462. เย่หวู่โยว
หวังหลินแสยะยิ้มเยาะเย้ย เมื่อนางกำลังเคลื่อนที่พริบตา หวังหลินสัมผัสกระเป๋าและไม้แกะสลักเขตแดนหลายชิ้นลอยออกมา
“กาลเวลา!” ด้วยเสียงคำรามจากหวังหลิน ไม้แกะสลักทั้งหมดระเบิดและเขตแดนแห่งกาลเวลาอันแข็งแกร่งพุ่งพล่านออกมา แม้ว่าเขตแดนของหลิวเหมยจะบรรลุระดับสมบูรณ์ ทว่าเขตแดนแห่งเวลานี้หวังหลินเตรียมการไว้อย่างรอบคอบ มันอ่อนแอเกินกว่าจะทำอันตรายหลิวเหมยหรือทำให้นางชะลอตัวช้าลงมาก แต่ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้มันคือเรื่องอันตราย!
ร่างหลิวเหมยเชื่องช้าลงยอมให้หวังหลินเคลื่อนไปอยู่ด้านล่าง
ขณะนั้นปราณกระบี่สองสายรวมเข้าเป็นหนึ่งและตกลงเข้าหาหลิวเหมยอย่างบ้าคลั่ง
ดวงตาหวังหลินเต็มไปด้วยจิตสังหารพร้อมกับชี้หลิวเหมย ควันกฎเกณฑ์หนึ่งสายลอยออกมาจากนิ้วและพุ่งเข้าหานาง
หวังหลินไม่รอคอยผลลัพธ์ เขารู้ว่านั่นเป็นจุดสำคัญจึงพุ่งเข้าหาทะเลโดยไม่มีความลังเล เมื่อเข้าไปใต้น้ำเขาเห็นพระราชวังยักษ์เรืองแสงสีทอง
หวังหลินพุ่งเข้าหาวังด้วยความเร็วสูงสุด มีพลังลึกลับหนึ่งภายในท้องทะเล หวังหลินไม่ต้องทดสอบก็รู้ได้ว่าเป็นสิ่งที่เอาไว้ป้องกันการเคลื่อนที่พริบตา เขามีประสบการณ์กับสถานที่ลึกลับที่อื่นมาก่อนจึงรู้ว่าพลังนี้ให้ความรู้สึกเช่นไร
เมื่อเขากำลังจะเข้าสู่พระราชวัง เสียงคำรามดังออกมาจากพื้นผิว จากนั้นท้องทะเลรอบหวังหลินแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว คลื่นกระบี่ยาวหนึ่งร้อยฟุตตกลงมาจากท้องฟ้าและไล่ตามหลังหวังหลินทันที
ขณะที่ปราณกระบี่เข้าใกล้ขึ้นและใกล้ขึ้น หวังหลินรู้สึกถึงกลิ่นอายทรงพลัง ความเจ็บปวดบาดลึกพลันออกมาจากบนศีรษะ
เขากัดฟันกรอด ตอนนี้อยู่ห่างจากพระราชวังเพียงหนึ่งพันฟุตเท่านั้นทว่าปราณกระบี่เกือบจะถึงตัวเขาอยู่แล้ว
ร่องรอยโลหิตออกมาจากบนศีรษะหวังหลินและความเจ็บปวดเพิ่มขึ้น
เก้าร้อยฟุต แปดร้อยฟุต เจ็ดร้อยฟุต หกร้อยฟุต…
เขาเข้าใกล้ขึ้นและใกล้ขึ้นแต่ปราณกระบี่ที่กำลังใกล้เข้ามาอยู่เหนือศีรษะ เสียงคำรามของปราณกระบี่ดังกึกก้องในสมองหวังหลิน ขณะที่หวังหลินเร่งรีบเข้าหาพระราชวัง เขากระอักโลหิตออกมา จากนั้นนำขวานออกมาจากกระเป๋า
เขาส่งเสียงคำรามทันที หันตัวกลับและวางขวานไว้เบื้องหน้า
ปราณกระบี่ร่อนมาถึงและตกลงใส่ขวานทันที ใบหน้าหวังหลินเปลี่ยนเป็นสีแดง เขากระอักโลหิตและวิญญาณดั้งเดิมสั่นสะเทือน หวังหลินนำเจดีย์ออกมาจากกระเป๋า
เขตแดนของโจวยี่กระจายอย่างรวดเร็วและปราณกระบี่หยุดชะงัก
การหยุดชะงักครั้งนี้หวังหลินพุ่งข้ามผ่านไปห้าร้อยฟุตและเข้าสู่พระราชวังในทันที
เมื่อเข้ามาข้างใน ปราณกระบี่สั่นสะท้านและหายไป
