394. แปลงวิญญาณที่อ่อนแอที่สุดและหวังหลินตัวจริง
หลี่หยวนเฟิงสูดหายใจลึก “เซิ่งหนิว อย่าลากคนอื่นเข้ามาในการต่อสู้ของเรา พวกเจ้าทั้งหมดจงหนีไปให้ห่างที่นี่ห้าพันลี้ จะไม่มีใครอนุญาตให้เข้ามาใกล้ได้”
เหล่าเซียนขั้นตัดวิญญาณของเฉว่ยี่ทั้งหมดถอยร่น ผู้ที่พึ่งมาถึงพลันเสียหน้าแต่ต้องหนีกลับไปเช่นนี้ ความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทำให้ใครต่อใครรู้สึกเจ็บปวดใจและหวาดกลัวหวังหลินอยู่ลึกๆ
เพียงแค่พลังอำนาจของคำพูดหนึ่งคำนั้นก็เพียงพอจะประมือกับเซียนขั้นแปลงวิญญาณแล้ว
หวังหลินก้าวไปข้างหน้าและกระโจนเข้าหาหลี่หยวนเฟิงพร้อมกับหนึ่งกำปั้น กำปั้นทั้งยังไม่ไปถึงแต่กลับเกิดคลื่นเสียงกระแทกดังให้ได้ยิน
“หลี่หยวนเฟิง มาชำระเรื่องของเราเมื่อสองปีก่อนกันเถอะ!” หวังหลินตะโกนก้อง เขาร่อนลงมาเบื้องหน้าหลี่หยวนเฟิงพร้อมกับกำปั้นของตัวเอง
หลี่หยวนเฟิงมีสีหน้ามืดมนพร้อมกับถอยกลับรวดเร็ว ฝ่ามือขวาดึงกลองสีดำในกระเป๋าออกมา ในไม่นานนักมันจึงเริ่มเกิดเสียงตีกลองดังขึ้น
เสียงนี้ประหลาดนักมันไม่เหมือนกับเสียงตีกลองแต่เหมือนกับเสียงหัวใจเต้นระรัวแทน
ขณะที่เสียงดังกึกก้อง หวังหลินพลันรู้สึกหัวใจเต้นรัวจากเสียงนี้ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ใบหน้าจะสงบนิ่งแต่กำปั้นกลับหยุดชะงักลง
สีหน้าหลี่หยวนเฟิงเปลี่ยนไป เสียงตีกลองยิ่งดังขึ้นและเร็วขึ้น
หวังหลินคำราม พลังอำนาจลึกลับที่ส่งผลกระทบต่อการเต้นหัวใจพลันกระจายทันทีและกำปั้นของเขาชกลงบนกลองเล็กนั้น
ปัง!
หลี่หยวนเฟิงถอยร่นมากขึ้น กลองเล็กสลายกลายเป็นฝุ่นผงและหายวับไป
หวังหลินสีหน้าเยือกเย็นพร้อมกับเดินเข้าใกล้ขึ้น
ยิ่งเข้ามาใกล้ หวังหลินพลางเอ่ย “หลี่หยวนเฟิง หรือพลังของเซียนขั้นแปลงวิญญาณจะมีแค่นี้?”
หลี่หยวนเฟิงมองหวังหลินพร้อมกับถอยกลับและคำรามไปด้วย สองมือสร้างผนึกและกดลงไปบนหน้าอก ลำแสงสีทองพ่นออกมาทันที
ลำแสงสีทองเปลี่ยนไปเป็นยักษ์น้ำแข็งสูงหนึ่งพันฟุตในทันทีและจากนั้นหลี่หยวนเฟิงหายตัวเข้าไปในยักษ์น้ำแข็ง
ยักษ์น้ำแข็งส่งเสียงคำรามกระจายไปทุกแห่งหนอย่างรวดเร็ว
สายตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ยักษ์น้ำแข็งตัวนี้ดูแทบจะคล้ายคลึงกับตัวเดียวที่ผีเสื้อสีชาดเคยใช้แต่ว่าตัวเตี้ยกว่า
มันก้าวไปเบื้องหน้าพร้อมกับคำรามและพุ่งมาหาหวังหลิน
ดวงตาหวังหลินเผยแสงลี้ลับ เขาหัวเราะและพุ่งเข้าหามัน
ปัง! ปัง! ปัง!
