Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 428

Cover Renegade Immortal 1

428. แดนเหนือ

แดนเหนือเป็นพื้นที่เหนือสุดของดาวเคราะห์ มันเคยเป็นที่ตั้งของแคว้นเฉว่ยี่

น้ำแข็งที่นี่ไม่เคยละลายตั้งแต่เหล่าเซียนเข้ามาตั้งรกราก สายลมหนาวเย็นพัดหวนตลอดทั้งวันและพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง มองไกลๆแล้วจะเห็นเพียงแต่สายหมอกสีฟ้าหม่นปกคลุมรอบบริเวณ ที่ไหนมีสายหมอกไปถึง ทุกสิ่งที่มีชีวิตจะสูญสิ้น

สายหมอกเย็นเรียกกันว่าสายหมอกจิ่วลี่ มันคือพลังลึกลับตามธรรมชาติที่ปรากฎขึ้นเฉฑาะในสถานที่ที่มีอากาศหนาวเย็นขั้นสูง

นอกจากทำลายทุกสิ่งทุกอย่างแล้วสายหมอกจิ่วลี่มีผลลัพธ์อีกอย่างหนึ่งก็คือการดูดสิ่งที่ไม่สามารถดูดได้และค่อยๆหล่อหลอมมัน

แดนเหนือมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก ตอนที่เฉว่ยี่อยู่ที่นี่พวกเขาสำรวจไปได้เพียงหนึ่งในสามเท่านั้นก่อนจะไม่สามารถไปต่อได้จึงหยุดที่การสร้างแคว้นตัวเองบนชายแดน

อย่างไรก็ตามเหล่าเซียนที่แข็งแกร่งบางคนกลับรู้ว่าใจกลางแดนเหนือเป็นพื้นที่แห่งหนึ่งของน้ำแข็งแดง

น้ำแข็งที่นั่นไม่ได้เย็นยะเยือกแต่กลับเป็นเปลวเพลิง

เปลวไฟที่คงอยู่ในน้ำแข็งได้สร้างพลังอำนาจที่ทำให้ผู้คนแปลกใจ ดังนั้นเหล่าเซียนบนดาวซูซาคุจึงตั้งชื่อพื้นที่แห่งนี้ว่าดินแดนเพลิงเหนือ

มีกฎเกณฑ์โบราณบางชนิดที่คงอยู่ในดินแดนนี้มานานมาก สายหมอกจิ่วลี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น รวมถึงกฎเกณฑ์เพลิงโลหิตด้วย มันไม่มีผลกระทบต่อสิ่งที่ไม่เผยโลหิตออกมา แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่โลหิตปะทะกับแสง โลหิตนั้นจะเดือดและตายภายในสิบวินาที

นอกจากนั้นยังมีน้ำแข็งที่สามารถดูดซับสัมผัสวิญญาณได้ด้วย น้ำแข็งนี้ทำให้สัมผัสวิญญาณอ่อนแอต่อเนื่องตอนที่เข้ามาปะทะกัน

ในตอนนี้ส่วนลึกของดินแดนเพลิงเหนือมีร่างเด็กหนุ่มผู้หนึ่งนอนอยู่ซึ่งปกคลุมไว้ด้วยสายหมอกจิ่วลี่

เด็กหนุ่มหน้าตาดีแต่มีใบหน้าดิ้นรน เขาอ้าปากพ่นควันควันสีดำเส้นนึงเพื่อผลักสายหมอกจิ่วลี่ออกไปอยู่เป็นพักๆ

ทว่าขณะที่สายหมอกจิ่วลี่ถูกผลักออกไป มันกลับเข้ามาและค่อยๆหล่อหล่อมเด็กหนุ่ม

เด็กหนุ่มคนนี้คือเด็กปิศาจที่หัวหน้าผู้อาวุโสซุนไท่แห่งสำนักซากศพได้ปลดปล่อยไว้เพื่อต่อสู้กับบรรพชนเผ่ามารยักษ์

เด็กปิศาจคนนี้ประหลาดนัก ก่อนนั้นร่างของบรรพชนเผ่ามารยักษ์ยังถูกเขาทำลายไป จากนั้นบรรชนเผ่ามารยักษ์ถูกบังคับให้หลบหนีด้วยวิญญาณดั้งเดิมและมาสิ้นสุดที่นี่เพื่อกักขังเด็กปิศาจเอาไว้

หากไม่ใช่ว่าซุนไท่ถูกส่งออกไปด้วยพลังของสายเลือดเผ่ามารยักษ์ เมื่อซุนไท่ควบคุมมัน เจ้าเด็กมารคนนี้คงไม่ถูกขังไว้ที่นี่

ต้นกำเนิดของเด็กปิศาจคนนี้นับว่าเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยม!

