389. สหายน้อย ตาเฒ่าคนนี้รอเจ้ามานานแล้ว
“คนผู้นี้คือ…”
สายตาจากแสงโลหิตหายวับในทันที หวังหลินขบคิดเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกาย
“ไม่ว่าข้าจะอยู่ที่สำนักหลอมวิญญาณหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป การฟื้นฟูวิญญาณดั้งเดิมของข้าได้อย่างสมบูรณ์ ข้าจำเป็นต้องมีโอสถที่ดี นอกเหนือไปกว่านั้นยังจำเป็นต้องใช้แรงกดดันพลังปราณอันแข็งแกร่ง ไม่ใช่ว่าข้าไม่มีวิธีแต่มันค่อนข้างอันตราย…”
หวังหลินมองไปทางภูเขาแยกวิญญาณและผนึกวิญญาณด้วยสายตามุ่งมั่น
เขาเปลี่ยนไปเป็นลำแสงพลันออกจากภูเขาหลอมวิญญาณและเหาะเหินไปทางภูเขาแยกวิญญาณ
ระหว่างที่เขาไปที่นั่น สตรีร่างงดงามเฝ้ามองเขาจากด้านข้างภูเขาหลอมวิญญาณด้วยท่าทีสงบนิ่ง นางถอนหายใจและพึมพำขึ้น “การฟื้นฟูของเขารวดเร็วเกินไป…หากข้าต้องการทอดเงาไว้ในเต๋าของเขา ข้าต้องหาว่าเต๋าของเขาคือสิ่งใด…ทว่าข้าไม่สามารถมองเต๋าของเขาออกผ่านความสัมพันธ์ของเรา ศิษย์พี่หวัง จิตใจแห่งเต๋าของท่านคือสิ่งใดกันแน่…”
หวังหลินร่อนลงบนภูเขาแยกวิญญาณและกระจายสัมผัสวิญญาณออกก่อนจะพุ่งไปทางถ้ำแห่งหนึ่ง เซียนที่อยู่ในถ้ำเป็นคนที่มีระดับบ่มเพาะสูงที่สุดนอกเหนือจากหัวหน้าผู้อาวุโส เขาคือ ซือจินซี!(蘇金世 Sū jīn shì)
ในจังหวะที่ร่างหวังหลินปรากฎ ซือจินซีที่กำลังบ่มเพาะพลันลืมตาขึ้นเผยใบหน้าไม่ชอบใจ
หวังหลินยืนอยู่ในถ้ำของซือจินซี เขามองไปรอบๆและเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น “เจ้ามีหินหยกแยกวิญญาณไหม?”
ซือจินซีขบคิดและพยักหน้า เขาไม่สามารถมองเห็นระดับบ่มเพาะของคนผู้นี้ได้และไม่เคยเห็นเขามาก่อน แต่สามารถบอกได้จากเสื้อผ้าที่สวมใส่ว่ามาจากภูเขาหลอมวิญญาณ
ในสำนักหลอมวิญญาณ ศิษย์ของภูเขาทั้งสามลูกต่างอนุญาตให้ติดต่อกันและกันได้ หากมีทักษะพอพวกเขาสามารถเรียนรู้วิชาทั้งสามได้ตามที่ต้องการ
ซือจินซีได้เข้าไปในภูเขาหลอมวิญญาณเมื่อหลายปีก่อนและได้รับหินหยกหลอมวิญญาณมาหนึ่งชิ้น
ซือจินซีกัดฟันแน่นและเอ่ยขึ้น “ข้าสามารถยกหินหยกแยกวิญญาณให้เจ้าได้แต่ทว่าข้าขาดเสี้ยววิญญาณสามร้อยดวงเพื่อหลอมธงวิญญาณให้กลายเป็นพันวิญญาณ หากเจ้ายกวิญญาณสามร้อยดวงให้ข้า ข้าถึงจะให้หินหยกแยกวิญญาณ”
หวังหลินมองซื่อจินซี เขานำธงวิญญาณพันดวงที่มีเสี้ยววิญญาณข้างในมากกว่าสองพันดวง สะบัดมันและวิญญาณสามร้อยดวงลอยออกมา
หวังหลินยื่นมืออกไปและวิญญาณทั้งสามร้อยดวงเปลี่ยนไปเป็นไข่มุกสีดำจากนั้นตรงเข้าหาซื่อจินซี
ซื่อจินซีเป็นคนที่เด็ดขาด เขานำหินหยกม่วงออกมาและส่งมันให้หวังหลิน พลันเอ่ยถาม “ศิษย์พี่อาวุโสนามว่าอะไร?”
