331. สะเพร่า?
ในเวลาเดียวกันที่น้ำเสียงนั้นปรากฎขึ้น เหล่าวิญญาณเร่ร่อนนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาราวกับเหล่ามารร้ายจากท้องฟ้าและพุ่งเข้าหาเหล่าแมลง
แมลงหลายตัวได้เจาะเข้าไปในร่างหลิวเฟย แววตาเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังทว่าสายลมเย็นคราหนึ่งพัดบนตัวเขาไป เหล่าแมลงในร่างโผล่ออกมาและบินหนีราวกับเจอนักล่าทางธรรมชาติ
หลิวเฟยตกตะลึง สายตาตกลงบนร่างไม่ใหญ่ไม่เล็กเบื้องหลังจางป๋าย
“เป็นท่าน…”
แววตาซ่งฉิงแดงฉาน เขาใช้พลังปราณจนเกือบหมดแต่เหล่าแมลงยังเข้ามาไม่หยุดหย่อน พลันเผยรอยยิ้มเศร้าหมองและไม่มีเวลาพอจะหยิบเม็ดยาขึ้นมา หลังหยุดชะงักไปเสี้ยวจังหวะเหล่าแมลงปกคลุมร่างกายเขาในทันที
ความเจ็บปวดทำให้เขาแทบเป็นบ้า เผยรอยยิ้มอันน่าสงสารและแทบจะระเบิดวิญญาณแรกกำเนิดของตัวเอง ทว่าเมื่อสายลมเย็นพัดผ่านไปร่างกายเขาพลันสั่นสะท้าน เหล่าแมลงข้างในและข้างนอกร่างกายทั้งหมดกรีดร้องและหนีอย่างรวดเร็ว
ซ่งฉิงตื่นตะลึง เขามองดูร่างอันคล้ายคลึงราวสามส่วนเบื้องหลังจางป๋าย
“เป็นท่าน…”
ณ ตอนนี้เองหัวหน้าผู้อาวุโสขั้นวิญญาณแรกกำเนิดที่เหลืออยู่สองคนได้ถูกลมหนาวเย็นพัดผ่านเช่นกัน พวกเขาตกตะลึงและเห็นร่างคนผู้นั้น
“เป็นท่าน…”
เหล่าศิษย์ทั้งหมดของสำนักเมฆาฟ้าที่ยังรอดชีวิตอยู่ต่างรู้สึกสัมผัสลมหนาวเย็นแทรกเข้าร่างกายและจากนั้นเหล่าแมลงทั้งหมดกรีดร้องพร้อมกับหนีออกมา
“เป็นท่าน…” เหล่าศิษย์แทบทั้งหมดยกศีรษะขึ้นและเห็นร่างคนผู้นั้น
ลี่มู่หวานจดจ้องคนเบื้องหลังจางป๋าย นางอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา แม้ว่าร่างหวังหลินจะต่างไปเมื่อร้อยปีก่อนสักเล็กน้อย นางกลับจดจำเขาได้ในทันที
“หวังหลิน…”
จางป๋ายสั่นเล็กน้อย จนกระทั่งตอนนี้เขายังไม่ทันสังเกตคนผู้นั้นเลย นั่นหมายความว่าระดับฝึกฝนของมันมากกว่าเขา
ทันใดนั้นเขาหันกลับไปและเห็นหวังหลิน ใบหน้าพลันไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวและร้องตะโกน “เจ้า…เซิ่งหนิว!”
ทั้งสำนักเมฆาฟ้าบรรลุถึงจุดเดือดเมื่อจางป๋ายร้องตะโกนชื่อ ‘เซิ่งหนิว’
“เซิ่งหนิว!!” น้อยคนนักในสำนักเมฆาฟ้าไม่รู้ชื่อนี้ ผู้มีชื่อเสียงที่สุดในซูซาคุตอนนี้ก็คือเซิ่งหนิว!