เกิดการปะทะรุนแรงระหว่างหมัดของหวังหลินและยักษ์โบราณ พื้นดินแตกระแหงขณะที่การต่อสู้ของทั้งคู่ดำเนินต่อไปและรอยร้าวในอากาศเพิ่มขึ้นจนกระทั่งมันดูราวกับกำลังฟ้าถล่มดินทลาย
สายตาหวังหลินเยือกเย็นขึ้นในทุกๆหมัดที่ส่งออกไป เทพโบราณสามดาวได้ครอบครองความแข็งแกร่งเกินจินตนาการดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ แต่ละหมัดทำให้เขารู้สึกคันยิบๆเท่านั้น
ทุกกำปั้นทำให้เกิดรอยแตกร้าวเล็กๆปรากฎบนยักษ์น้ำแข็งและหลังจากนั้นมันร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวและก้าวถอยไปหนึ่งก้าว
“หลี่หยวนเฟิง วันนี้เจ้าจะต้องตาย!” หวังหลินโยนหมัดออกไป
ปัง!
หลี่หยวนเฟิงถอยร่นมากกว่าเดิม รอยร้าวเกิดขึ้นอีกหลายจุดบนยักษ์น้ำแข็ง
“ทำลาย!” หวังหลินคำรามและจากนั้นพุ่งออกไปทุบลงบนหน้าอกยักษ์น้ำแข็งทันที
เกิดรอยแตกร้าวมากกว่าเดิมบนเจ้ายักษ์น้ำแข็ง เศษน้ำแข็งกระเด็นออกจนทั้งร่างของมันพังทลาย หลี่หยวนเฟิงกระอักโลหิตและลอยละล่องออกมา ดวงตาเขาแดงฉานพลันร้องตะโกน “เซิ่งหนิว หากไม่ใช่ว่าอาการบาดเจ็บของข้ายังไม่ได้ฟื้นฟู ข้าจะปล่อยให้เจ้าฉีกหน้าเช่นนี้ได้อย่างไร? ช่างเถอะ ข้าจะเสี่ยงให้ระดับฝึกฝนของข้าตกลงไปเพื่อที่จะสังหารเจ้าในวันนี้เอง!”
นอกจากเขตแดนของเขา เซียนขั้นแปลงวิญญาณยังสามารถใช้พลังปราณสวรรค์ได้ด้วย
สายตาหลี่หยวนเฟิงมืดมน ฝ่ามือสร้างผนึกและพลังลึกลับล้อมรอบตัวเขาขณะเดียวกันใบชาหลายใบเกิดขึ้นรอบๆ
ใบชาเหล่านี้กระจายกลิ่นหอมชั้นยอดออกมาอย่างรุนแรง
“เขตแดนกำลังสร้างรูปธรรม…” สายตาหวังหลินสว่างวาบ เมื่อตอนที่เขาถูกเขตแดนแห่งชาของหลี่หยวนเฟิงโจมตีคราวก่อน เขามีความคิดหนึ่ง เหล่าเซียนขั้นแปลวิญญาณควรจะสามารถทำให้เขตแดนของตัวเองโจมตีแบบรูปธรรมได้มากกว่านามธรรม
ขณะนี้เองด้วยการโจมตีเขตแดนของหลี่หยวนเฟิง หวังหลินจึงได้คำตอบของคำถามนี้
ในความเป็นจริง นอกจากการแก้แค้นแล้ว การต่อสู้กับหลี่หยวนเฟิงยังทำให้หวังหลินเข้าใกล้ความพร้อมต่อขั้นแปลงวิญญาณด้วย
หลังจากบรรลุระดับฝึกฝนในปัจจุบัน การรู้แจ้งกฎแห่งสวรรค์เป็นทางเดียวในการทะลวงผ่านแต่ทว่าการต่อสู้กับเซียนขั้นแปลงวิญญาณเป็นอีกหนทางหนึ่งในการรู้แจ้งเขตแดนของตัวเองด้วย
มีอีกหนึ่งเหตุผลนั่นก็คือเสาะหาแขนที่เสียหายซึ่งมันเรียกตัวเองว่าซือถูหนาน
เมื่อจ้องใบชารอบร่างหลี่หยวนเฟิง หวังหลินสูดหายใจลึกและวิญญาณดั้งเดิมกระจายจากร่างกายเพื่อติดต่อกับฟ้าดิน มิติแห่งนี้ถูกหลี่หยวนเฟิงผนึกไว้แต่รอยแยกเปิดขึ้นกลางอากาศราวกับมีมือล่องหนหนึ่งคู่ฉีกท้องฟ้าให้เปิดออกและจากนั้นควันสีเทาออกมาจากรอยแยก
ควันสีเทาออกมามากขึ้นและมากขึ้นจนรวมกันเป็นม้วนคัมภีร์ยักษ์ที่ปกคลุมท้องฟ้าเกือบทั้งหมดทันที
ม้วนคัมภีร์แห่งชีวิตและความตาย!
