390. ของขวัญสามชิ้น
เมื่อน้ำเสียงนั้นดังออกมา ร่างสวมเสื้อคลุมยาวสีฟ้าพร้อมกับเส้นผมยาวถึงเอวพลันเดินออกมาจากหนึ่งวงแหวนโลหิต เพียงแค่ก้าวเดียวเขาก็มาถึงเบื้องหน้าทุกคน เสื้อคลุมของเขาใหญ่มากดังนั้นขณะที่เขาเคลื่อนไหวมันจึงเริ่มขยับตามไปด้วย
ใบหน้าเขาชรามากแต่ดวงตาเปล่งประกายราวกับดวงดาว เขามองหวังหลินอย่างละเอียดและจากนั้นสะบัดแขน
“พวกเจ้าทั้งเก้าคนไปได้!”
คลื่นฝ่ามือบรรจุแรงกดดันทรงพลัง เซียนขั้นตัดวิญญาณทั้งเก้าคนโค้งคำนับอย่างเคารพและหายตัวไป
ดวงตาหวังหลินสว่างวาบและเผยแรงกระตุ้นการต่อสู้ เขาไม่สามารถมองเห็นระดับฝึกตนของชายชราได้แต่แน่ใจว่าเป็นระดับขั้นแปลงวิญญาณ
“สหายน้อยเซิ่งหนิว ตาเฒ่าผู้นี้รอเจ้ามาสองปีก็เพื่อวันนี้!” แววตาลึกลับในดวงตาของชายชราพลันมองหวังหลิน
หวังหลินรับรู้ได้ทันทีราวกับสายตาคู่นี้เป็นคนเดียวกับเมื่อวันวาน หวังหลินตกใจที่ชายชราผู้นี้รู้จักเขา หากหลิวเหมยสามารถหาเขาเจอเช่นนั้นก็ไม่ประหลาดนักที่บรรพชนขั้นแปลงวิญญาณของสำนักหลอมวิญญาณจะรู้จักเขาเช่นกัน
“ในการพบปะของเราวันนี้ ข้าจะให้ของขวัญเล็กๆกับสหายตัวน้อยก่อน” เขาเอ่ยคำพูดก่อนจะชี้ไปทางภูเขาหลอมวิญญาณ น้ำเสียงเขาเปลี่ยนจากนุ่มนวลในครั้งแรกกลายเป็นเต็มไปด้วยแรงกดดันและเจตนาสังหาร “เจ้าหนูหลิวเหมย เจ้ามีเวลาสิบลมหายใจเพื่ออกไปจากสำนักหลอมวิญญาณของข้า หากเจ้าไม่ไป แม้จะเป็นศิษย์ของซูซาคุในปัจจุบัน ข้ายังเลือกจะสังหารเจ้า! ไปซะ!”
ร่างอันงดงามของหลิวเหมยปรากฎตัวเหนือภูเขาหลอมวิญญาณ นางมองชายชราด้วยใบหน้าน่ารักและกระซิบ “ท่านอาวุโส ผู้น้อยได้รับคำสั่งจากอาจารย์และข้าไม่ได้โกรธเคืองท่าน ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…”
ใบหน้าหวังหลินยังคงปกติดีแต่รีบวิเคราะห์สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
ชายชราเอ่ยอย่างเยือกเย็น “หกลมหายใจ!”
หลิวเหมยถอนหายใจ นางกัดริมฝีปากเล็กน้อยและเอ่ยขึ้น “ท่านอาวุโ สหากผุ้น้อยจากไปเช่นนี้ ท่านอาจารย์จะลงโทษข้า หากอาจารย์ถามเรื่องที่เกิดขึ้น ข้าไม่มีทางเลือกจนต้องบอกออกไป”
“สี่ลมหายใจ!” เจตนาสังหารไหลรินออกมาจากชายชรา เขายื่นมือออกและภาพธงยาวสามสิบฟุตปรากฎในฝ่ามือ
แม้ว่าธงผืนนี้เป็นเพียงแค่รูปภาพทว่ามีแรงกดดันทรงพลังออกมาจนรู้สึกได้ เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าหลิวเหมยเปลี่ยนไปอย่างมาก
“ธงวิญญาณหนึ่งล้านดวง…” นางจ้องชายชราและกัดฟันแน่นก่อนจะหายตัวไปและออกจากสำนักหลอมวิญญาณ
ชายชราไม่แม้แต่จะมองทิศทางที่หลิวเหมยจากไป เขาหันกลับมาหาหวังหลินด้วยแววตาลึกลับ “สหายน้อยเซิ่งหนิว ของขวัญเล็กๆนี้เป็นอย่างไร?”