“ฉิงมู่!” หวังหลินรับหินหยกและตรวจสอบมัน หินหยกบรรจุกรรมวิธีการแยกวิญญาณที่มีชีวิต การเก็บมันไว้จากการแตกสลายและสุดท้ายวิธีการหลอมธงวิญญาณ
หินหยกแยกวิญญาณได้รวมสามวิชาเซียนไว้ด้วยนั่นก็คือ สยบวิญญาณ ลวงวิญญาณและพิษวิญญาณ
สยบวิญญาณคือหัวใจหลักของการแยกวิญญาณ หากการสยบวิญญาณไม่ได้ถูกใช้ในครั้งแรก โอกาสสำเร็จของการแยกวิญญาณจะต่ำมาก หลังจากใช้มันความสำเร็จจะเพิ่มสูงขึ้นมหาศาล
ลวงวิญญาณเป็นวิชาการดึงวิญญาณออกจากคนที่มีชีวิต
ส่วนวิชาสุดท้ายคือพิษวิญญาณ เป็นวิชาที่โหดร้ายที่สุดและทรงพลังที่สุดในสามวิชาเปรียบได้กับวิชาสังเวยโลหิตของภูเขาหลอมวิญญาณ
พิษวิญญาณเป็นวิชาลึกลับในการเปลี่ยนวิญญาณที่มีชีวิตให้กลายเป็นพิษซึ่งสามารถสังหารได้อย่างเงียบเชียบ เมื่อมันถูกปรับแต่งได้อย่างพอดี มันจะเปลี่ยนไปเป็นวิญญาณพิษด้วยพลังของเซียนขั้นแกนลมปราณ
หากมันมีแค่นี้ก็คงไม่มีอะไรมาก แต่นานมาแล้วศิษย์ผู้หนึ่งของสำนักหลอมวิญญาณได้ทรยศสำนักและหลบหนีไป เขาใช้วิชานี้เข้าไปในแคว้นเซียนระดับสี่โดยไม่มีใครสามารถต้านทานได้ สร้างสำนักของตัวเองขึ้นเรียกว่าสำนักโอสถมาร
เขาใช้วิชาอันลึกลับเพื่อปรับแต่งวิญญาณพิษให้กลายเป็นยาและใส่กลิ่นอายแห่งความตายเข้าไปจนมันเปลี่ยนเป็นแกนพลังสีเขียว เขาเรียกวิธีนี้ว่า แกนพลังสีเขียว ซึ่งทำให้เขาบรรลุขั้นตัดวิญญาณและถูกนับว่าเป็นอัจฉริยะในตอนนั้น
แกนพลังสีเขียวและแกนพลังสีทองแตกต่างกัน ท่านมีแกนพลังสีทองได้หนึ่งเดียวแต่ท่านสามารถมีแกนพลังสีเขียวได้มากมาย เขาใช้วิธีนี้พัฒนาจากวิชาพิษวิญญาณเพื่อบรรลุขั้นตัดวิญญาณ เขามีแกนพลังสีเขียวหลายหมื่นชิ้นในตอนนั้น
ตอนที่เขาโจมตีจะส่งแกนพลังสีเขียวออกมาระเบิด เป็นความรุนแรงที่แม้กระทั่งเซียนขั้นแปลงวิญญาณไม่อยากยุ่งเกี่ยว
พื้นดินแตกกระจายหลังการระเบิด หากถูกบังคับให้จนมุม แรงระเบิดจะทรงพลังยิ่ง
สำนักหลอมววิญญาณไม่เคยลงมือใดๆกับการทรยศสำนักของเขาซึ่งทำให้หลายคนงุนงง ส่วนคนที่หายไป ตำนานของเขาก็ค่อยๆจางหายในประวัติศาสตร์ด้วย
ซื่อจินซีมองหวังหลินและเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ฉิงมู่กำลังจะไปภูเขาผนึกวิญญาณเพื่อเอาหยินหยกผนึกวิญญาณใช่ไหม”
หวังหลินเก็บหินหยกแยกวิญญาณและพยักหน้า
ซื่อจินซียิ้มอย่างขมขื่นและเอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่ไม่ไปเสียดีกว่า ภูเขาผนึกวิญญาณไม่ได้มีหินหยกผนึกวิญญาณแค่ชิ้นเดียว มีเพียงเหล่าบรรชนขั้นตัดวิญญาณเท่านั้นที่ยอมให้ศึกษาหินหยกผนึกวิญญาณ ซึ่งภูเขาผนึกวิญญาณเป็นการผสมผสานของหินหยกหลอมวิญญาณและแยกวิญญาณ”
หวังหลินพยักหน้าและหายตัไป
