391. หยุนเชว่จื่อ
“ตุ้นเทียน!”
สองคำนี้เข้าหูของหวังหลินทำให้ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลาคิดดังนั้นจึงเพ่งสมาธิให้พลังปราณในร่างเติบโตขึ้นอย่างเดียว
พลังปราณจำนวนมากได้เปลี่ยนจากเสี้ยววิญญาณทั้งสิบดวงเข้าสู่หวังหลินผ่านเส้นสีทองและสีม่วง พลังปราณพรั่งพรูผ่านเส้นโลหิตของหวังหลิน
หวังหลินรู้สึกว่ารูขุมขนทั้งร่างเปิดออกพร้อมกับสิ่งสกปรกทั้งหมดทั้งมวลถูกบังคับให้ออกมา
คลื่นความรู้สึกอันสดชื่นเติมเต็มร่างหวังหลินราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้เขารู้สึกสบายอย่างมาก
หลังจากนั้นไม่นานนักหวังหลินรู้สึกว่าพลังปราณในร่างกายเพิ่มพูนถึงขีดสุด ขณะที่เขตแดนเขาของมีระดับขั้นตัดวิญญาณระดับกลาง พลังปราณของเขาทะลวงผ่านไปถึงระดับปลายแล้ว
สำหรับหวังหลินนั้น เขตแดนของเขาทรงพลังมาตลอด ด้วยเขตแดนขั้นตัดวิญญาณระดับกลางนี้เขาสามารถต่อสู้กับเขตแดนระดับปลายของผีเสื้อสีชาดได้ ขณะที่พลังปราณของเขาเพิ่มพูนขึ้น กำลังรบของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
หากตอนนี้เขาพบกับผีเสื้อสีชาดอีกครั้ง การต่อสู้จะง่ายมากกว่าเดิมหลายเท่า
ผีเสื้อสีชาดไม่เป็นอันตรายในสายตาเขาอีกต่อไป!
ดวงตาหวังหลินสว่างวาบ เขามองเหล่าวิญญาณรอบๆและเริ่มครุ่นคิด
ตุ้นเทียนมองหวังหลินและหัวเราะ “สหายน้อยเซิ่งหนิว เจ้าดูดซับจากของขวัญชิ้นที่สามนี้พอหรือยัง?“
หวังหลินขบคิดเล็กน้อย ความจริงนั้นบรรพชนผู้นี้ยินดีให้เขามากนั่นหมายถึงสิ่งที่เขาต้องการให้หวังหลินทำเป็นเรื่องใหญ่โต เมื่อหวังหลินได้รับของขวัญมาแล้ว เขาคงปฏิเสธการช่วยเหลือไม่ได้
อย่างไรก็ตามจากนิสัยของหวังหลิน ตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจจะช่วยแล้ว หวังหลินจะไม่ปล่อยให้การรับของขวัญชิ้นนี้จบไปอย่างรวดเร็ว
“ผู้อาวุโส ข้าสามารถดูดซับมากเท่าที่ข้าทำได้ ถูกไหม?” หวังหลินมองบรรพชนตู้เทียนอย่างสงบนิ่ง
ชายชราหัวเราะและเอ่ยอย่างเด็ดขาด “ถูกต้อง สหายน้อยเซิ่งหนิว ผู้เฒ่าคนนี้จะไม่ขี้เหนียวกับของขวัญชิ้นที่สามนี้หรอก!”