หากพูดถึงเรื่องต้นกำเนิด ก็ต้องกล่าวถึงเรื่องราวของสำนักซากศพ!

สำนักซากศพเป็นสำนักขนาดใหญ่มาก ไม่ใช่สิ่งที่สำนักใดบนดาวซูซาคุสามารถเปรียบเทียบได้ ความจริงแล้วสาขาของสำนักซากศพมีอยู่หลายดวงดาวมากมาย

สำนักซากศพเป็นองค์กรขนาดใหญ่มากที่มีรากฐานแตกต่างกันบนดาวเคราะห์เซียน พวกเขาเกี่ยวพันกับการแลกเปลี่ยนร่างกายและเก็บรวบรวมสิ่งของที่มีต้นกำเนิดลึกลับ

มีน้อยคนจะรู้ที่ตั้งของสาขาหลักในสำนักซากศพเพราะเป็นความลับอย่างสูง!

โครงสร้างของสำนักซากศพเป็นเสมือนกับหอคอย มีระดับขั้นแตกต่างกันมากมาย

ในสมาพันธ์เซียน สำนักซากศพเป็นหนึ่งในสำนักจำนวนน้อยที่เป็นสำนักทางการ เปรียบกับสำนักมากมายหลายแห่งบนดาวเคราะห์เซียนจำนวนมาก สำนักซากศพเป็นหนึ่งในสำนักจำนวนน้อยมากที่คงอยู่มาจนถึงยุคปัจจุบัน

เหล่าเซียนรุ่นเก่าแก่มากมายต่างรู้ว่าไม่ควรตอแยกับสำนักซากศพ กล่าวกันว่าคนที่อยู่เบื้องหลังสำนักซากศพมีความสัมพันธ์กับการล่มสลายของดินแดนสวรรค์

ทว่าเรื่องนี้เป็นเพียงแค่ข่าวลือ ไม่มีใครรู้ว่ามันจริงหรือหลอกลวง

เรื่องนั้นไม่สำคัญ แต่ไม่มีความจำเป็นต้องถามถึงความแข็งแกร่งที่สำนักซากศพ

ในสำนักซากศพทุกสาขามีจ้าวสำนักและหัวหน้าผู้อาวุโสตำแหน่งละหนึ่งคน จ้าวสำนักมีหน้าที่จัดการธุรกิจของสำนักขณะที่หัวหน้าผู้อาวุโสมีหน้าที่ในการตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่าง

ในสำนักซากศพมีหินหยกชิ้นหนึ่งที่บรรจุข้อมูลร่างกายรูปแบบที่แตกต่างกันมากกว่าสามพันชนิด เมื่อหนึ่งในร่างเหล่านั้นถูกค้นพบ พวกเขาจะแลกเปลี่ยนกันด้วยสมบัติสวรรค์บางอย่าง

เด็กมารคนนี้ถือเป็นสิ่งที่ซุนไท่ได้รับมาในดาวเคราะห์แห้งแล้งดวงหนึ่ง

ร่างของเด็กมารถือว่าเป็นอันดับ 171 ในสำนักซากศพ มันมีรากวิญญาณซ่อนที่ยังไม่มั่นคง ร่างกายนี้สร้างขึ้นเพื่อให้ครอบครองร่ายกายโดยธรรมชาติ เมื่อใครสักคนครอบครองร่างมัน มันจะพัฒนารากวิญญาณให้เหมาะสมกับคนผู้นั้น

ซุนไท่มีความสุขมากหลังพบเจอร่างนี้ เขาหล่อหลอมมันมากกว่าพันปีจนในที่สุดก็สร้างเด็กปิศาจคนนี้ขึ้น มันถึงกับมีความสามารถในการใช้มนต์คาถาและใช้ร่างตัวเองอยู่ที่ระดับขั้นแปลงวิญญาณระดับกลาง เรื่องประหลาดสิ่งเดียวก็คือมันต้องเก็บค่ายกลพิเศษสำหรับหล่อเลี้ยงไว้ในร่างและไม่สามารถทิ้งค่ายกลไว้ได้นานเกินไป

