406. การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจ
เริ่มต้นภาค 5 ผลึกแห่งดาวเซียน
หวังหลินเดินเข้ามาหามันอย่างช้าๆ เขาสังเกตได้ว่าตอนที่เจ้าขาวน้อยกลับมา มันได้นำผลไม้ถือกลับมาด้วย
“พยัคฆ์มารที่ดีอะไรเช่นนี้ เสียสละตัวเองเพื่อเจ้านาย!” หวังหลินมองเจ้าขาวอย่างสนใจ
แววตาของเจ้าขาวยังมีความหวาดกลัวแต่มันยืนเบื้องหน้าโจวลี่และร้องคำราม
โจวลี่ลูบขนเจ้าขาวน้อยและถามขึ้น “ท่านลุง ผลไม้สลายวิญญาณคือสิ่งใดกัน?”
“หลังเจ้ากินเข้าไป แม้ว่าหวานเอ๋อซึ่งอยู่ในร่างเจ้าจะไม่ตาย แต่นางจะอ่อนแออย่างมาก…”
โจวลี่ตกตะลึง นางก้มศีรษะลงมองเจ้าขาวและกระซิบกับมัน “เจ้าขาวน้อย งั้นเจ้าก็ไปหาผลไม้นี้มาให้ข้าสินะ” นางถอนหายใจและโยนผลไม้ไปด้านข้าง ผลไม้กลิ้งไม่กี่ครั้งก่อนจะตกลงเทือกเขาไป
โจวลี่เงยหน้าขึ้นมองหวังหลิน “ท่านลุงอย่าทำร้ายเจ้าขาวนะ?”
หวังหลินมองโจวลี่พลางพยักหน้าและเดินจากมา
โจวลี่กัดริมฝีปากเล็กน้อยและมองแผ่นหลังหวังหลิน ร่างที่มองเบื้องหน้านางดูราวกับคนไม่รู้จัก
โจวลี่ร้อง “ท่านลุงผ่อนคลายเถอะ โจวลี่รู้ว่าจะต้องทำอะไรเพื่อให้ท่านและพี่สาวได้มาเจอกันอีกครั้ง”
ร่างหวังหลินหยุดชะงัก เขาหยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะเดินต่อไป
เวลาอีกสองปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในวันนี้สายหมอกสีดำอันหนาแน่นปะทุขึ้นจากหลุมยักษ์ที่นำทางเข้าสู่สุสานอมตะ สายหมอกสีดำแทงทะลุขึ้นสู่ยอดฟ้า
เปลี่ยนไปเป็นต้นไม้แปลกประหลาดพร้อมกับใบขนาดใหญ่มาก รอยสักนับไม่ถ้วนอยู่บนต้นไม้ซึ่งปลดปล่อยรัศมีอันพิศวง
ขณะนี้เองลำแสงสีทองปรากฎในท้องฟ้า ภายในลำแสงสีทองคือภาพมายากระบี่เหินห้าเล่มเรืองแสงจางๆ
ขณะที่ลำแสงสีทองปรากฎ มันกลายเป็นตาข่ายและปกคลุมต้นไม้ในทันที ส่งเสียงดังหึ่งๆเพื่อกดต้นไม้เอาไว้
“สำนักของข้าซ่อนตัวมาหลายหมื่นปี แต่ในวันนี้ ไม่มีใครจะหยุดสำนักข้าให้กลับไปดาวฟู่เหวินได้!” น้ำเสียงชราดังขึ้นจากส่วนลึกภายในสุสานอมตะ และร่างชายแก่ชรามากเดินออกมาจากหลุม
บนร่างเขาไม่ได้มีรอยสักมากนักแต่หากมองเข้าไปใกล้ๆแล้วจะมีต้นไม้หนึ่งต้นกระพริบถี่อยู่บนหน้าผาก ยิ่งมองใกล้เข้าไปอีกจะเห็นว่าบนต้นไม้นั้นมีถึง 11 ใบ!
ไม่!