หวังหลินพยักหน้าและหลับตา
“เจ้าตัวน้อยคนนี้เติมเต็มไปแล้ว แม้เขาจะพูดซับเพิ่มอีกก็ไม่ควรจะดูดซับได้มากกว่านี้…” ด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อตู้เทียนเห็นหวังหลินหลับตา เขาเริ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีเสียแล้ว
“ร่างหลัก…มาดูดซับกัน!” หวังหลินเรียกร่างหลักในใจ
สิ่งนี้เป็นการเรียกข้ามผ่านระยะไกล ซึ่งในตอนนี้ร่างหลักในแคว้นซูลืมตาขึ้น
ดวงดาวสีม่วงสองดวงบนร่างหลักเริ่มหมุนติ้ว
ไม่มีแบ่งแบ่งร่างแรกหรือร่างที่สองระหว่างดั้งเดิมและร่างอวตาร ทั้งคู่ต่างก็คือหวังหลิน มันเป็นการแบ่งออกเป็นครึ่ง เมื่อทั้งสองรวมเข้าด้วยกันจะกลายเป็นหวังหลินตัวจริง
มีการเชื่อมต่อกันอย่างลึกลับระหว่างร่างหลักและร่างอวตารซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำไมร่างหลักถึงได้รับบาดเจ็บตอนที่วิญญาณดั้งเดิมของเขาแตกสลาย ซึ่งร่างหลักในตอนนี้กำลังดูดซับพลังปราณจากร่างอวตารอย่างบ้าคลั่งผ่านการเชื่อมต่ออันลึกลับนี้เช่นเดียวกัน
การดูดซับของร่างหลักนั้นทรงพลังมากกว่าร่างอวตารหลายเท่า นอกจากนั้นแล้วร่างหลักยังเดินบนเส้นทางของเทพโบราณซึ่งใช้การดูดกลืนพลังปราณในการเอาตัวรอด
เสี้ยววิญญาณสิบดวงรอบร่างหวังหลินพลันสั่นเทาและการเชื่อมต่อระหว่างพวกเขาและหวังหลินเพิ่มขึ้นหลายเท่าพร้อมกับรู้สึกถึงพลังดึงดูดทรงพลังจากหวังหลิน
สถานการณ์เปลี่ยนไปจากเหล่าเสี้ยววิญญาณบังคับใส่พลังปราณเข้าไปในตัวหวังหลินได้กลายเป็นหวังหลินกระตุ้นการดูดซับจากพวกเขา การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ดวงตาตู้เทียนเบิกกว้าง
กล้ามเนื้อบนใบหน้าเขาบิดเบี้ยวพร้อมกับเผยใบหน้าเจ็บใจ
สิบลมหายใจ ในเวลาเพียงแค่สิบลมหายใจ พลังปราณมากกว่าครึ่งในสิบดวงวิญญาณได้ถูกดูดซับไป ใหบน้าตุ้นเทียนไม่ชอบใจและเขาต้องการหยุดหวังหลิน แต่หลังนึกถึงว่าเขาพึ่งพูดอะไรไปจึงทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ ด้วยประสบการณ์ของการเป็นเซียนของเขาจึงบอกได้ทันทีว่าเซิ่งหนิวเป็นร่างอวตาร เซิ่งหนิวในปัจจุบันกำลังดูดซับพลังปราณผ่านร่างอวตารของตัวเอง
ร่างหลักของเขาอยู่ในแคว้นซูซึ่งกำลังเติมเต็มด้วยพลังปราณ ถึงจุดหนึ่งเส้นสีทองเริ่มออกมาจากร่างกายและห่อหุ้มรอบตัวหวังหลิน ในไม่นานนักรังไหมผลึกจึงถูกสร้างขึ้น
ร่างหลักนั่งอยู่ในรังไหมขณะที่ดวงดาวอีกดวงค่อยๆปรากฎบนหน้าผากและเป็นรูปร่างอย่างช้าๆ
หวังหลินไม่ใช่คนโลภมาก ตอนนี้เขาลืมตาขึ้นและหยุดการดูดซับ
ตุ้นเทียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารีบโบกธงยาวสามสิบฟุตในมือทำให้วิญญาณสิบดวงกลับไป เขายิ้มอย่างเจ็บปวดไปที่หวังหลินและเอ่ยขึ้น “สหายน้อยเซิ่งหนิว เจ้ายั้งไว้ไม่ได้จริงๆ”
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น เขายืนและรู้สึกถึงพลังปราณทรงพลังในร่างกาย หวังหลินหันไปทางเฉว่ยี่และดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
นิสัยของหวังหลินคือเป็นคนเด็ดขาด เขาจะไม่ไปก่อกวนคนอื่นเลยหากอยู่ตัวคนเดียว แต่หากมีใครมาก่อกวนเขาจะเอาคืนเป็นสิบ…ร้อยเท่า! เขายังมีคนที่ต้องแก้แค้น!
“หลี่หยวนเฟิง…” ดวงตาเย็นชาของหวังหลินหายไปขณะหันไปทางตุ้นเทียนและคำนับฝ่ามือ “ขอบคุณท่านอาวุโสสำหรับของขวัญทั้งสามชิ้น หากมีสิ่งใดที่ท่านต้องการให้ผู้น้อยทำโปรดบอกมาได้เลย ข้าจะทำให้ดีที่สุด!”