ซึ่งเป็นเหตุผลว่าตอนที่ซุนไท่เข้าไปในแดนสวรรค์กลับไม่นำเด็กมารตามไปด้วย หลังจากกลับมาจึงไปรับมันและวางแผนจะไปดาวเคราะห์ใกล้ๆที่มีสาขาสำนักซากศพแห่งใหญ่ เขาวางแผนจะแลกเปลี่ยนร่างกายเพื่อเม็ดยาแยกวิญญาณระดับแปดไว้สำหรับลบล้างผนึกของโจวยี่

นั่นเป็นจังหวะที่หวังหลินเรียกตัวเขาและเป็นเหตุให้เขาต้องใช้เด็กมารในการต่อสู้กับบรรพชนเผ่ามารยักษ์

วันนี้ในดินแดนเพลิงเหนือ ลำแสงสองเส้นเดินทางเร็วกว่าเสียงข้ามผ่านท้องฟ้า สองคนอยู่ข้างหน้าและหนึ่งคนอยู่ตามหลัง หนึ่งในสองคนข้างหน้าสวมชุดคลุมสีขาวและใต้เขาเป็นชายหนุ่มผมขาว

ด้านข้างชายหนุ่มเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ร่างกายเขามีขนาดใหญ่และปลดปล่อยรัศมีหยิ่งยโสโอหัง หากมองเข้าไปใกล้ๆจะเห็นได้ว่านั่นไม่ใช่ร่างกายแต่เป็นเพียงร่างโปร่งแสง

คนสุดท้ายเป็นชายชราผมขาวกัดฟันแน่นขณะไล่ตามทั้งสองคน

หวังหลินอยู่ในกลุ่มสามคนนี้

ซือถูหนานมองกลับหลังไปที่บรรพชนลำดับสี่ของเผ่าละทิ้งอมตะและร้องตะโกน “เจ้าช้าเกินไป เจ้าหนูน้อย ข้าต้อรอเจ้าหลายครั้ง หากเจ้าไม่เหาะเหินเร็วกว่านี้ข้าจะไม่รอแล้วนะ!”

บรรพชนละดับสี่โกรธแค้น เขาอยากล้มเลิกระหว่างทางหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นเจ้าชายกลางคนมักจะยั่วยุเขามาตลอด

บรรพชนลำดับสี่พบว่าเรื่องนี้แปลกมากแต่เขาไม่อยากยอมแพ้ เขามีวิชาลับที่สามารถเอาวิญญาณบรรพชนกลับมาได้แต่วิญญาณบรรพชนนั้นยังไม่ต้องถูกหล่อหลอมเสียก่อน

นั่นเป็นเหตุผลที่เขายังไล่ล่าอยู่

ทั้งสามคนเร็วมาก พวกเขาเหาะเหินเข้าสู่ใจกลางดินแดนเพลิงเหนือและเข้าสู่พื้นที่ของเปลวไฟน้ำแข็ง หวังหลินสามารถเห็นเด็กปิศาจที่อยู่ข้างในเปลวไฟสีแดงได้ในทันที

สายตาซือถูหนานส่องสว่าง เขาหยุดกึกพลันหัวเราะออกมาและมองกลับไปที่บรรพชนลำดับสี่ซึ่งกำลังรีบตามมาอย่างรวดเร็ว

“ก่อนร่างกายข้าจะถูกทำลาย ข้าบ่มเพาะที่นี่เป็นเวลานานมากดังนั้นจึงเข้าใจกฎเกณฑ์ที่นี่อย่างลึกซึ้ง” ซือถูหนานเผยใบหน้าหวนรำลึกขณะที่ฝ่ามือสร้างผนึกและชี้กลางอากาศ

พื้นดินสั่นไหวทันทีพร้อมกับแสงสีทองเริ่มรวมตัวและลอยออกมา

ซือถูหนานหัวเราะขณะคว้าจับหวังหลินเคลื่อนที่ห่างออกไปหนึ่งพันฟุตและมองบรรพชนลำดับสี่

จังหวะที่บรรพชนลำดับสี่เคลื่อนมาถึง ทั้งท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยแสงสีขาว แสงสีขาวนี้สว่างมากและจับกับพลังลึกลับที่ร่างบรรพชนลำดับสี่ร่อนลงมาถึง แสงสีแดงปรากฎขึ้นภายใต้ผิวหนังบรรพชนลำดับสี่ทันที

บรรพชนลำดับสี่เยาะเย้ย “แสงเพลิงโลหิต!” เผ่าละทิ้งอมตะของเขาเป็นชนเผ่าดั้งเดิมในดาวแห่งนี้ดังนั้นจึงเข้าใจสถานที่นี้เป็นอย่างดี เขานึกออกทันทีว่าแสงสีขาวนี้คืออะไร