การคงอยู่ของหลิวเหมยเป็นเหมือนหนามแหลมบนตัวหวังหลิน ตอนที่นางอยู่รอบๆเขารู้สึกเหมือนเป็นเป้าหมายของงูเห่า ตอนนี้นางจากไปแล้ว ความรู้สึกนี้พลันหายวับไป
หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่น “ของขวัญเล็กๆน้อยๆแบบไหนกัน? ผู้อาวุโสจะขัดใจซูซาคุ นี่มันทำให้ข้ากลัวมากกว่ารู้สึกยินดีเสียอีก”
‘บรรพชนของสำนักหลอมวิญญาณแห่งนี้น่าสนใจจริงๆ’ หวังหลินคิด เขาค่อนข้างมั่นใจว่าหลิวเหมยได้รับอนุญาตจากบรรพชนให้เข้ามาสำนักหลอมวิญญาณไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่นางจะเข้ามาได้
ชายชราผู้นี้ไม่ได้ไล่นางออกไปก่อนหน้านี้ เขาเลือกจะทำมันวันนี้เบื้องหน้าหวังหลิน เรื่องนี้ได้บอกหวังหลินว่าความสัมพันธ์ของสำนักหลอมวิญญาณกับซูซาคุได้แตกหักลงและทั้งหมดเป็นเพราะเขา
นี่ไม่ใช่ของขวัญเล็กๆน้อยๆเลย!
ชายชราหัวเราะและเอ่ยขึ้น “นี่ไม่เพียงพอจะขัดใจแคว้นซูซาคุหรอก ซูซาคุในปัจจุบันแก่เฒ่าและไม่ทำให้ทั้งดวงดาวฟังเขาอีกแล้ว”
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและหันไปมองชายชรา “ผู้อาวุโสต้องการอะไร? ท่านโปรดบอกข้าเถิด”
ชายชราเผยแววตาชื่นชม “ไม่ต้องรีบ นั่นเป็นเพียงของขวัญชิ้นแรกเท่านั้น ตอนนี้คือของขวัญชิ้นที่สอง เซิ่งหนิว วิญญาณดั้งเดิมของเจ้าเกือบฟื้นฟูแล้วได้เต็มที่แล้ว เหตุผลที่เจ้ามาที่นี่ก็เพราะหยิบยืมแรงกดดันของข้าเพื่อช่วยเจ้าฟื้นฟู ของขวัญชิ้นที่สองของข้าคือช่วยเจ้าฟื้นฟูระดับฝึกตนของเจ้า!”
หลังจากนั้นเขาไม่รอให้หวังหลินเอ่ยและดวงตาพลันสว่าบว่าง แรงกดดันที่แข็งแกร่งมากกว่าสายแร่วิญญาณหลายเท่าพลันปรากฎรอบร่างหวังหลิน
“พอไหม?”
ร่างหวังหลินสั่นเทา ภายใต้แรงกดดันนี้เขารู้สึกราวกับมีภูเขานับไม่ถ้วนอยู่บนตัวและเกิดเสียงแตกร้าวบนร่างกาย ช่องว่างระหว่างเศษวิญญาณดั้งเดิมของเขากำลังปิดแต่ความเร็วยังคงช้าเกินไป
หวังหลินกัดฟันแน่นและเอ่ยขึ้น “ไม่พอ!”
สายตาชายชราสว่างขึ้น เส้นผมเคลื่อนไหวโดยไม่พึ่งแรงลมและเสื้อคลุมเริ่มกระพือ
แรงกดดันมากกว่าครั้งก่อนสิบเท่าพุ่งลงมา รอยร้าวในอากาศเริ่มปรากฎและกระจายออก
“คราวนี้หล่ะ?”