หากหวังหลินพูดเช่นนี้นั่นหมายถึงเขารู้สึกขอบคุณอย่างมากต่อผู้อาวุโสตุ้นเทียนจริงๆ
ตุ้นเทียนยิ้มบาง ความทุกข์ก่อนหน้านี้หายไปโดยสิ้นเชิงเพียงแค่หวังหลินพูดเช่นนี้!
“สหายน้อยเซิ่งหนิว เหตุผลที่ข้าให้ของขวัญสามชิ้นกับเจ้านั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก หากเจ้าไม่ได้มาสำนักหลอมวิญญาณของข้า ข้าคงออกไปค้นหาเจ้าแทน”
หวังหลินมองไปที่ตุ้นเทียนและยิ้มแย้ม “ผู้น้อยได้ยินข่าวลือมาแล้วเรื่องที่ข้าสังหารเซียนขั้นตัดวิญญาณของสำนักหลอมวิญญาณ ดังนั้นข้าจึงสันนิษฐานว่าผู้อาวุโสค้นหาข้าเพื่อสอบถามเรื่องนี้”
ตุ้นเทียนส่ายศีรษะและยิ้มขึ้น “ทั้งหมดนั่นเป็นแค่กลอุบาล หากข้าค้นหาเจ้าโดยไม่มีเหตุผลจะได้รับความสนใจมากเกินไป ทว่าหากข้าส่งข้าวลือที่ว่าเจ้าสังหารเซียนขั้นตัดวิญญาณของสำนักข้า ผู้คนจะไม่ให้ความสนใจมากนักหากข้าจะเริ่มค้นหาเจ้า”
ดวงตาหวังหลินสว่างวาบขึ้น การที่บรรพชนผู้นี้กระทำการอย่างระมัดระวัง เป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์ไม่ถึง
ตุ้นเทียนมองหวังหลินด้วยสายตาชื่นชม “สหายน้อย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมถึงมีแคว้นเซียนระดับห้าน้อยกว่าสิบแห่งบนดาวเคราะห์แห่งนี้แม้ว่าแคว้นซูซาคุจะควบคุมมานานแล้ว?”
เขาไม่ได้ปล่อยให้หวังหลินตอบ ทว่าเผยใบหน้าไร้อำนาจและพลางเอ่ย “เมื่อแคว้นซูซาคุมาถึงดาวเคราะห์แห่งนี้ มีสำนักหลักข้างในอยู่หกสำนัก จากนั้นศิษย์ของทั้งหกสำนักกระจายตัวออกและก่อเกิดเป็นแคว้นเซียนอันหลากหลายแห่งบนดาวเคราะห์ ในเวลาเดียวกันศิษย์หลักของทั้งหกสำนักนี้ได้อนุญาตให้สร้างแคว้นระดับห้าขึ้น”
“นี่คือกลุ่มแรกของแคว้นเซียนระดับห้า สำนักหลอมวิญญาณของข้าคือหนึ่งในนั้น!”
ดวงตาหวังหลินยังคงสงบนิ่ง ไม่มีอาการตื่นตะลึงหรือตกใจอะไร
ตุ้นเทียนเงยศีรษะขึ้นมองท้องฟ้าพลางเอ่ย “เวลาค่อยๆผ่านไป เมื่อไหร่ที่แคว้นเซียนระดับห้ากำลังจะบรรลุถึงจุดที่จะกลายเป็นแคว้นระดับหก พวกเขาจะตบตีกลับไปสู่สภาวะดั้งเดิมในคืนเดียว แคว้นซูซาคุไม่ยอมให้เกิดแคว้นระดับหกแห่งอื่นในดาวเคราะห์นี้”
“สำนักหลอมวิญญาณของข้ามีโอกาสสามครั้งในการบรรลุไปสู่ระดับหกเมื่อหลายปีที่ผ่านมา แต่เราถูกถอยกลับมาทุกครั้ง ตอนนี้เราได้สูญเสียแคว้นของตนเองและมีตัวตนเป็นเพียงแค่สำนักหนึ่งเท่านั้น”
หวังหลินครุ่นคิดเงียบๆ
“การเป็นแคว้นเซียนระดับหกถือว่าเป็นความฝันของบรรพชนรุ่นแรกและเป็นความฝันของสำนักหลอมวิญญาณทุกรุ่น ก่อนที่จะมีเซียนบนดาวเคราะห์ซูซาคุ แคว้นซูซาคุเป็นเพียงแคว้นเซียนระดับห้าบนดาวเคราะห์สี่นักบุญเท่านั้น หกสำนักทั้งหมดต่างร่วมมือกันอย่างนัก ผ่านการดิ้นรนกันขมขื่น เราบรรลุระดับหกและเป็นอิสระจากดาวเคราะห์สี่นักบุญ จากนั้นเราได้รับดาวเคราะห์ซูซาคุมาจากสมาพันธ์เซียน”