พลันสะบัดแขนและรอยสักขนาดใหญ่ปรากฎเบื้องหน้า รอยสักกระพริบวาบและแสงสีขาวทั้งหมดถูผลักออกไปจากร่างเขา

ซือถูหนานอุทานด้วยความตกใจและสายตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา จากนั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วดังสายฟ้าเข้าหาบรรพชนลำดับสี่

บรรพชนลำดับสี่เงยศีรษะขึ้นเข้าหาซือถูหนานและโบกแขน รอยสักเบื้องหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเส้นด้ายจำนวนมากเพื่อพยายามขังซือถูหนานไว้

ซือถูหนานหัวเราะ เขาไม่ได้หลับแต่ผ่านเส้นด้ายเหล่านั้นตรงเข้าสู่ร่างบรรพชนลำดับสี่ บรรพชนร้องตะโกน “ออกไปซะ!”

เขาตบหน้าผากตัวเองและต้นไม้เก้าใบปรากฎขึ้น

จังหวะที่ต้นไม้ปรากฎ ซือถูหนานออกมาจากบรรพชนลำดับสี่ ปลดปล่อยรัศมีทั้งหมดของตัวเองและร้องตะโกน “สายหมอกจิ่วลี่!”

สายหมอกที่ล้อมรอบเด็กปิศาจพลันลอยเข้าหาซือถูหนานอย่างรวดเร็ว ขังทั้งสองคนและลากเข้าหาเปลวไฟน้ำแข็งที่เด็กปิศาจถูกขังอยู่ข้างใน

เหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วมากแทบในเสี้ยววินาที ซือถูหนานและบรรพชนลำดับสี่ถูกล้อมรอบในสายหมอก เพลิงน้ำแข็งเสาหนึ่งเกิดขึ้นมาล้อมแต่ละคนไว้

ในจังหวะนี้เสาเปลวไฟทั้งสามอยู่ภายในสายหมอกจิ่วลี่

ซือถูหนานเผยใบหน้าความสุขภายในเปลวเพลิงน้ำแข็งและจากนั้นเกิดความลึกลับต่อมา เขาลอยเข้าไปในเปลวเพลิงน้ำแข็งที่ซึ่งมีเด็กปิศาจอยู่และเข้าไปในร่างเขา

“หวังหลิน สายหมอกจิ่วลี่เป็นค่ายกลธรรมชาติและมันได้สร้างการป้องกันข้าไว้อย่างสมบูรณ์ ข้าจะไม่ใช้เวลานานในการฟื้นฟูระดับบ่มเพาะ เมื่อเสร้จสิ้นข้าจะออกมาหาเจ้า เจ้าต้องระมัดระวังจูเซว่จื่อไว้ในช่วงเวลานี้ อย่าตายก่อนที่ข้าจะออกมาเสียหละ!” เสียงซือถูหนานออกมาจากสายหมอกจิ่วลี่

หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อย เขามองเด็กปิศาจในสายหมอกและเอ่ยถาม “ท่านไม่ต้องให้ข้าเฝ้าระวังหรือ?”

“ไม่จำเป็น สายหมอกจิ่วลี่เป็นการป้องกันที่ดีที่สุด!” น้ำเสียงซือถูหนานเต็มไปด้วยร่องรอยความตื่นเต้น หลังผ่านไปหลายหมื่นปีในที่สุดเขาก็มีร่างกายอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะผ่านเหตุการณ์มากมายในชีวิตมามากมายก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น

“เหล่าเซียนต่างแดน จงรอข้าก่อน! เมื่อข้าฟื้นฟูระดับบ่มเพาะ เข้าจะค้นหาพวกเจ้าเพื่อการล้างแค้นของข้าแน่นอน!”

หวังหลินเงยศีรษะขึ้นมองไปไกลและเอ่ยด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ท่านยังไม่บอกข้าเลยว่าผลึกดาวเซียนคืออะไร”

“ผลึกดาวเซียน…ก่อนที่ข้าจะกลายเป็นผู้ปกครองดาวเคราะห์เซียน ข้ายังคิดว่ามันเป็นสมบัติทรงพลัง แต่ว่าหลังจากข้ากลายเป็นซูซาคุรุ่นสอง ข้าก็พบว่าของสิ่งนี้มันโหดร้ายเกินไป!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version