เขาปรากฎตัวอีกครั้งก็มาถึงภูเขาผนึกวิญญาณ จากนั้นจึงพบศิษย์คนหนึ่งและได้ยินสิ่งเดียวกันกับที่ซื่อจินซีบอกเขา
หวังหลินยังได้ตรวจสอบสายแร่วิญญาณที่อยู่ใต้ภูเขาแยกวิญญาณและผนึกวิญญาณ มีเพียงแค่ภูเขาผนึกวิญญาณที่มีธงวิญญาณอยู่ข้างใต้และมันไม่ได้แข็งแกร่งนัก เสี้ยววิญญาณที่อยู่ข้างในนั้นยังมีพลังไม่สม่ำเสมอ หวังหลินแทบไม่ต้องใช้ความพยายามเพื่อได้มันมา
ส่วนภูเขาแยกวิญญาณ มันว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง ชัดเจนแล้วว่ามีคนนำธงวิญญาณไปเมื่อหลายปีก่อน
หลังทำทุกอย่างนี้เสร็จสิ้น หวังหลินเงยศีรษะและมองไปทางวงแหวนสีทองเก้าวงและวงแหวนโลหิตทั้งสอง ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“วิญญาณดั้งเดิมของข้าจะฟื้นฟูขึ้นมาได้หรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับวันนี้! ข้าจะต่อสู้กับบรรพชนขั้นแปลงวิญญาณของสำนักหลอมวิญญาณ มีเพียงภายใต้แรงกดดันพลังปราณของเซียนขั้นแปลงวิญญาณเท่านั้นที่วิญญาณดั้งเดิมของข้าจะฟื้นฟูได้! ถึงตอนนั้นข้าสามารถใช้เข็มทิศดวงดาวเพื่อหลบหนี แม้เซียนขั้นแปลงวิญญาณต้องการไล่จับข้าก็ไม่สามารถทำได้!” หวังหลินสูดหายใจลึกและดวงตาเต็มไปด้วยเจตนาการต่อสู้
หวังหลินเปลี่ยนเป็นลำแสงและลอยเข้าหาวงแหวนแสงทั้งเก้าวง ฝ่ามือซ้ายถือธงวิญญาณหมื่นดวงและฝ่ามือขวาถือธงกฎเกณฑ์ที่ใส่ไว้ 999 แบบ เขามาถึงเบื้องหน้าวงแหวนทองทั้งเก้า
ขณะที่เข้ามาใกล้ เขาโบกธงทั้งสองผืน ธงวิญญาณมีกิเลนทองลอยออกมา เบื้องหลังมันเป็นกิเลนดำเก้าตัวและหลังจากนั้นเป็นเสี้ยววิญญาณนับไม่ถ้วน ในเพียงชั่วขณะทั้งสำนักหลอมวิญญาณจึงถูกปกคลุมด้วยเหล่าดวงวิญญาณนี้
เสียงเห่าหอนไม่รู้จบรู้สิ้นเป็นเสียงเดียวที่ดังขึ้นในสำนักนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินใช้ธงวิญญาณหมื่นดวง พลังของมันเกินกว่าจินตนาการของเขาไปมากมาย
กิเลนทองคำร้องคำรามและพุ่งเข้าหาวงแหวนทองทั้งเก้าวง
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงระเบิดดังเป็นชุด เจ้ากิเลนทองและกิเลนสีดำทั้งเก้าตัวปะทะเข้ากับวงแหวนทองทำให้พวกเขาเผยเป็นร่างบุรุษและสตรีหลากหลายอายุคน
ผู้คนทั้งเก้านี้ต่างก็เป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณของสำนักหลอมวิญญาณหลังปรากฎตัวต่างก็จ้องเหล่ากิเลนด้วยใบหน้าตกใจ
กิเลนทองคำถอยหลังไปหลายก้าว มันส่ายศีรษะและพ่นควันสีดำสองสายกระจายออกมา
หวังหลินยืนอยู่บนเจ้ากิเลน มันลังเลแทนที่จะส่ายศีรษะแต่มันจ้องสายตาดุร้ายไปที่คนทั้งเก้าคนแทน
“เจ้ากล้าดียังไง!” หนึ่งสตรีวัยกลางคนมองออกมาหาหวังหลินและกำลังจะโจมตี
หวังหลินชำเลืองมองและตะโกนกลับไป “ไปซะ!!!”
