Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 409

Cover Renegade Immortal 1

409. จิตใจแห่งเต๋า

“เจ้าขาวน้อย ท่านลุงอยู่ไหน?” โจวลี่กำลังนั่งอยู่บนหลังเจ้าขาวพร้อมกับผลไม้หนึ่งพวงในมือ

เจ้าขาวน้อยส่ายหัวใหญ่ๆของมันและส่งเสียงคำรามตอบกลับ

ตั้งแต่ที่โจวลี่ตื่นขึ้นมาเมื่อหนึ่งปีก่อน นางไม่ได้เห็นหวังหลินอีกเลย มีเพียงแต่เจ้าขาวน้อยที่อยู่เคียงข้างกับนาง

ตอนนี้เจ้าขาวน้อยกำลังพาโจวลี่เดินทางผ่านเทือกเขาแห่งหนึ่ง ขณะนั้นเองพื้นดินเริ่มสั่นเทา เจ้าขาวน้อยร้องคำรามต่ำขณะถอยกลับไปหลายสิบฟุต

พื้นดินสั่นสะเทือนรุนแรงมากขึ้นและจากนั้นสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายหนอนแต่มีขนาดใหญ่มากกว่าหลายเท่าพลันกระโจนออกมาจากพื้นดิน มันร้องคำรามและชี้หัวไปที่โจวลี่

ส่วนของสิ่งมีชีวิตตัวตนี้อยู่เหนือพื้นขึ้นไปมากกว่าหนึ่งร้อยฟุต ทั้งร่างของมันสีแดงและเป็นปล้องๆคล้ายต้นไผ่ มันดูน่ากลัวมาก

ไม่มีความหวาดกลัวบนใบหน้าโจวลี่ แต่มีร่องรอยความตื่นเต้นแทน นางโยนผลไม้ออกไป แตะศีรษะเจ้าขาวน้อยและพูดขึ้น “เจ้าขาวน้อย เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้ดีดี เมื่อไหร่ที่เราหาท่านลุงเจอจะไม่เกิดเรื่องนี้อีก”

เจ้าขาวน้อยกรอกตาและร้องคำรามไปที่หนอนยักษ์

หนอนยาวมากกว่าร้อยฟุตเคลื่อนไหวร่าง มันอ้าปากและพุ่งเข้าหาโจวลี่ ร่างกายของมันเคลื่อนไหวเร็วมากและพลันได้กลิ่นลมหายใจเหม็นคาว ในปากมีฟันแหลมคมนับไม่ถ้วนหากถูกเข้าไปในปากนั้นคงไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูก

ไม่มีความหวาดกลัวใดบนใบหน้าโจวลี่ นางยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นแทน ดวงตากลมโตไม่ได้มองหนอนยักษ์แต่เงยศีรษะขึ้นมองท้องฟ้าแทน

แม้กระทั่งเจ้าขาวน้อยยังไม่ล่าถอยเพียงสักก้าว สายตาแฝงความเยาะเย้ยในนั้น

ขณะที่เจ้าหนอนยักษ์พุ่งเข้ามา ร่างยักษ์ตัวหนึ่งปรากฎในท้องฟ้า ร่างนี้ส่งเสี่ยงหึ่งๆและเข้ามาถึงข้างโจวลี่ด้วยความเร็วเกินจินตนาการ

มันคือเจ้ายุงยักษ์ จงอยปากแหลมคมของมันแทงเข้าใส่หนอนอย่างรวดเร็ว เพียงตวัดครั้งเดียวทั้งร่างเจ้าหนอนถูกแยกออกจากใต้ดินและโยนขึ้นไปกลางอากาศ

เจ้ายุงเคลื่อนไหวอีกครั้งและในพริบตาปากแหลมของมันแทงเข้าใส่ศีรษะเจ้านอน โลหิตหนอนทั้งหมดถูกเจ้ายุงดูดจนแห้ง

มันโยนร่างหนอนไปด้านข้าง จากนั้นมองโจวลี่และเจ้าขาวน้อยก่อนจะบินออกไปไกล

โจวลี่ร้องตะโกนอย่างรวดเร็ว “ขาวน้อย ไล่ตามเร็ว ไล่ตาม!”