“ตอนนั้นสำนักหลอมวิญญาณของข้ามีบรรพชนขั้นเทวะอยู่สามคน อีกห้าสำนักทั้งหมดก็มีหลายคนเช่นกัน แคว้นซูซาคุนั้นแข็งแกร่งแต่เมื่อเรามาถึงที่นี่พวกเราพบว่าไม่ใช่ที่ที่ดี มีชนเผ่าอื่นอยู่ที่นี่ซึ่งใช้พลังของรอยสักและพวกเขาก็แข็งแกร่งเช่นกัน”
“การต่อสู้นองเลือดนั้นเมื่อหลายปีก่อนมากแล้ว ธงวิญญาณหนึ่งล้านดวงได้เสร็จสมบูรณ์ระหว่างการประลองนี้”
“แม้ว่าในท้ายที่สุดเราชนะมาได้ ดาวเคราะห์ซูซาคุได้รับความเสียหายและแคว้นซูซาคุสูญเสียเซียนขั้นเทวะไปหลายคน”
“เรื่องนี้เป็นเหตุผลว่าทำไมซูซาคุรุ่นแรกจึงได้สร้างภูเขาซูซาคุให้กลายเป็นจุดศูนย์กลางการควบคุมดาวเคราะห์ซูซาคุเมื่อสำนักทั้งหกแห่งแบ่งออกเป็นแคว้นเซียนระดับห้า”
“หลังจากนั้นได้เป็นฝันร้ายของแคว้นเซียนระดับห้าทั้งหมด แคว้นทั้งหมดทำตามคำสั่งซูซาคุคือการไม่อนุญาตให้แคว้นระดับห้าแห่งใดบรรลุระดับหก ตอนนี้มีเพียงแค่แคว้นซูซาคุเท่านั้นที่มีเซียนขั้นเทวะสี่คนและพวกเขาอ่อนแอมาก”
“ซูซาคุกล่าวว่าแคว้นเซียนระดับห้าจะเอาคืนและกลายเป็นผู้นำ เขากลัวว่าดาวเคราะห์จะไม่ปลอดภัย”
หวังหลินครุ่นคิด หลังจากนั้นมองตุ้นเทียนและเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโส ทุกสิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นเกี่ยวข้องกับข้าหรือ? ผู้น้อยเป็นแค่เซียนขั้นตัดวิญญาณ”
ดวงตาตู้เทียนแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขามองหวังหลินและเอ่ยทีละคำ “มันเกี่ยวข้องกับเจ้า!”
“โอ้ จริงหรือ?” หวังหลินเงยศีรษะไปหาตุ้นเทียน
“เจ้าเป็นหนึ่งในสี่ผู้ท้าชิงที่หยุนเชว่จื่อเลือกให้กลายเป็นซูซาคุคนถัดไป!”
“หยุนเชว่จื่อ?” หวังหลินขมวดคิ้ว
ตุ้นเทียนโบกแขนและไม้แกะสลักปรากฎในฝ่ามือเขา ไม้แกะสลักเป็นรูปร่างชายหน้าตาหล่อเหลามาก ดวงตาเขาดูราวกับมีชีวิตชีวา
“…เขานั่นเอง!” หวังหลินตื่นตะลึงและใบหน้าประหลาดใจ มันเป็นชายชราที่ยื่นหมวกฟางให้เขา ระดับฝึกฝนของชายชราแข็งแกร่งทรงพลังอย่างมากและเมื่อตอนนั้นหวังหลินสงสัยแต่ตอนนี้กลับได้รับคำตอบแล้ว
“เขาคือหยุนเชว่จื่อ ศิษย์น้องของซูซาคุคนปัจจุบัน…” ตุ้นเทียนมองไม้แกะสลักและเอ่ยขึ้น “ไม้แกะสลักนี้ถูกเจ้าสร้างขึ้นมา มันดูเหมือนเขาจริงๆ…”
“ท่านให้ของขวัญทั้งสามกับข้าเพราะเขา…”
“นั่นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง…” ตุ้นเทียนเงยศีรษะ ดวงตาเขาเปล่งประกายไปด้วยแสงอันลึกลับ