หากมองใกล้ๆอีกสักครั้ง มีอีกหนึ่งใบอยู่ใต้จำนวน 11 ใบเหล่านั้น แม้ว่ามันจะเปิดออกมาไม่สมบูรณ์แต่มันเปิดมาถึงถึงหนึ่งในสามส่วนแล้ว
ขณะที่ชายชราเดินออกมาจากหลุม กระบี่ทั้งห้าเล่มในท้องฟ้าต่างส่งเสียงหึ่งๆพร้อมกัน กระบี่สองเล่มออกมาจากตาข่ายทองและพุ่งเข้าหาชายชรา
ชายชราใบหน้าสงบนิ่งพร้อมกระซิบขึ้น “คนรุ่นแรกของแคว้นซูซาคุได้เสียสละตัวเองพร้อมกับเซียนขั้นเทวะระดับกลางถึงเก้าคนเพื่อสร้างกระบี่ห้าเล่มนี้มาผนึกสำนักละทิ้งอมตะของข้าเป็นเวลาหลายหมื่นปี วันนี้ข้าจะขอเสียสละตัวเองเพื่อทำสิ่งเดียวกันให้สำนักละทิ้งอมตะเป็นอิสระ จงดูดซับ!” เขาชี้มือขวาไปข้างหน้า รอยสักขนาดยักษ์รอยหนึ่งปรากฎเบื้องหน้า รอยสักนี้ปลดปล่อยกลิ่นอายดั้งเดิมและเริ่มกระจายออกทันที
กระบี่ทั้งสองเล่มเริ่มสั่นเทา พวกมันพยายามขจัดพลังของรอยสักและถอยกลับอย่างรวดเร็ว
“กลับมา!” ดวงตาชายชราพลันเยือกเย็นราวกับมองเห็นทุกอย่าง เขาโบกแขนขวาและเสียงำครามสั่นสะเทือนฟ้าดินดังมาจากท้องฟ้า รอยสักนับไม่ถ้วนปรากฎกลางอากาศหลังจากนั้น พวกมันประสานกันและกันสร้างเป็นรอยสักที่ดูราวกับสามารถแบ่งแยกสวรรค์ได้
กระบี่ทั้งสองเล่มหยุดดิ้นรนและพุ่งเข้าหาชายชราราวกับสายฟ้า
ปัง! ปัง!
กระบี่สองเล่มแทงเข้าหาหน้าอกชายชราพร้อมกับเสียงดังปังทั้งสองครั้งดังไปทั้งดาวเคราะห์ พวกมันพยายามหลบหนีแต่ไม่อาจทำได้
“ตอนนั้นตาเฒ่าคนนี้ขี้ขลาดตาขาวทำได้แต่เพียงมองเหล่าศิษย์ตายไปต่อหน้าต่อตา แม้ว่าข้าจะมีชีวิตแต่หัวใจข้าตายไปเมื่อตอนนั้นแล้ว!” ชายชราชี้ไปที่ตาข่ายทองคำในท้องฟ้า
กระบี่เหินลอยเข้ามาหาเขาอีกสองเล่มอย่างรวดเร็ว แม้ว่าพวกมันจะริ้นรนแต่กลับไร้ประโยชน์ พวกมันถูกชายควบคุมให้ทางเข้าใส่หน้าอกตัวเองเช่นกัน
“นี่มันก็หลายหมื่นปีและเดิมทีข้าควรจะตายไปแล้ว แต่สำนักของข้านับถือว่าเป็นบรรพชนผู้ก่อตั้ง พวกเขาดูแลข้าด้วยรอยสักของตนเองเพื่อยื้อให้ข้ารอดชีวิต ข้ารอดมาได้ก็เพราะสำนัก…เป็นบาปต่อสำนักจริงๆ…”
ชายชรามองกระบี่เหินเล่มสุดท้ายในตาข่ายสีทอง เขาสูดหายใจลึกและยื่นมือออกไป จากนั้นกระบี่เล่มสุดท้ายเริ่มดิ้นรน
แต่ดูเหมือนว่ากระบี่ทองไม่มีพลังอำนาจพอจะต่อต้าน มันพุ่งออกไปจากตาข่ายทองและทองเข้าใส่ชายชรา
“ชายชราผู้นี้คือกรรมของสำนักเซียนที่ถูกลืมซึ่งสมควรได้รับความตาย วันนี้ข้าได้ทะลวงผ่านขั้นสิบเอ็ดใบและใบที่สิบสองเริ่มเปิดออก เป็นระดับที่เหนือกว่าสิ่งที่เหล่าเซียนเทวะเรียกกัน ทว่าพรสวรรค์ของข้ามาถึงขีดจำกัดแล้ว ดังนั้นข้าไม่อาจดูดซับพลังได้เต็มที่เพื่อไปสู่ขั้นสุดท้ายที่แท้จริง ข้าเป็นความอัปยศต่อเหล่าบรรพชนและไม่คู่ควรจะให้คนในสำนักตายไปเพื่อให้ข้ารอดชีวิตอีกแล้ว…”