มันไม่ลังเลที่จะทำตามคำสั่งและเริ่มวิ่งทันที

หวังหลินส่งอสูรยุงออกมาเมื่อหนึ่งปีก่อนเพื่อให้ปกป้องโจวลี่

เขาไม่ต้องการเห็นโจวลี่แต่ก็ไม่อยากทิ้งนางไว้คนเดียวบนดวงจันทร์อันตรายแห่งนี้

ช่วงปีที่ผ่านมาเจ้าอสูรยุงช่วยชีวิตโจวลี่ไว้หลายครั้ง ครั้งแรกโจวลี่หวาดกลัวเจ้ายุงแต่ตอนนี้มันรู้สึกคุ้นเคยไปแล้ว เมื่อไหร่ที่นางเห็นมันก็เหมือนกับนางกำลังมองหวังหลิน

นางไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อนและนางยังไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับวิญญาณเซียนในร่างนางอีกด้วย ราวกับว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

หวังหลินลบล้างความทรงจำเหล่านั้นออกไปตอนที่เขาคืนวิญญาณเข้าสู่ร่างกายของนาง

โจวลี่เป็นเด็กไร้เดียงสา นางไม่ควรต้องมาเจอกับการตื่นของลี่มู่หวาน หวังหลินไม่ใช่คนที่จะกล่าวโทษคนอื่นด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาต้องการปล่อยให้นางมีชีวิตเต็มที่

ทว่าจิตใจหวังหลินยังคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อนดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการเผชิญหน้ากับโจวลี่ ความรู้สึกนี้ช่างซับซ้อนต่อเขามาก

โจวลี่รู้สึกแย่มากกับการไม่สามารถเห็นลุงได้ ดังนั้นนางจึงเริ่มต้นการเดินทางเพื่อค้นหาเขา ดวงจันทร์ขนาดเล็กมากต่อหวังหลินแต่กลับใหญ่มากสำหรับนาง

ในปีนี้นางและเจ้าขาวน้อยเดินทางมาแล้วมากกว่าครึ่งดวง แม้นางจะไม่เจอหวังหลินเลยสักครั้งแต่นางรู้สึกว่ากำลังเข้าใกล้ลุงมากขึ้น

น่าเสียดายที่เจ้าขาวน้อยช้าเกินกว่าจะเปรียบเทียบอสูรยุงได้ ดังนั้นร่างของอสูรยุงจึงหายวับออกไปไกล ทว่าโจวลี่รับรู้ว่าขณะที่นางพบเจออันตรายอีกครั้ง อสูรยุงตัวใหญ่นั่นจะมาอีก

“ฮึ่ม ปีกยุงตัวนั้นเร็วเกินไป เจ้าขาวน้อยแกมันช้าไปแล้ว” โจวลี่บุ้ยปากและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

เจ้าขาวน้อยร้องคำรามด้วยความข้อใจ มันคิดว่า ‘ก็ยุงนั่นบินอยู่บนฟ้า ถ้าหากมันวิ่งบนพื้น ข้าจะเร็วกว่าแน่นอน’

โจวลี่กำลังจะพูดต่อไปทว่าลมโชยเบาๆบนตัวนางส่งความอบอุ่นผ่านร่างกาย โจวลี่ตกตะลึงขณะมองไปรอบๆและกระซิบ “เจ้าขาวน้อยไม่คิดว่าเรื่องนี้ประหลาดหรือ? ทุกสามถึงห้าวันจะมีลมอุ่นๆแบบนี้เสมอ แต่ละครั้งที่มันตกบนตัวข้า ข้าจะรู้สึกถึงความอบอุ่นแล่นผ่านทั้งร่างกายและข้าจะไม่รู้สึกหิวราวกับไม่ต้องกินอะไรก็ได้”

เจ้าขาวน้อยส่ายหัวและส่งเสียงคำรามต่ำเป็นการตอบกลับ

การเดินทางของโจวลี่ดำเนินต่อไป สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือหวังหลินนั้นอยู่บนยอดภูเขาพร้อมกับถอนสัมผัสวิญญาณออกมา

ระหว่างปีนี้แม้ว่าเขาจะบ้าคลั่งไปก็ไม่ลืมเรื่องความปลอดภัยของโจวลี่ เขากระจายสัมผัสวิญญาณออกมาเพื่อตรวจสอบสภาพของโจวลี่และส่งพลังปราณเข้าไปในร่างนางเพื่อป้องกันไม่ให้นางหิว

หวังหลินเงยศีรษะขึ้นมองท้องฟ้า ดวงตาตอนนี้เปล่งประกายสดใส หวังหลินไม่เคยมีสายตาเช่นนี้มาก่อน มันเป็นสายตาที่สามารถแทงทะลุจิตใจและเห็นผ่านชีวิตและความตายได้