“เซิ่งหนิว!!” ศิษย์บางคนระดับต่ำกว่ายังเต็มไปด้วยความตกใจ
“เซิ่งหนิว!” หลิวเฟยตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง
“เซิ่งหนิว!” ซ่งฉิงรู้สึกจิตใจสั่นคลอน
แววตาหัวหน้าผู้อาวุโสขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายอีกสองคนมีแสงเรืองรองราวกับไม่เคยเป็นมาก่อน
แววตาหวังหลินเยือกเย็นนัก ความหนาวเย็นนี้ปรากฎขึ้นเฉพาะตอนที่เขากำลังสังหารตระกูลเถิง ความหนาวเย็นนี้หมายถึงความโกรธของหวังหลินทะลุถึงขีดสุดและเขาต้องการฆ่า
“เป็นเจ้าเองที่ต้องการกวาดล้างสำนักเมฆาฟ้า…” น้ำเสียงหวังหลินเยือกเย็นราวกับสายลมหนาวจากขั้วโลก
สายลมหนาวร่อนปะทะบนร่างจางป๋าย สำหรับเขาแล้วความรู้สึกหนาวเย็นนี้มากกว่าสายลมไหนที่เขาเคยพานพบ หวังหลินผู้สามารถตัดแขนผีเสื้อแดงออกมาได้ เขาปรากฎตัวเบื้องหลังจางป๋ายโดยไม่ทันสังเกต เรื่องนี้ทำให้จางป๋ายตกใจอย่างมาก
ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มต้นขึ้น เขาจึงคิดหาทางหนีทีไล่ไว้เรียบร้อยแล้ว
จางป๋ายเอ่ย “เซิ่ง…เซิ่งหนิว ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาจากสำนักเมฆาฟ้า ครั้งนี้ข้าสะเพร่าไปหน่อย…”
“สะเพร่า?” แววตาหวังหลินสว่างขึ้นและเขาพุ่งไปข้างหน้าในทันที ธงกฎเกณฑ์ลอยออกมาจากกระเป๋ากลายเป็ฯหมอกสีดำพุ่งเข้าหาจางป๋าย
ใบหน้าจางป๋ายเปลี่ยนไป เขาถอยกลับทันใด
“สะเพร่างั้นหรือ?” หวังหลินหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ฝ่ามือสร้างผนึกและจากนั้นชี้ไปข้างหน้า เหล่ามังกรที่สร้างจากหมอกกฎเกณฑ์โผล่ออกมาและรวบรวมเบื้องหน้าหวังหลินควบแน่นกลายเป็นหอก!
หอกเล่มนี้สามารถเขย่าขวัญผีเสื้อแดงได้ นางต้องใช้สมบัติแห่งชีวิตเพื่อต้านทานมัน
ในขณะที่หอกเล่มนี้ปรากฎ ท้องฟ้ามืดมน หมอกสีดำปกคลุมท้องฟ้าและเหล่าแมลงทั้งหมดร้องเสียงแหลมราวกับพบเจอศัตรูทางธรรมชาติ
ใบหน้าจางป๋ายเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เขาเคลื่อนถอยกลับต่อเนื่อง
หวังหลินคว้าหอกและไล่ล่าตามหลังจางป๋าย
“กาลเวลา!” หวังหลินร้องตะโกนและไม้แกะสลักเก้าชิ้นพลันลอยออกมา แต่ละชิ้นขยายขนาดเป็นรูปร่างคนของจริงกลางอากาศและกระจายออกมา
ร่างจางป๋ายที่กำลังล่าถอยได้ช้าลงทันที!
“สะเพร่างั้นหรือ?”
ระหว่างการหยุดชะงักครั้งนี้ หอกของหวังหลินแทงไปข้างหน้าพร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง
จางป๋ายร้องคำราม ฝ่ามือสร้างผนึกและรูปตะขาบตัวหนึ่งปรากฎบนหน้าผากเขา ขานับไม่ถ้วนของมันปกคลุมทั่วร่างกายจางป๋ายเกิดเป็นรังไหมห่อหุ้มล้อมรอบ
พลังอำนาจของหอกเล่มนี้กระทั่งสามารถสั่นคลอนฟ้าดินได้
ปัง!!