“ตอนนั้นร่างหลักและร่างอวตารได้หลอมรวมกันจึงทำให้เขตแดนของข้าเปลี่ยนไปด้วย…” หวังหลินคิดถึงรูปภาพที่ปรากฎเบื้องหลังร่างหลักตอนที่เขาต่อสู้กับผู้คุมกฏแห่งสวรรค์
หัวใจเต้นผิดจังหวะ จากนั้นดวงดาวทั้งสามปรากฎขึ้นบนหน้าผากและเริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักร่างยักษ์ตนหนึ่งค่อยๆปรากฎเบื้องหลังร่างหวังหลิน
ศีรษะของร่างยักษ์ตนนี้แทงทะลุขึ้นไปบนฟ้าและเท้าของมันอยู่เหนือพื้นดิน ขณะที่ร่างของมันปรากฎ มันยื่นมือออกมาและคว้าม้วนคัมภีร์เอาไว้
เหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ทำให้หลี่หยวนเฟิงจ้องท้องฟ้าด้วยความตื่นตะลึง เขาไม่อาจสรรหาคำพูดออกมาได้เป็นเวลานาน แม้จะรู้ว่าเขตแดนของเซิ่งหนิวคือชีวิตและความตาย ณ ตอนนี้ที่เขาเห็นร่างตรงหน้า จิตใจจึงเริ่มสั่นเทา
“ขะ…เขตแดนนี่มันอะไร!?!”
หวังหลินสูดหายใจลึก เขาไม่คิดว่าเขตแดนของร่างอวตารและภาพร่างเทพโบราณจะเข้ากันได้เช่นนี้ หวังหลินชี้ไปที่หลี่หยวนเฟิง
ร่างยักษ์สะบัดม้วนคัมภีร์ทำให้ควันสีเทาปรากฎออกมาจำนวนมาก ควันได้เปลี่ยนไปเป็นร่างมายาที่คล้ายกับผู้คุมกฏแห่งสวรรค์ทว่ามันสร้างขึ้นจากควันสีเทาล้วนทั้งหมด ร่างพวกนั้นพุ่งเข้าหาหลี่หยวนเฟิง
สัมผัสอันตรายปรากฎในจิตใจราวกับตอนที่ถูกสายฟ้าของซุนไท่ไล่ล่า เขาตะโกนขึ้นโดยไม่ลังเล “เขตแดนแห่งชา!”
ขณะนี้เองใบชารอบร่างเขาพลันขยายขนาดและเปลี่ยนไปเป็นต้นชา กลิ่นหอมยิ่งรุนแรงขึ้นมากกว่าเดิม
ร่างมายาเข้ามาถึงอย่างรวดเร็วและปะทะกับต้นชาเหล่านั้น ร่างยักษ์หายไปแต่ต้นชาก็หายวับไปด้วย
การปะทะครั้งนี้เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที ต้นชาทั้งหมดหายไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยดำรงอยู่ที่นี่มาก่อน ทว่ารัศมีเขตแดนที่ปกคลุมพื้นที่ต่างก็หายไปด้วย
ในเวลาเดียวกันนั้นหวังหลินรู้สึกว่าวิญญาณดั้งเดิมของเขาอ่อนแอลงราวกับมีพลังบางชนิดดึงออกไปจากเขา ม้วนคัมภีร์แห่งชีวิตและความตายหายวับไปและร่างยักษ์ค่อยๆแตกกระจาย
ใบหน้าหลี่หยวนเฟิงซีดเซี้ยว ร่างกายสั่นสะท้านพร้อมกับกระอักโลหิตคำโต
“เจ้าไม่ได้อยู่ที่ขั้นตัดวิญญาณระดับปลาย…เขตแดนของเจ้าบรรลุขั้นแปลงวิญญาณแล้ว…” ใบหน้าหลี่หยวนเฟิงเผยความเจ็บปวดทว่าสายตายังเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
“พลังปราณสวรรค์!” หลี่หยวนเฟิงตัดสินใจเมินเฉยความเจ็บปวดของตัวเองและใช้พลังปราณสวรรค์ หินหยกสวรรค์ชิ้นเล็กปรากฎในฝ่ามือและจากนั้นเองพลังปราณสวรรค์ในร่างจึงเริ่มเคลื่อนไหว