“เช่นนั้นเขตแดนแห่งชีวิตและความตายก็เป็นแบบนี้เอง…สิ่งใดในโลกนี้หากข้าต้องการควบคุมมัน ข้าก็สามารถทำได้” หวังหลินยื่นฝ่ามือขวาออกไปและก้อนเมฆทั้งหมดเบื้องหน้าเขารวบรวมเข้าหาอุ้งมือ ในไม่ช้าเกิดเป็นบอลเมฆเล็กๆก้อนหนึ่งปรากฎ

บอลก้อนเมฆเต็มไปด้วยสายฟ้า

สัมผัสแห่งพลังอำนาจอันมหึมาอยู่ภายในลูกบอล หวังหลินสูดหายใจลึก

แม้ว่าบอลก้อนเมฆนี้ไม่สามารถทำลายฟ้าดินได้ มันสามารถสังหารเซียนขั้นตัดวิญญาณคนไหนก็ได้ทุกคน หากหลี่หยวนขั้นแปลงวิญญาณเฟิงฟื้นคืนชีพขึ้นมา เขาก็สามารถสังหารได้ด้วยบอลลูกนี้เช่นกัน

“เขตแดนแห่งชีวิตและความตายได้บรรลุระดับใหม่ ระดับบ่มเพาะของข้าผ่านทะลวงขั้นตัดวิญญาณแล้ว อีกเพียงไม่กี่ก้าวข้าก็สามารถบรรรลุขั้นแปลงวิญญาณได้ ข้าเดินมาได้ครึ่งก้าวแล้ว…” หวังหลินโบกแขนขวาและบอลก้อนเมฆหายวับไป

“ข้าจำเป็นต้องเตรียมตัวในการบรรลุขั้นแปลงวิญญาณ!” ดวงตาหวังหลินสงบนิ่งเยือกเย็น

เซียนขั้นแปลงวิญญาณกล่าวได้ว่าเป็นอำนาจที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงซึ่งเป็นที่ต้องการในหลายต่อหลายดาวเคราะห์เซียน

บรรพชนเผ่ามารยักษ์เป็นแค่เซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับต้นแต่กลับสามารถควบคุมทั้งเผ่าและกลายเป็นผู้นำได้

หลี่หยวนเฟิงยกระดับขึ้นสู่ขั้นแปลงวิญญาณด้วยการบังคับขึ้นมาแต่กลับเป็นเสาหลักของเฉว่ยี่

ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเซียนขั้นแปลงวิญญาณมีคุณค่าแค่ไหน

นอกจากนั้นแล้วเหล่าอสูรแก่ขั้นเทวะต่างก็ปิดด่านฝึกตนตลอดเวลาและห่างชั้นกับพวกเขามากนัก ดังนั้นเซียนขั้นแปลงวิญญาณจึงกลายเป็นแกนนำของพลังอำนาจหลายที่หลายแห่ง

หากอธิบายตามบริบทของโลกยุทธภาพ พวกเขาคือปรมาจารย์ชั้นยอดที่ทุกคนเคารพยกย่อง

ในหมู่เหล่าเซียน ความสำคัญของคนเหล่านี้คือตัวขยายพลังอำนาจมากขึ้นหลายเท่า

ซึ่งเป็นเซียนขั้นแปลงวิญญาณเพียงคนเดียว

แม้กระทั่งเทียนหยุนจื่อก็ไม่เคยคาดคิดว่าเซียนตัวเล็กๆที่พึ่งเจอแล้วรู้สึกถูกชะตาด้วยคนนั้นจะขึ้นมาถึงชายขอบขั้นตัดวิญญาณและกำลังเตรียมตัวจะเข้าสู่ขั้นแปลงวิญญาณเพียงแค่สองร้อยปีหลังจากตอนนั้น

หากเทียนหยุนจื่อรู้เรื่องนี้ หวังหลินคงไม่ได้เป็นเพียงแค่ศิษย์หลักเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี เขาคงกลายเป็นศิษย์เอกพร้อมกับสิทธิ์พิเศษหลากหลายอย่าง

“ซือถู เมื่อข้าบรรลุขั้นแปลงวิญญาณ ข้าจะมีพลังพอที่จะปลุกท่านได้…” หวังหลินสูดหายใจลึกพร้อมกับชี้ไปที่คิ้วตนเอง หลังจากนั้นไม่นานร่างกายจึงเริ่มจางหายเข้าไปในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า

ภายในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า วิญญาณขนาดใหญ่ของซือถูหนานกำลังรอยเคว้งคว้างที่นี่ หวังหลินปรากฎตัวและจ้องอย่างเงียบเชียบ