หอกร่อนลงบนรังไหมเสียงดังปัง หมอกกฎเกณฑ์เจาะทะลวงเข้าไปในรังไหมอย่างรุนแรง เลือดเนื้อของรังไหมพลันแตกกระจายทันทีและในจังหวะนั้นจางป๋ายพลันอออกมาจากรังไหม เขากระอักโลหิตคำโต
ตัวอ่อนนับไม่ถ้วนดิ้นรนข้างในโลหิตจนแทบทำให้ทุกคนขนลุกซู่
“เซิ่งหนิว!! อย่าพาลข้าไปหน่อยเลย!” แววตาจางป๋ายแดงฉานโดยสิ้นเชิงและน้ำเสียงแหบพร่า จิตใจเขาสั่นคลอน เขตแดนข้างในหอกของหวังหลินทำให้อาการบาดเจ็บของเขายิ่งแย่ลง หากไม่ใช่ว่าเขตแดนของเขาเป็นรูปแบบพิเศษ เขาคงบาดเจ็บหนักจากการโจมตีของหวังหลินไปแล้ว
“พาลงั้นหรือ? เช่นนั้นวันนี้ข้าจะพาลเจ้าเอง!” แววตาหวังหลินยังคงเยือกเย็น ฝ่ามือขวาชี้ไปข้างหน้าทันทีและลำแสงพลังปราณที่ดูธรรมดาพุ่งเข้าหาจางป๋าย
“เขตแดนโจมตี!!” เขามีใบหน้าเกลียดชังพลันหันร่างกลับเจตนาจะหนีโดยไม่มีการลังเล
หวังหลินจะปล่อยให้เขาหนีได้อย่างไร? เขาไล่ล่าตามหลังจางป๋ายและชี้ไปที่เขา วิญญาณเร่ร่อนรอบๆพลันเข้ามาจากทุกทิศทางเพื่อหยุดเขา
ใบหน้าจางป๋ายขาวซีด เขาต้องการจะหลบหนีด้วยการเคลื่อนที่พริบตา ทว่าเมื่อแววตาหวังหลินสว่างขึ้นเขาวาดแขนลงและเกิดเสียงดังรุนแรงพร้อมกับรอยแยกอวกาศแห่งหนึ่งปรากฎ
รอยแยกอวกาศปรากฎด้านขวาขณะที่จางป๋ายกำลังจะเคลื่อนที่พริบตา หากเขาทำเช่นนั้นจริงๆคงถูกรอยแยกอวกาศฉีกร่างเป็นสองส่วน
“เจ้าคนบ้า!” จางป๋ายหวาดกลัว เขารีบหยุดการเคลื่อนที่พริบตาอย่างรวดเร็ว
สายลมหนาวเย็นพัดออกมาจากรอยแยก พื้นดินเริ่มร้าวและพลังปราณรอบๆถูกดูดเข้าไปข้างใน
จางป๋ายเคยเห็นคนบ้าและเขาสังหารเหล่าเซียนขั้นตัดวิญญาณมาก่อนแต่เขาหวาดกลัวหวังหลินในตอนนี้ หวังหลินมีประสบการณ์การต่อสู้มากที่สุดของผู้คนทั้งหมดที่เขาเคยเผชิญหน้า
การเปิดรอยแยกเป็นสิ่งที่เหล่าเซียนขั้นตัดวิญญาณทั้งหมดสามารถทำได้ ทว่าเป็นครั้งแรกที่จางป๋ายได้เห็นมันใช้เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่พริบตา
การเปิดรอยแยกใหญ่เช่นนี้ทำให้แคว้นซูสูญเสียพลังปราณซึ่งหมายความว่าเรื่องนี้มันบ้าคลั่งเกินไป
แววตาหวังหลินยังคงเยือกเย็น เขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องพร้อมกับชี้ไปบนฟ้า วงแหวนแสงพลันปรากฎเบื้องหลังเขาเกิดเป็นม้วนคัมภีร์ยักษ์สีดำและขาว
“เจ้าโชคดีนักที่จะกลายเป็นเครื่องเซ่นไหว้ให้กับเขตแดนแห่งชีวิตและความรายระดับสองของข้า!” น้ำเสียงหวังหลินเย็นชา ฝ่ามือขวาชี้ไปที่จางป๋าย “เปลี่ยนแปลงชีวิตและความตาย!”
ม้วนคัมภีร์เบื้องหลังถูกเปิดขึ้นปกคลุมรัศมีมากกว่าสิบลี้และสูงส่งน่าเกรงขามอย่างมาก แม้กระทั่งรอยแยกอวกาศยังปิดตัวลงเบื้องหน้าอำนาจของคัมภีร์
เศษเสี้ยวสายหมอกสีเทากระจายออกจากม้วนคัมภีร์
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้เขตแดนของตัวเองด้วยพลังเต็มที่ เขาใช้ความรู้ความเข้าใจทั้งหมดเกี่ยวกับชีวิตและความตายและวัฎจักรเวียนว่ายตายแห่งรวมไปในการโจมตีครั้งนี้
จางป๋ายลอบสาปแช่งแต่เขาเป็นคนหยิ่งยโส แววตาแดงฉานพลันตบกระเป๋าปรากฎฝูงแมลงสีแดงขึ้นมา
จางป๋ายร้องตะโกน “เซิ่งหนิว เราไม่ได้แค้นเคืองกันถึงตาย ทำไมเจ้าต้องทำให้มาไกลเช่นนี้!? ข้าเพียงสังหารศิษย์ไม่กี่คนของสำนักเมฆาฟ้าของเจ้า!”