โลหิตซึมออกมาจากปากหวังหลินขณะที่เขาเก็บขวานและเจดีย์กลับ จากนั้นนั่งลงในท่านั่งดอกบัว นำเม็ดยาจำนวนมากออกมาและกลืนกินมันก่อนที่ความรู้สึกเจ็บปวดจะเต็มไปทั่วทั้งร่าง เขานำหินหยกสวรรค์ออกมามองมันก่อนโยนเข้าปาก หวังหลินสัมผัสถึงปราณสวรรค์เต็มไปทั่วร่าง
ต้องขอบคุณพลังปราณสวรรค์แบบเร่งด่วนนี้ หวังหลินรู้สึกร่างกายกลายเป็นแสงสว่าง พลังปราณสวรรค์ระงับอาการบาดเจ็บทั้งหมดของเขา หลังจากนั้นไม่นานจึงยืนขึ้นพร้อมกับก้าวเข้าไปส่วนลึกของวัง
ขณะที่เหนือท้องทะเล ปราณกระบี่กำลังเข้าใกล้หลิวเหมย ขณะที่นางกำลังหลบเลี่ยง กฎเกณฑ์หนึ่งเข้าใกล้นางจากด้านหลังทำให้ท่าทางสวยงามเปลี่ยนไป นางกัดฟันและพ่นหมอกขาวออกมา ริบบิ้นขาวเต้นระบำอยู่ในสายหมอกและเคลื่อนร่างฟาดเข้าใส่ มันทำลายกฎเกณฑ์และห่อหุ้มรอบตัวนางอย่างรวดเร็วเคลื่อนร่างออกห่างปราณกระบี่ไปหนึ่งหมื่นฟุต ปราณกระบี่พลาดเป้าและหายไป
ชายเกราะทองไม่ได้โจมตีอีก งานของเขาแค่ป้องกันสถานที่แห่งนี้เท่านั้นและยอมให้คนที่มีคุณสมบัติเพียงพอผ่านเข้าไป
ความต้องการเพียงสิ่งเดียวนั่นคือสามารถต้านรับพลังหนึ่งกระบี่ได้
เฉียนเฟิงตอนนี้ตกอยู่ในสภาวะการณ์ย่ำแย่มาก โชคดีที่เขาออกจากพื้นที่แห่งนั้นได้เร็วพอ การโจมตีจึงหยุดลง
เฉียนเฟิงร้องตะโกนด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด “เซิ่งหนิว!!! ข้าสาบานว่าข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ! หากข้าผิดคำสาบาน ขอให้ข้าตายด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน!”
หลิวเหมยจ้องทะเลอย่างเงียบเชียบด้วยสีหน้าหมองหม่น เมื่อเห็นว่าเฉียนเฟิงยังสาปแช่งและร้องคำราม นางขมวดคิ้วและกล่าวขึ้น “หุบปาก! หากไม่ใช่ท่านมีเจตนาร้ายและเราสามคนร่วมมือกันจริงๆ เราคงไปอยู่ในวังนั่นเรียบร้อยแล้วมากกว่าจะอยู่ที่นี่!”
เฉียนเฟิงใบหน้าดุดัน เขามองหลิวเหมยด้วยท่าทีเหี้ยมโหดและกล่าวขึ้น “เจ้าคิดหรือว่าข้าไม่รู้เรื่องที่พวกเจ้าสองคนสบตาและชอบพอกัน? ศิษย์น้อง อย่าลืมว่าเจ้าสัญญาอะไรกับข้าไว้!”
หลิวเหมยมองเฉียนเฟิงด้วยสายตาเย็นชาและเอ่ยขึ้น “มีหยุนเซว่จื่ออยู่ที่นี่มันก็ยากที่เซิ่งหนิวจะได้เสี้ยววิญญาณกลับคืน หยุนเซว่จื่อไม่ปล่อยให้เขาสำเร็จอย่างง่ายๆได้”
เฉียนเฟิงสูดหายใจลึก จากนั้นลดสายตาดุร้ายลง สัมผัสกระเป๋าและกล่าวขึ้น “ตาเฒ่าให้บางสิ่งกับข้าไว้เอาไว้ใช้ต่อต้านธงวิญญาณหนึ่งล้านดวง เมื่อมันมีผลกระทบต่อธงวิญญาณมันก็ควรมีผลกระทบต่อเซียนขั้นเทวะเช่นกัน หลังหยุนเซว่จื่ออกมาข้าจะใช้สิ่งนี้ ข้าต้องการเสี้ยววิญญาณของข้าเท่านั้นแต่หากมันยังไม่ยอมให้ ข้าจะปล่อยมันออกมาทั้งหมด!”
