมือนมารตนหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้ทุกคนตกใจ
หลังจากนั้นไม่นานเสียงคำรามดังออกมาจากสำนักหมึกวารีจากทางทิศใต้ หม้อน้ำทองแดงยักษ์ค่อยๆลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าจากหลังภูเขาของสำนักหมึกวารี มีมนต์นับไม่ถ้วนสลักบนหม้อน้ำทองแดงนี้ กลิ่นอายดั้งเดิมกระจายออกมาจากมันเช่นกัน
ชายชราผู้หนึ่งสวมชุดสีแดงนั่งบนยอดหม้อทองแดงและมองบนท้องฟ้าอย่างสงบนิ่ง
สำนักพฤกษาเขียวทางทิศตะวันออกไม่กล้าเปลี่ยนกระแส ดังนั้นเสียงคำรามดังออกมาจากทิศตะวันออกและทิศใต้ น้ำพุโคลนดำพุ่งพวยขึ้นไปสู่อากาศจากสำนักพฤกษาเขียว โคลนดำกำลังเดือดและทุกฟองบนผิวเป็นใบหน้าแห่งความเจ็บปวด
เมื่อโคลนดำนี้ปรากฎขึ้น แม้กระทั่งหิมะรอบๆดูสั่นไหว
ถัดมาชายหนุ่มดูอ่อนแอจากสำนักวิญญาณมืดปรากฎในทิศเหนือด้วยความเรียบร้อยและเป็นระเบียบ ชายหนุ่มดูซีดขาวราวกับพึ่งรอดจากอาการเจ็บปวด
ขณะที่ร่างกายลอยขึ้นในอากาศ เขาโบกแขนเพื่อเรียกบางอย่างให้ออกมา ทันใดนั้นควันสีดำจำนวนมากออกมาจากสำนักวิญญาณมืด
ควันสีดำสานเข้าด้วยกันกลายเป็นพู่กันหมึกสีดำ ท้องฟ้าเปลี่ยนสีทันที แม้กระทั่งชายชราบนหม้อและชายชราถือโซ่บนหินสีดำต่างรับรู้และอยู่ในอาการตกใจ
พู่กันหมึกดูธรรมดานี้ลอยไปสู่ฝ่ามือชายหนุ่มอย่างช้าๆ ขณะที่พู่กันวางในแขนเขา ความแข็งแรง สีเลือดปรากฎบนใบหน้าเขา
สมาพันธ์สี่สำนักจะไม่เตรียมตัวอะไรเลยในที่ผ่านมาได้อย่างไร? ความจริงพวกเขากำลังรอกันอยู่ ในภัยพิบัติที่กำลังทำลายแคว้นพวกเขาอยู่นี้ พวกเขาต่างได้รับรายงานและรอการจะตอบโต้อยู่
นอกจากนั้นเซียนส่วนใหญ่ของสมาพันธ์สี่สำนักเติบโตขึ้นบนดินแดนแห่งนี้ แม้ว่าข้อคิดเห็นพวกเขาแบ่งออกเป็นหลายทิศทางจากข่าวเฉว่ยี่กำลังรุกราน พวกเขาจึงรวมกลุ่มกันเพื่อต่อสู้กับผู้รุกรานเหล่านี้
เพราะไม่ต้องการเป็นหมาจรจัดและไม่ต้องการเป็นคนที่ไม่สามารถปกป้องบ้านตัวเองได้
มนุษย์ต้องการบ้านและเหล่าเซียนเป็นมนุษย์เช่นกัน
นี่คือการรบถึงชีวิต
การรบถึงชีวิตนี้จะดำเนินไปจนกระทั่งทุกอย่างจบสิ้น เว้นแต่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะกวาดล้างอีกฝ่ายได้ง่ายๆ
สตรีสวมชุดราตรีสีขาวลอยอยู่ในอากาศ สายตานางเยือกเย็นขณะกระซิบขึ้น “ลบพวกมันออกไป! ที่นี่จะเป็นแคว้นใหม่สำหรับเหล่าเซียนเฉว่ยี่ของเรา!”
เมื่อคำพูดเปล่งออกมา เซียนเฉว่ยี่ทั้งหมดร้องคำรามเป็นปึกแผ่น เสียงคำรามดังกึกก้องมากขึ้นจนถึงขีดสุด สตรีนางนั้นสร้างผนึกและแสงห้าสีปรากฎออกมา
เมื่อแสงห้าสีปรากฎมันกลายเป็นสตรีห้าคนที่ดูเหมือนกับนาง แต่ห้าคนนั้นไม่ใช่ร่างอวตาร
ขณะนั้นเองหวังหลินที่กำลังซ่อนตัวอยู่ใต้ภูเขาหิมะข้างในพันธมิตรสี่สำนัก สัมผัสวิญญาณของเขาปกคลุมทั้วพื้นที่อยู่แล้ว เมื่อสังเกตสตรีห้าคนที่ปรากฎตัวได้ ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าในสัมผัสวิญญาณของเขาพลันสั่นเทา
ในตอนนี้มีสัมผัสวิญญาณจำนวนมากในท้องฟ้า ดังนั้นจึงไม่มีใครให้ความสนใจเขา
หวังหลินลืมตาขึ้นทันทีขณะยังอยู่ใต้ภูเขาหิมะ แสงประหลาดเล็ดลอดออกมาจากแววตา เขาพึมพำกับตัวเอง “วิญญาณเบญจธาตุ”
ก่อนหน้านั้นหลังจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้ากลืนกินเพียงอสูรวิญญาณธาตุอัคคีเพียงตัวเดียว ธาตุอัคคีถึงกับเติมเต็มได้ ในตอนนี้เมื่อหวังหลินเห็นวิญญาณเบญจธาตุ จิตใจจึงสั่นไหว แต่เขาโยนความคิดนี้ทิ้งไปเพราะไม่รู้ว่านางเป็นอัจฉริยะของเฉว่ยี่ดังที่โจวหวู่ไท่พูดถึงหรือไม่
แต่แม้นางจะไม่ใช่ นางยังอยู่ในขั้นตัดวิญญาณระดับกลาง ซึ่งห่างไกลจากคนที่เขาสามารถต่อกรด้วยในตอนนี้