4. ไร้ปราณี
ทางเดินหินไม่สม่ำเสมอกัน มันทั้งแคบและอันตราย คนที่ซุ่มซ่ามสามารถตกลงมาได้อย่างง่ายๆ
ราวครึ่งวันผ่านไปหวังหลินเริ่มรู้สึกว่าขาของเขาหนักเหมือนตะกั่วและเหงื่อไคลท่วมตัว เริ่มหายใจไม่ทันและเดินลำบากแต่คงพยายามปีนขึ้นเขา บันไดหินดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ในใจเขาเริ่มรู้สึกถึงความสิ้นหวังที่ก่อตัวขึ้นมา
เบื้องหน้าของหวังหลินมีเด็กหลายสิบคน ค่อยๆคลานขึ้นและเหนื่อยหอบแต่ทว่าไม่มีใครยอมแพ้ หวังหลินกัดฟันเขารู้ว่ามันอาจจะเป็นโอกาสสุดท้าย หวังหลินต้องแบกความหวังของพ่อแม่ขึ้นไปด้วย
ทันใดนั้นเด็กข้างหน้าเขาสะดุดหินตกบันไดลงไป ขณะกำลังตกเด็กคนนั้นตะโกนร้องขึ้น “ยอมแพ้แล้ว ช่วยด้วยย!” ทุกคนต่างหันไปมองทันทีและพลันเห็นแสงสีดำ ซึ่งเป็นศิษย์ของโรงเรียนเหิงยั่วพุ่งเข้ามารับเขาลงไปทันที
หวังหลินหน้าซีดแต่ว่ายังคงพยายามปีนต่อไป ตอนนี้เขาไม่เห็นใครอยู่ข้างหน้าแล้ว หวังหลินไม่รู้ว่าใครสอบตกไปแล้วหรือว่าใครทำสำเร็จแต่ว่าเขาจะไม่ยอมแพ้ถึงแม้ว่ามือและเท้าของจะเต็มไปด้วยบาดแผลเขาก็คลานขึ้นไป
“ไอ้เด็กพวกนี้ความตั้งใจไม่เบา แต่เมื่อเจอเส้นทางแสนหฤโหดนี่ก็ไม่มีความหมายอะไร เปล่าประโยชน์จริงๆ”
ชายวัยกลางคนได้เดินผ่านเด็กๆที่กำลังปีนเขาอย่างยากลำบาก เขาพบกับหวังหลินและหยุดลง เด็กอายุราวสิบหกอยู่ในสภาพน่าสังเวช เสื้อของหวังหลินนั่นเต็มไปด้วยเลือด ทั้งขาและแขนต่างพังยับเยินแต่ว่ายังคงปีนต่อไปอย่างช้าๆชายวัยกลางคนเอ่ยปากถามว่า
“เฮ้ ไอ้หนูเจ้าชื่ออะไร”
หวังหลินรู้สึกสติค่อยๆเลือนหายไปเขามีเพียงความคิดเดียวคือต้องไปให้ถึงยอดถึงแม้ว่าจะตายก็ตาม เขาไม่แม้แต่ได้ยินคำถามของชายวัยกลางคนเสียด้วยซ้ำ
ชายวัยกลางคนเห็นดังนั้นจึงเอามือวางบนหัวหวังหลิน “ความพยายามเป็นเลิศ แต่น่าเสียดายพลังวิญญาณไม่พอ น่าสงสารน่าสงสารเสียจริง” เขามองไปที่หวังหลินและเดินลงบันไดไป
ค่ำคืนวันที่สองแล้ว แต่หวังหลินยังคงปีนบันไดต่อไปและทิ้งรอยเลือดไว้โดยไม่ตระหนักเลยว่าทั้งร่างกายและจิตใจของเขามาถึงขีดจำกัดแล้ว อีกไม่นานถ้ายังปีนต่อไปเขาอาจจะตายได้
พระอาทิตย์ขึ้นในวันที่สามบันไดหินเริ่มจางลงเรื่อยๆ ในเวลานั้นเองหวังหลินก็ได้ยินเสียงราวฟ้าผ่าที่ทำให้เขาสะดุ้งขึ้น
“หมดเวลามีแค่สามคนที่ผ่าน ส่วนที่เหลือ สอบตก!!!” หวังหลินยิ้มอย่างเศร้าๆและปล่อยร่างโชกเลือดตกลงมา
เหล่าศิษย์ของสำนักต่างพาคนที่เหลือมาบนยอดเขาและให้ยารักษา