เสื้อผ้าหวังหลินชุ่มไปด้วยโลหิตที่ไหล่ออกมาจากรูขุมขน เส้นโลหิตบนหน้าผากำลังปูดพองและหนึ่งในสองรอยเขตแดนแห่งชากำลังหายไป
ตอนนี้หวังหลินรู้สึกได้ชัดเจนถึงช่องว่างระหว่างเศษเสี้ยววิญญาณดั้งเดิมของเขากำลังซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว ชิ้นส่วนเล็กๆได้เชื่อมต่อกลับเข้าด้วยกันแล้ว
สัมผัสความสบายออกมาจากภายในร่างกายและลบล้างแรงกดดันออกไป
หวังหลินสูดหายใจลึก “ไม่พอ!”
“โอ้ จริงหรือ? ก็ได้เซิ่งหนิว สองร้อยปีมาแล้วที่ข้าใช้พลังปราณสวรรค์ครั้งสุดท้าย ข้ากำลังจะส่งไปให้มากในของขวัญชิ้นที่สอง!” ชายชราหัวเราะและใช้พลังปราณสวรรค์ในร่างกายโดยไม่ลังเล แรงกดดันที่แตกต่างจากพลังปราณได้กดทับลงมา
แรงกดดันที่บรรจุพลังปราณสวรรค์เอาไว้ด้วย สิ่งนี้ได้ย้ำเตือนหวังหลินถึงพลังจากพื้นที่สวรรค์ที่กำลังพังทลาย ร่างกายเขาสั่นสะท้านและวิญญาณดั้งเดิมเชื่อมต่อกลับมาด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์
หลังผ่านไปห้าลมหายใจ ในที่สุดรอยแผลเขตแดนแห่งชาบนใบหน้าก็หายไปสิ้น!
เสียงหัวเราะออกมาจากหวังหลินและดวงตาเรืองแสงราวกับดวงอาทิตย์ยามรุ่นอรุณ พลังปราณของเขาเติมเต็มในร่างกายและวิญญาณดั้งเดิมบรรลุขึ้นมาในทุกส่วนของเขา หวังหลินรู้สึกเจ็บปวดทุกส่วนของร่างกายซึ่งในไม่นานนักมันกลายเป็นความรู้สึกสบายราวกับไม่ถึงขีดสุดนี้มานานมาก
หวังหลินหัวเราะออกมาและจากนั้นผนึกของซุนไท่ก็แตกสลายไปเช่นกัน
ระดับฝึกตนของเขาฟื้นฟูกลับมาที่ขั้นตัดวิญญาณระดับกลาง ความจริงแล้วเขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
หวังหลินคำนับฝ่ามือ “ขอบคุณ!”
ชายชรามองหวังหลิน เขาเอ่ยออกมาด้วยสายตาชื่นชมยิ่งขึ้น “เร็วเกินไปที่จะขอบคุณข้า ข้าต้องเตรียมของขวัญชิ้นที่สามให้เจ้า เจ้ากล้าที่จะรับมันไหม?”
หวังหลินสูดหายใจลึก ตอนนี้เขาได้ฟื้นฟูระดับฝึกตนขึ้นมาแล้ว หวังหลินปลดปล่อยกลิ่นอายทรงอำนาจและยิ้มเบาบาง “ทำไมข้าจะไม่กล้าเล่า!?”
หวังหลินรับรู้ว่าหากบรรพชนขั้นแปลงวิญญาณยินดีที่จะทุ่มไปมาก จะต้องมีบางสิ่งที่ต้องการให้หวังหลินทำเพียงแต่ไม่เข้าใจว่ามีสิ่งใดที่จำเป็นต้องให้เขาช่วยเหลือ
“เยี่ยม! เซิ่งหนิว ของขวัญชิ้นสุดท้ายของผู้เฒ่าคนนี้คือช่วยเจ้ายกระดับฝึกตนไปถึงตัดวิญญาณระดับปลายสูงสุด ส่วนเขตแดนของเจ้านั้นเป็นของเจ้าเอง ข้าไม่สามารถช่วยเจ้าได้” สิ้นคำชายชราลอยเข้าไปหาวงแหวนโลหิต
หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยและติดตามไป
ภายนอกวงแหวนโลหิต ชายชรายื่นมือออกไปและธงวิญญาณยาวกว่าสามสิบฟุตปรากฎขึ้น ครั้งนี้มันยังเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น
“นี่คือสมบัติหลักของสำนักหลอมวิญญาณ ธงวิญญาณหนึ่งล้านดวง เป็นเพราะสมบัตินี้แม้ว่าข้าจะมีเพียงขั้นแปลงวิญญาณระดับปลาย ข้ากล้าที่จะต่อสู้ต่อต้านกับเซียนขั้นเทวะ ข้าจะบอกเหตุผลเจ้าทีหลังแต่ตราบใดที่สมบัติชิ้นนี้คงอยู่ สำนักหลอมวิญญาณของข้าจะไม่สูญสิ้น ทว่าหากสมบัติแตกเสียหายเมื่อนั้นสำนักหลอมววิญญาณจะจบสิ้น ตอนนี้ข้าจะใช้กำลังบังคับวิญญาณในธงวิญญาณนี้เพื่อยกระดับเจ้าให้ถึงขั้นตัดวิญญาณระดับปลายสูงสุด” ชายชรามองหวังหลินด้วยสายตาแหลมคมและตะโกน “นั่งลงในท่านั่งดอกบัว!”