กลิ่นอายน่ากลัวกระจายออกมาจากหวังหลิน กลิ่นอายนี้เกินว่าที่สตรีจะรับไหว ซึ่งนอกจากนั้นหวังหลินฟื้นฟูระดับฝึกตนมาที่ขั้นตัดวิญญาณแล้วและเขาเพียงแค่เขตแดนหายไปเท่านั้น
เขาคือคนที่ต่อสู้กับผีเสื้อสีชาด ดังนั้นระดับฝึกตนจึงแข็งแกร่งทรงพลังมากกว่าคนส่วนใหญ่ สตรีนางนี้เป็นเพียงแค่ขั้นตัดวิญญาณระดับต้นและแม้จะพูดว่าเขาไม่สามารถสังหารนางได้ง่ายๆแต่มันก็ไม่ยากจนเกินไป หวังหลินต้องสังหารสักคนสองคนอยู่แล้ว
มีความแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวงระหว่างคนที่สังหารเซียนระดับเดียวกันและเซียนที่ไม่เคยสังหารระดับเดียวกัน
เสียงตะโกนของหวังหลินได้ผลักกลิ่นอายทรงพลังของเขาออกมา นางถอยหลัง ใบหน้าซีดเผือดและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
จากนั้นนางเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวทันที หลังกลายเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณ นางไม่เจอใครที่ตะโกนใส่มาก่อน ทว่านางระงับความโกรธเอาไว้และเยาะเย้ยหวังหลิน
คนที่กลายเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณจะโง่ได้อย่างไรเล่า? นางรู้ว่าหากคนผู้นี้เข้ามาหา เขาจะต้องมีอะไรซ่อนไว้ใต้เสื้อเป็นแน่ เจ้ากิเลนทองคำนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถต่อสู้ได้แล้ว
หวังหลินยืนอยู่บนยอดเจ้ากิเลนทองคำและเอ่ยอย่างเยือกเย็น “พวกเจ้าทั้งเก้าคน หลีกทาง!”
“โอหัง!” ชายชราชุดเขียวใบหน้าคิ้วขมวด พ่นลมหายใจออกมาและชี้มือขวาไปที่หวังหลิน ลำแสงพลังปราณพุ่งออกมาเปลี่ยนเป็นโซ่ตรวนและลอยเข้าหาหวังหลิน
หวังหลินโบกธงกฎเกณฑ์และกฎเกณฑ์นับไม่ถ้วนลอยออกมากลายเป็นหอกสีดำ หวังหลินผลักมันไปข้างหน้า หอกปะทะเข้ากับโซ่ทำให้มันแตกสลายทันที ทว่าหอกพุ่งทะลุเข้าไปหาชายชราด้วย
ขณะเดียวกันหวังหลินโบกธงวิญญาณ เจ้ากิเลนรวมถึงดวงวิญญาณกว่าหมื่นดวงร้องคำราม เมื่อหวังหลินเอ่ยคำว่า “กลืนกิน” วิญญาณทั้งหมดพุ่งไปเบื้องหน้า
มองจากระยะไกลแล้วมันดูราวกับพายุยักษ์ที่ก่อตัวขึ้นในสำนักหลอมวิญญาณ
ณ ตอนนี้เองน้ำเสียงแก่ชราดังออกมาจากวงแหวนโลหิต “สหายน้อย ตาเฒ่าคนนี้รอเจ้ามานานแล้ว”