“มีผู้รับการทดสอบ39คน ยอมแพ้ 25 คน ขึ้นถึงยอดได้สามคน อยู่จนจบอีก 11คน” ศิษย์สาวของสำนักกล่าวขึ้น เธอเคยได้รับการทดสอบนี้มาก่อนแต่เพราะว่าเธอได้ฝึกฝนร่างกายมาตั้งแต่เด็ก แต่ยังผ่านมาได้อย่างยากลำบาก เธอได้เป็นศิษย์ลับมาสิบปีก็ยังไม่ได้เป็นศิษย์ของสำนักจริงๆ
ชายวัยกลางคนในชุดดำพยักหน้ารับและมองไปทั้งสิบเอ็ดคนที่เหลือ เขาพูดเบาๆ “พาเด็กสามคนที่ผ่านไปทำงานที่เหมาะสมซะ แล้วก็สิบเอ็ดคนที่เหลือพอฟื้นแล้วเอาไปทดสอบที่หอวิญญาณดาบเพื่อทดสอบโชคชะตา ถ้าไม่ผ่านก็ส่งกลับบ้านไป” ชายวัยกลางคนชำเลืองมองเด็กๆแล้วเดินจากไป
สามวันหลังจากนั้นที่หอวิญญาณดาบ เด็กทั้งสิบเอ็ดคนรวมหวังหลินยืนอยู่ด้วยใบหน้าซีดเซียว ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะหายดีแล้วแต่อาการเจ็บปวดทางใจยังไม่หาย การทดสอบนี้ไม่ได้ถูกดูแลโดยชายชุดดำคนเดิมแต่เป็นชายหนุ่มชุดขาวที่มีดวงตาเย็นชาและเมื่อเขามองพวกเด็กๆเหมือนกับมองไปที่สัตว์ตัวน้อย
“นี่คือการทดสอบสุดท้ายแล้ว คนที่สามารถเข้าห้องได้ถือว่าผ่าน” ชายหนุ่มกล่าวสั้นๆราวกับใกล้หมดความอดทน
หวังหลินเห็นอาคารธรรมดาทั่วไป ตรงกลางมีบานประตู ข้างในมีดาบเก่าแก่อยู่มากมายหลายชนิด เด็กหนุ่มคนแรกเดินเข้าไปในห้องแต่เพียงแค่ห้าก้าวเท่านั้นก็มีแรงปริศนาดันเขากลับมาหลายเมตร
“สอบตก! คนต่อไป” ชายชุดขาวพูดอย่างเย็นชา
หวังหลินอยู่ลำดับที่เจ็ด หกคนข้างหน้ากระเด็นกลับทันทีที่ก้าวไปห้าเมตร ไม่มีใครสามารถไปต่อได้ เขายิ้มและตั้งใจเผชิญกับความหวังสุดท้าย
เมื่อถึงตาของหวังหลิน เขาเดินไปห้าเมตรแต่ทว่ายังไม่พบอะไรขัดขวาง หัวใจของเขาพองโตขึ้นมาด้วยความหวัง เขาเดินไปอีกก้าวก็ยังไม่เผชิญหน้ากับอะไร
ชายหนุ่มชุดขาวเหมือนจะตกใจเล็กน้อย “เฮ้! อย่าลังเลสิเดินต่อไป ถ้าเข้าไปในห้องนั้นได้จะได้รับดาบวิญญาณประจำตัว ถึงจะตกการสอบสองอันแรกแต่ถ้าเข้าไปในห้องได้ก็จะได้เป็นศิษย์ที่แท้จริง(ซิวเซียน)เลยเชียวนะ”
เด็กสิบคนที่เหลือได้แต่มองไปที่หวังหลินอย่างอิจฉา หวังหลินเริ่มคิดถึงความกดดันจากความหวังของพ่อแม่
เขาเดินไปอีกหนึ่งเมตรเหลืออีกแค่สามเมตรจะถึงประตู จู่ๆหวังหลินเป็นกังวลขึ้นมา
เขาเดินไปอีกก้าวมีก้อนพลังพัดเขาลอยกลับมากว่าสิบเมตรทันที เด็กที่เหลือแสดงสายตาเย้ยหยันที่เห็นหวังหลินไม่สามารถเข้าไปถึงได้
หวังหลินยิ้มอย่างเศร้าๆบาดแผลในใจของเขาใหญ่เหลือเกิน ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวังของพ่อแม่เขาค่อยๆเลือนหายไปจากใจ และชายชุดขาวเลิกตื่นเต้นแสดงอาการสงบเช่นเดิม
“ไม่ผ่าน คนต่อไป”