หวังหลินมองชายชราและทำตามที่เขาบอกโดยไม่ลังเล หากชายชราผู้นี้ต้องการโจมตีเขา ไม่จำเป็นที่จะให้พลังคนอื่นเช่นนี้
อย่างไรก็ตามความระมัดระวังตัวของหวังหลินไม่เคยตกลง หากเขาตรวจจับสิ่งผิดปกติได้เขาจะหนีด้วยเข็มทิศดวงดาวทันที
ชายชราโบกสะบัดธงยาวสามสิบฟุตในฝ่ามือและคลื่นคำรามออกมาจากภายในผืนธง วิญญาณสิบดวงลอยออกมาอย่างรวดเร็วและล้อมรอบหวังหลินไว้
เสี้ยววิญญาณสิบดวงนี้ทั้งหมดต่างปลดปล่อยรัศมีสีม่วงและสีทองซึ่งเต็มไปด้วยความทระนงตน รูม่านตาหวังหลินหดเล็ก วิญญาณแต่ละดวงมีพลังของเซียนขั้นแปลงวิญญาณทั้งนั้น
“ไม่สงสัยเลยว่าเขาสามารถต่อสู้กับเซียนขั้นเทวะได้ด้วยธงวิญญาณผืนนี้…” หวังหลินรู้สึกราวกับเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
ชายชรากระซิบ “สหายน้อยเซิ่งหนิว วิญญาณขั้นแปลงวิญญาณทั้งหมดในธงวิญญาณผืนนี้คือบรรพชนของสำนักหลอมวิญญาณ เมื่อบรรพชนขั้นแปลงวิญญาณคนหนึ่งกำลังจะตาย พวกเขาจะถอนกายหยาบและกลายเป็นเสี้ยววิญญาณเพื่อเพิ่มเข้ามาในธงวิญญาณ เจ้าต้องจำไว้ว่าเมื่อข้าตาย เจ้าต้องเพิ่มเสี้ยววิญญาณเข้ามาในธงวิญญาณเช่นกัน…”
ประโยคสุดท้ายที่ชายชราเปล่งออกมาทำให้จิตใจหวังหลินสั่นเทา เขาเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าอะไรกำลังจะเกิด
ขณะนี้เองดวงวิญญาณขั้นแปลงวิญญาณสิบดวงได้ปลดปล่อยลำแสงสีม่วงและสีทองอันแข็งแกร่งซึ่งปกคลุมทั้งดินแดน
พลังวิญญาณจากจุดกำเนิดอันหนาแน่นของดวงวิญญาณทั้งสิบดวงเข้ามาในร่างกายหวังหลิน เขาไม่ได้ต้องดูดซับมัน ทั้งหมดพุ่งเข้าไปในร่างกายเขา
เหตุการณ์ประหลาดปรากฎในท้องฟ้านั่นก็คือเสี้ยววิญญาณสิบดวงเชื่อมต่อด้วยแสงสีม่วงและสีทองและใจกลางคือหวังหลิน
พลังปราณในร่างกายหวังหลินเพิ่มพูนขึ้นด้วยความเร็วที่เขาไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน พริบตาเดียวมันเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าแต่มันยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยไม่หยุดชะงัก
สองเท่า สามเท่า สี่เท่า…แม้กระทั่งแปดเท่ามันยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“เซิ่งหนิว จงจำชื่อผู้เฒ่าคนนี้ไว้ให้ดี ตุ้นเทียน(遁天 Dùn tiān)! ดูดซับไว้ให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าทำได้ ข้าไม่ใช่คนขี้เหนียว!”