กระบี่เหินเล่มสุดท้ายพุ่งออกมาและแทงใส่ชายชราตรงระหว่างตาสองข้าง
ดวงตาชายชราค่อยๆหมองลง
“ชายชราคนนี้เป็นคนบาป แต่ความตายของข้าจะทำให้สำนักกลับคืนสู่แผ่นดิน ทำให้ข้าผนึกไว้ในต้นไม้เซียนอมตะที่ถูกลืม ด้วยการเสียสละวิญญาณของข้า สำนักข้าจะปรากฎขึ้นอีกครั้ง!” ขณะนั้นลำแสงในดวงตาชายชราได้มอดดับและฝ่ามือยื่นออกไปเพื่อดึงท้องฟ้า
เสียงดังสะท้อนไปทั้งดาวเคราะห์พร้อมกับตาข่ายสีทองถูกฉีกขาดครึ่งส่วน
ต้นไม้ยักษ์ที่ถูกตาข่ายทองห้ามเอาไว้พลันพุ่งออกมาทันทีและกลายเป็นเสมือนเสาต้นหนึ่งค้ำสวรรค์
ในเวลาเดียวกันรอยสักนับไม่ถ้วนรอบบริเวณได้กระจัดกระจายและหายไป
ร่างชายชราค่อยๆรวมเข้ากับต้นไม้ยักษ์และจางหายไป
ตอนนี้คนของสำนักเซียนที่ถูกลืมพลันออกมาจากหลุมทีละคน พวกเขาออกมามากขึ้นและมากขึ้น แต่ละคนโค้งคำนับต่อต้นไม้ด้วยความเคารพ
ในเหล่าคนของสำนักเซียนที่ถูกลืมมีสตรีผู้หนึ่งสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้า ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมสงบนิ่งเยือกเย็น
“ข้าหวังว่าท่านไม่ได้โกหกข้า…ข้าต้องการให้เฉียนเฟิงตายโดยไม่มีหลุมฝังศพ!”
ห้าสิบลี้ห่างออกไป ชายร่างกำยำสวมหมวกฟางมองไปที่ต้นไม้ยักษ์และพึมพำขึ้น “ข้าหวังว่าท่านจะไม่โกหกข้า ข้าต้องการให้สมาพันธ์สี่สำนักกลับคืนมา…”
“ฆ่า!!” เสียงคำรามอย่างดุร้ายดังออกมาจากสุสานอมตะ นี่ไม่ใช่เสียงคำรามจากคนเพียงคนเดียวแต่มาจากคนทุกคนของสำนัก เสียงคำรามเดินทางผ่านสรวงสวรรค์และดังก้องไปทั้งพื้นที่
เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากถ้ำของจูเซว่จื่อซึ่งกำลังบ่มเพาะที่ยอดภูเขาซูซาคุ เสียงคำรามจนทำให้ถ้ำระเบิด ทิ้งไว้แต่เพียงฝุ่นผงเบื้องหลัง
จูเซว่จื่อสวมผ้าคลุมยาวสีแดงปรากฎกลางอากาศ มองไปทางสุสานอมตะด้วยใบหน้าไม่ชอบใจอย่างมาก
“บัดซบ เศษเดนของสำนักละทิ้งอมตะ พวกเจ้ารนหาที่ตาย!!!” จูเซว่จื่อยื่นมือออกไปและก้อนเมฆทั้งหมดรวมตัวกันในฝ่ามือเขา ไม่นานนักป้ายสิทธิ์สีขาวที่สร้างขึ้นจากมวลเมฆปรากฎในอุ้งมือ
เขาปรบมันด้วยมืออีกข้างและถูกแบ่งออกเป็นสอง จากนั้นเป็นสี่และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“ในนามของซูซาคุรุ่นที่สิบสี่ แคว้นเซียนทั้งหมด สงครามครั้งที่สองกับสำนักละทิ้งอมตะได้เริ่มขึ้นบัดนี้!”