ข้างในวังใต้ทะเล สิ่งที่ปรากฎเบื้องหน้าหวังหลินคือห้องโถงขนาดใหญ่มาก มีตะเกียงหลายแห่งรอบห้องโถงซึ่งกำลังกวัดแกว่งและเรืองแสงชั่วร้าย
แสงนี้ไม่ได้สร้างขึ้นจากไฟแต่เป็นสิ่งลึกลับบางอย่างที่หวังหลินไม่เคยเห็นมาก่อน
แสงสลัวทำให้ห้องโถงแห่งนี้กลายเป็นภาพเบลอและทำให้เกิดความรู้สึกประหลาดยิ่งนัก
หวังหลินมีท่าทีระมัดระวังขณะที่เดินไปข้างหน้า ห้องโถงนี้ดูเหมือนไร้จุดสิ้นสุด เขาเดินมานานมากและมันยังคงเหมือนเดิม
หวังหลินไม่กล้ากระจายสัมผัสวิญญาณออกไปไกล เมื่อมาถึงที่นี่ครั้งแรกเขากระจายสัมผัสวิญญาณออกและบางส่วนหายไปราวกับถูกกลืนกิน
ซึ่งทำให้หวังหลินยิ่งระมัดระวังเพิ่มขึ้นไปอีก
หลังผ่านไปโดยไม่รู้เวลา หวังหลินเห็นแสงกระพริบจากวิชาที่อยู่ห่างออกไปไกล เขาหยุดเคลื่อนไหวและกระจายสัมผัสวิญญาณตรงไปด้วยความระมัดระวัง
แต่สิ่งที่เขาเห็นทำให้ใบหน้าเปลี่ยนไป เมื่อสัมผัสวิญญาณของเขามาถึงปลายสุดห้องโถง สิ่งที่เขาเห็นคือพื้นที่โถล่งขนาดใหญ่
มีหอคอยสูงตระหง่านตั้งอยู่ตรงกลางพื้นที่โล่งแห่งนี้ บนยอดหอคอยเป็นบัลลังก์และมีคนเส้นผมสีดำล้วนนั่งอยู่บนนั้น
คนผู้นี้อายุราวๆวัยกลางคนและดูธรรมดามากแต่กลับปลดปล่อยกลิ่นอายน่าเกรงขาม ดวงตาปิดสนิทและไม่แสดงร่องรอยชีวิตจากร่างนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นร่างคนตาย
ทว่าร่างเขาปลดปล่อยกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวล้อมรอบพื้นที่ทั่วบริเวณ
ขณะที่สัมผัสวิญญาณของหวังหลินเห็นบุคคลผู้นี้ เขาเกิดแรงกระตุ้นให้โค้งคำนับเข้าหาทันที หวังหลินถูกบังคับให้กระตุ้นพลังปราณสวรรค์เพื่อระงับแรงกระตุ้นนี้ไว้ ดูเหมือนมีพลังลึกลับที่นี่ที่สามารถทำให้จิตใจทุกคนสั่นไหวเมื่อผ่านเข้าไป
เบื้องหน้าเขาเป็นของสิ่งหนึ่งล่องลอยอยู่ มันเป็นลูกบอลแสงสีม่วง
ลำแสงส่องสว่างบนชายกลางคนและทิ้งเงาสีดำไว้เบื้องหลังเขา
ทว่าแสงนี้ดูสลัวและสบัดไปมาราวกับสามารถพัดปลิวไปยามใดก็ได้
ขณะที่สัมผัสวิญญาณหวังหลินสัมผัสบอลแสง พลังแข็งแกร่งสายหนึ่งกระแทกเข้าใส่สัมผัสวิญญาณเขาทันทีจึงทำให้หวังหลินถอยกลับมา
ในห้องโถง ใบหน้าหวังหลินซีดเผือดและดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ซูซาคุรุ่นแรก เย่หวู่โยว!” เขาสามารถคาดเดาตัวตนของชายวัยกลางคนผู้นี้ได้ทันที
ส่วนลูกบอลแสงสีม่วงนั้นมันคือผลึกดาวเซียน
แต่ว่าหวังหลินรู้สึกราวกับมีบางสิ่งผิดปกติ แม้มันจะดูเหมือนที่ซือถูหนานอธิบาย เขากลับไม่รู้สึกถึงเสี้ยววิญญาณของเขาเชื่อมต่อเข้ากับมันตอนที่สัมผัสวิญญาณเข้าไปแตะ