“ตอนนี้เช่นไรเล่า!” แววตาหวังหลินสว่างขึ้นและเขาชี้ไปที่จางป๋าย เสียงดังกึกก้องออกมาจากม้วนคัมภีร์และวังวนหนึ่งปรากฎ มันถูกล้อมรอบด้วยหมอกสีเทาหนาแน่น
หากมองเข้าไปใกล้ๆพวกเขาจะเห็นใบหน้าผู้คนหลากหลายคนข้างในวังวน ทุกคนต่างเป็นคนที่ตายด้วยน้ำมือหวังหลิน
นี่คือเขตแดนแห่งชีวิตและความตาย มันเป็นวัฎจักรเวียนว่ายตายเกิดแห่งสวรรค์สวรรค์อีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นวงจรของเขาเอง การต่อต้านของเขาจะไร้ผลเว้นแต่เขตแดนของจางป๋ายจะมีขั้นตัดวิญญาณระดับกลางเช่นกัน
เหล่าแมลงทั้งหมดนอกจากจางป๋ายพลันกรีดร้องอย่างโหยวนก่อนจะตกลงสู่พื้นดิน แมลงทุกตัวถูกควันสีเทาจับไว้และดูดซับเข้าไปในวังวน
แววตาแดงฉานของจางป๋ายได้ซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้ เขาร้องคำรามและชี้ที่หน้าผากตนเอง ตะขาบปรากฎขึ้นอีกครั้งและควันสีรุ้งปรากฎบนหน้าผาก
ควันนี้กลายเป็นตะขาบยาวหนึ่งร้อยเมตรแทบในทันที สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตะขาบตัวนี้ก็คือมันมีอีกศีรษะหนึ่งอยู่ข้างใต้ศีรษะเดิมของมันและดูเหมือนจางป๋าย
นี่คือวิญญาณดั้งเดิมของเขา!
เมื่อตอนที่เขาอยู่ในหุบเขาเดียวดายเก้าภูติ เขารวมเข้ากับวิญญาณอสูรตัวนี้เพื่อบรรลุขั้นตัดวิญญาณ เขตแดนที่เขารู้แจ้งคือหนทางแห่งอสูรแมลง! เขาใช้ร่างกายอสูรเพื่อใช้พลังแห่งสรวงสวรรค์ ฟ้าดินโหดเหี้ยม เหล่ามนุษย์สามารถสังหารเหล่าอสูรดังนั้นเหล่าอสูรจึงสังหารมนุษย์เช่นกัน มนุษย์สามารถกินเหล่าสัตว์อสูร ดังนั้นเหล่าสัตว์อสูรจึงกินมนุษย์เช่นกัน
หากเหล่ามนุษย์สามารถกลายเป็นเซียนได้ นั่นก็หมายความว่าเหล่าอสูรสามารถกลายเป็นเซียนได้เช่นกัน
ทำไมเหล่ามนุษย์ถึงเป็นต้นกำเนิดของทั้งหมด? จิตใจแห่งเต๋าของจางป๋ายถูกใช้เป็นต้นกำเนิดวิญญาณอสูร
ขณะที่วิญญาณดั้งเดิมของเขาปรากฎขึ้น พลันร้องคำรามและออกจากร่างกาย มันลอยขึ้นไปบนอากาศพลันอ้าปากออกและพุ่งเข้าหาวังวน
แววตาหวังหลินเป็นประกายพลันเอ่ยขึ้น “จองหอง!”
ตูม!!
วังวนพลันขยายออกและกลืนกินวิญญาณดั้งเดิมของจางป๋ายราวกับสวรรค์อันโหดเหี้ยม คลื่นเสียงกรีดร้องดังออกมาจากข้างในแต่ในไม่ช้าก็จางหายไป ม้วนคัมภีร์หายไปและทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนสู่ความปกติราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน
หวังหลินโบกแขนขวาและร่างกายจางป๋ายแตกสลายกลายเป็นกองเลือดเนื้อ เหล่าตัวอ่อนแมลงอยู่ทุกที่ในร่างกายเขาได้ปลดปล่อยกลิ่นเหม็นชวนอ้วก