ป้ายก้อนเมฆหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นชายชราที่อยู่ในสำนักหยกสวรรค์แห่งแคว้นซูซาคุซึ่งปิดด่านฝึกตนเป็นเวลายาวนานพลันเดินออกมา
เขาสวมเสื้อคลุมสีดำและผอมบางมากทว่าดวงตาสว่างวาบมองไปทางสุสานอมตะ “หลายสิ่งกำลังเปลี่ยนไป!”
ชายชราคนนี้คือเซียนขั้นเทวะระดับต้นซึ่งทั้งสำนักหยกสวรรค์ต่างเคารพ นามว่า ฉูหยุนเฟย
สำนักวิญญาณปฐพีตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของซูซาคุ ถ้ำใต้ดินลึกลงไปใต้สำนักมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่
ชายชราผู้นี้ลืมตาขึ้นทันที สายตาเปล่งความรู้สึกโบราณกาลพร้อมกับถอนหายใจออกมา “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ข้าไม่อาจเชื่อว่าข้าจะติดอยู่ในนี้ อาห์!”
สำนักสุดท้ายในซูซาคุคือสำนักเส้นทางอมตะ ทว่าไม่มีความปั่นป่วนที่นี่ บรรพชนขั้นเทวะของสำนักเส้นทางอมตะนั้นลึกลับมาก มีน้อยคนนักที่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนหรือหน้าตาเป็นเช่นไร
แคว้นพิลู สำนักหลอมวิญญาณ
ตุ้นเทียนลืมตาขึ้นเยาะเย้ย ก่อนจะหลับลงไป
หายนะครั้งนี้บนดาวซูซาคุไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหวังหลิน เขาเพียงเพ่งสมาธิไปที่การเผชิญหน้าครั้งที่สองของผู้ส่งสาส์นแห่งสวรรค์ซึ่งลี่มู่หวานกำลังจะเกิดใหม่
เหลือเวลาอีกสองปีจนถึงตอนที่ลี่มู่หวานจะตื่นขึ้น
ในสองปีที่ผ่านมานี้โจวลี่ใช้เวลาส่วนใหญนิ่งเงียบ ราวกับมีม่านกำแพงขนาดใหญ่กั้นระหว่างนางกับหวังหลิน
หวังหลินรู้สึกได้ว่าวิญญาณของหลี่มู่หวานกำลังตื่นขึ้นในร่างกายนางอย่างช้าๆและชีวิตของโจวลี่ถูกบังคับให้ค่อยๆหายไป
เมื่อไหร่ที่ชีวิตของนางหายไปอย่างสมบูรณ์จะเป็นตอนที่ลี่มู่หวานกลืนกินวิญญาณของโจวลี่เสร็จสิ้น
ทว่าความเร็วการเติบโตทางวิญญาณของลี่มู่หวานได้ชะลอตัวลงมากขึ้นในปีที่ผ่านมาราวกับว่ามันไม่อยากกินวิญญาณของโจวลี่
หวังหลินรู้ว่าเป็นเพราะลี่มู่หวานฟื้นฟูจิตสำนึกของนางได้บางส่วนแล้ว นางจึงไม่อยากให้เด็กน้อยเสียสละตัวเองให้นางตื่นขึ้นมา
นี่คือทางเลือกของนางและไม่ใช่การตัดสินใจของหวังหลิน เขาใช้พลังปราณของตัวเองเพื่อหยุดนางเอาไว้ทำให้วิญญาณเซียนของนางเติบโตต่อไปภายในโจวลี่
“หวานเอ๋อ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากกลืนกินเด็กคนนี้ เชื่อข้า ข้าจะทำเองและไม่ให้นางเป็นอันตรายเลย เมื่อเจ้าตื่นขึ้นเราจะส่งนางกลับไปหาครอบครัว สิ่งที่ข้าต้องการคือวิญญาณเซียนของเจ้า ไม่ใช่ร่างเด็กคนนี้…”
นี่คือคำสัญญาของหวังหลินให้แก่ลี่มู่หวาน