“เมื่อเจ้ามาถึงแล้วก็เข้ามา” น้ำเสียงหยุนเซว่จื่อดังออกมาจากด้านล่างห้องโถง
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น เมื่อสัมผัสวิญญาณเข้าไปในห้องเขาเห็นซูซาคุคนแรกและผลึกดาวเซียน แต่เขาไม่เห็นหยุนเซว่จื่อหรือชายชรา ทั้งต่างก็อยู่ที่นี่อยู่แล้ว
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะเดินไปข้างหน้า ไม่นานนักเขาก็มาถึงสุดห้องโถงและเดินเข้าไปในพื้นที่โล่งขนาดใหญ่
ตอนนี้เมื่อมาที่นี่ด้วยตัวเองแล้ว ความรู้สึกตกใจยิ่งมากขึ้นไปอีก เปรียบกับหอคอยสูงพันฟุตแล้วเขารู้สึกราวกับมดตัวเล็กๆ
หวังหลินสูดหายใจลึก ดวงตาส่องสว่างและเห็นร่างหยุนเซว่จื่อยู่ในมุมหนึ่ง
ใบหน้าหยุนเซว่จื่อซีดเผือด เขากำลังนั่งขัดสมาธิและโลหิตซึมออกมาจากมุมปาก
เขาดูอ่อนแอมากกว่าปกติ เขามองหวังหลินและยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าเดาไม่ผิด เจ้าเป็นคนที่สามที่มาที่นี่จริงๆ”
หวังหลินเผยใบหน้าระมัดระวังและเอ่ยถาม “แล้วเขาหล่ะ?”
หยุนเซว่จื่อเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าน่าเกลียด “ข้าใช้ค่ายกลเพื่อกักขังเขาเอาไว้ เขาควรยังถูกขังอยู่ข้างใน หวังหลิน ข้าบาดเจ็บสาหัส จงไปเอาผลึกเซียนมาให้ข้า ไม่ว่ามันจะเพื่อเผ่าละทิ้งอมตะของข้าหรือพวกเซียน ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้ผลึกดาวเซียนล่มสลาย”
“โอ้?” หวังหลินมองหยุนเซว่จื่อและเอ่ยถามด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ท่านต้องการให้ข้าไปเอาผลึกดาวเซียน?”
หยุนเซว่จื่อสูดหายใจลึกและถอนออกมา “ข้ารู้ว่าเจ้าระมัดระวังตัวมาก เจ้าตรวจสอบร่างกายข้าด้วยสัมผัสวิญญาณเจ้าได้เลย เจ้าจะพบว่าข้าแทบใช้พลังไปหมดแล้ว ชายชราคนนั้นไม่ได้มาจากดาวซูซาคุ วิชาของเขาทั้งหมดประหลาดมากและข้าไม่อาจกักขังเขาไว้ได้นาน เมื่อเขาได้รับอิสระจะสามารถขโมยผลึกดาวเซียนได้ และถึงตอนนั้นทุกคนบนดาวซูซาคุจะเผชิญกับวิกฤติ”
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น เขาเงยศีรษะและมองไปที่บอลแสงสีม่วงด้านหน้าซูซาคุรุ่นแรก เขาถอยกลับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ด้วยความเร็วที่มากกว่าตอนเข้ามาหลายเท่า หวังหลินเหาะเหินเข้าหาห้องโถงราวกับคนบ้า
สายตาหยุนเซว่จื่อสว่างขึ้นและหายตัวไปทันที เขาปรากฎตัวอีกครั้งเบื้องหน้าทางเดินเพื่อขัดขวางหวังหลิน พลันเอ่ยขึ้น “เจ้าวิ่งทำไม?!”
ดวงตาหวังหลินส่องสว่างจากนั้นถอยกลับสองสามก้าวและจ้องหยุนเซว่จื่อ เขาโบกแขนขวาและธงวิญญาณหนึ่งล้านดวงปรากฎ “ผู้น้อยยังไม่อยากตาย”