สามารถดูดซับและใช้พลังปราณสวรรค์ได้ นี่คือมาตรฐานของเซียนขั้นแปลงวิญญาณ
ขณะนี้หลี่หยวนเฟิงใช้พลังปราณสวรรค์ทั้งหมดในร่างกายทำให้แรงกดดันทรงพลังปรากฎออกมาจากเขา
สีหน้าหวังหลินยังคงเดิม เขาตบกระเป๋าและธงวิญญาณปรากฎ เหล่าดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนลอยออกมาเพียงแค่สะบัดธงหนึ่งครั้ง พวกมันสร้างเป็นควันสีดำรอบๆตัวหวังหลิน
ขณะเดียวกันธงกฎเกณฑ์ก็ปรากฎด้วยเช่นกัน กฎเกณฑ์หลายร้อยชนิดลอยออกมา หากมองดูไกลๆแล้วหวังหลินปกคลุมไปด้วยวังวนแห่งควันดำราวกับเป็นพายุ
หลี่หยวนเฟิงจ้องหวังหลินและยิ้มกว้าง ฝ่ามือสร้างผนึกและบอลน้ำแข็งนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นมา มันเป็นวิชาธรรมดาทั่วไปในเฉว่ยี่ซึ่งเกือบทุกคนรู้จักมัน
แต่บอลน้ำแข็งเหล่านี้บรรจุพลังอำนาจที่สามารถทำลายฟ้าดินได้
“เซิ่งหนิว ยอมรับความตายซะ!” หลี่หยวนเฟิงตะโกน เขาผลักฝ่ามือไปเบื้องหน้า บอลน้ำแข็งทั้งหมดสั่นสะท้านและพุ่งไปหาหวังหลิน
เหล่าดวงวิญญาณและกฎเกณฑ์ไม่สามารถทำให้บอลน้ำแข็งชะลอตัวลงได้เลย ขณะที่พวกมันสัมผัสเข้ากับบอลน้ำแข็ง พวกมันสลายหายไปในหมอกควัน
ดวงตาหวังหลินสว่างวาบ เขาสามารถสัมผัสพลังปราณสวรรค์ที่อยู่ในบอลน้ำแข็งแต่ละก้อนได้ซึ่งมันไม่ได้มีมากมายนักเลย
“มาให้ข้าดูว่าบอลน้ำแข็งที่บรรจุพลังปราณสวรรค์เหล่านี้จะแข็งแกร่งเช่นไร!” เขาพุ่งออกไปจากควันสีดำและชกเข้าใส่บอลน้ำแข็ง
ตูม ตูมมม ตูมมมมม!
เสียงพื้นดินแตกระแหงดังขึ้นไปทั้งเฉว่ยี่และกระจายออกไปยังแคว้นข้างเคียง พื้นดินทั้งเฉว่ยี่เริ่มแตกและหิมะหนาเริ่มพังทลาย
ร่างหวังหลินถอยร่นอย่างรวดเร็ว กำปั้นขวาสั่นเบาๆ ชั้นน้ำแข็งปรากฎบนฝ่ามือแต่มันหายไปในทันที
“หากข้าสามารถบรรลุขั้นแปลงวิญญาณและควบคุมพลังปราณสวรรค์ได้ ธงวิญญาณและธงกฎเกณฑ์จะแข้งแกร่งขึ้นอีกหลายต่อหลายเท่าเมื่อมีพลังปราณสวรรค์รวมเข้าไปด้วย”
“รวมถึงกระบี่สวรรค์ หากพลังปราณสวรรค์รวมเข้าไปมันจะทรงพลังขึ้นอีกหลายเท่ากว่าครั้งก่อน!” หวังหลินไม่อาจรอให้บรรลุขั้นแปลงวิญญาณได้เลยในเวลานี้ ดวงตาส่องประกายสว่างเจิดจ้า
“เซิ่งหนิว ตายไปซะ!” สายตาหลี่หยวนเฟิงแดงเถือก เส้นโลหิตโป่งพองและใบหน้าดุร้าย แต่ทว่าร่างกายเขายังคงสั่นเทา นี่คือสัญลักษณ์ที่บอกว่าเขาใช้พลังปราณสวรรค์เกิดขีดจำกัด
นอกจากนั้นเขาไม่ได้บรรลุขั้นแปลงวิญญาณโดยปกติ เขาขึ้นมาด้วยกำลัง พลังปราณสวรรค์ที่เขาสามารถใช้ได้จึงน้อยมาก