หลังดูดซับแขนสองข้างนั้นเข้าไป วิญญาณของซือถูหนานไม่โปร่งใสอีก ตอนนี้เป็นรูปเป็นร่างมากกว่าเดิม วิญญาณของเขาปลดปล่อยแรงกดดันอันแข็งแกร่งออกมา แรงกดดันนี้แข็งแกร่งมากกว่าของบรรพชนตุ้นเทียนหลายเท่า

“ซือถู…” หวังหลินจ้องซือถูหนานอย่างเงียบเชียบเป็นเวลานานก่อนจะก้าวเท้าไปปรากฎตัวที่ส่วนทิศตะวันออกของลูกปัด

มีวิญญาณอีกหนึ่งดวงที่นี่

ทว่าดวงตาวิญญาณเซียนดวงนี้หลับสนิทราวกับนางกำลังหลับใหล นางถูกของเหลววิญญาณล้อมรอบซึ่งกำลังเข้าสู่วิญญาณของนางอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นพลังงานให้

“หวานเอ๋อ…” สายตาหวังหลินแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน

ของเหลววิญญาณที่ล้อมรอบหวานเอ๋อคือหยดน้ำค้างจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า หวังหลินรวบรวมน้ำค้างนี้จากหลายปีที่ผ่านมา เป้าหมายก็เพื่อช่วยฟื้นฟูวิญญาณของลี่มู่หวานและด้วยกาลเวลาที่นี่ทำให้วิญญาณของนางแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

“หวานเอ๋อ เจ้ารอข้ามาสามร้อยปี ข้ายังไม่ได้ชดใช้เจ้าคืนเลย ข้าจะปกป้องวิญญาณของเจ้าจนกว่าเจ้าจะตื่น จนกว่าความตายจะพรากข้าไป” หวังหลินมองวิญญาณลี่มู่หวานเป็นเวลานานมาก…

“หากทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทำไปสามารถแลกเปลี่ยนเป็นปาฏิหาริย์ได้ เช่นนั้นข้าจะรอหนึ่งปี สิบปี ร้อยปี พันปี…จนกว่าข้าจะตาย”

หวังหลินมองลี่มู่หวานพร้อมกับความทรงจำที่ผ่านมาแล่นในความคิด

ความทรงจำหลากหลายฉากเหตุการณ์ราวกับน้ำในอุ้งมือ ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเปิดอุ้งมือหรือกำมันไว้เบาๆ มันก็ยังหยดลงจนกว่าจะหายไปหมดสิ้น แต่ว่าความเย็นของน้ำนั้นเป็นสิ่งที่ข้าไม่มีวันลืม

หวังหลินเดินเข้าไปและบรรจงจุมพิศหน้าผากของนาง ความอบอุ่นของเขาค่อยๆส่งต่อเข้าหาหวานเอ๋อ

ร่างหวานเอ๋อสั่นเทา…

นางรู้สึกถึงริมฝีปากของหวังหลินและความอบอุ่นของเขา ความอบอุ่นนี้บรรจุความสุขที่ไม่อาจลบเลือนออกไปได้ เป็นเสียงเรียกหาอย่างเงียบเชียบและสัมผัสแห่งการปกป้องที่ไม่มีวันจางหาย

ความรักราวกับแม่น้ำสายหนึ่ง ฝั่งซ้ายคือเสียงหัวเราะสนุกสนานที่สามารถเพิ่มสีสานแห่งความโศกเศร้าไปหลายพันปี ฝั่งขวาเป็นความเงียบอันนิรันดร์ใต้แสงเทียน สิ่งที่ไหลระหว่างทั้งคู่คือกาลเวลาอันโดดเดี่ยวที่กำลังจางลงไป

หวังหลินหันกลับมาและออกไปจากลูกปัด แม้ว่าเขาจะออกมาแต่หัวใจของเขาอยู่ที่นั่นไปชั่วนิรันดร

บนยอดภูเขา กลางดึกใต้แสงดาว ร่างโดดเดี่ยวภายใต้สายฝนดูเหมือนจะแตกกระจายด้วยสายลม

ความเศร้าใจมักจะปลิวหายไปด้วยสายลมแต่ความอ้างว้างโดดเดี่ยวไม่มีครอบครัวหรือไม่มีเพื่อนเป็นดั่งดวงไฟที่สายลมไม่เคยทำให้มอดดับ

ร่างอันโดดเดี่ยวเงยโครงหน้าขึ้นเผชิญกับความมืดกลางท้องฟ้า เผชิญกับความสว่างไสวของดวงดาว สิ่งที่เขาเห็นคือร่างของสตรีคนหนึ่งซึ่งไม่เคยจางหายไปในใจเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version