556. ย้อนรอยสวรรค์
ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก เหยาซีเชว่ยังอยู่ในอาการตกตะลึงตอนที่สัญลักษณ์สามเส้นเสร็จสมบูรณ์
ขณะที่สัญลักษณ์เสร็จสิ้น ปราณสวรรค์ในร่างหวังหลินเคลื่อนไหวด้วยตัวเองและเข้าสู่สัญลักษณ์ผ่านนิ้วมือ!
หากมองเพียงแค่สัญลักษณ์สามเส้น ก็คงคิดว่าไม่มีสิ่งใดพิเศษ แต่ตอนนี้ที่หวังหลินวาดมันขึ้นมาทีละเส้น เขารู้สึกถึงความสมบูรณ์แบบออกมาจากมันราวกับเป็นรอยประทับจากสรวงสวรรค์
คลื่นแสงสีทองออกมาจากสัญลักษณ์นั้นและเกิดการส่องสว่างรอบด้าน ควันสีดำที่กำลังล้อมรอบแท่นค่อยๆเลือนหายไปภายใต้ลำแสงสีทอง
เหยาซีเชว่เผยท่าทางตกใจและใบหน้าซับซ้อนอย่างยิ่ง นางเคยมาที่นี่หลายครั้งแต่ทุกครั้งนางจะเสียเวลาให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้และใช้ผนึกโลหิตที่พ่อของนางให้มาเพื่อให้นางไม่ต้องไปต่อกรกับพวกมัน อีกนัยหนึ่งนางผ่านทางเช่นนี้ซ้ำหลายครั้ง
แม้ว่านางจะสังเกตสัญลักษณ์พวกนั้นได้และพยายามวาดพวกมันเช่นกัน แต่เพราะนางไม่เคยทำลายรูปปั้น นางจึงไม่เคยดูดซับสัญลักษณ์สีทองเหมือนกับหวังหลิน
ปราณสวรรค์เข้าไปในสัญลักษณ์ นิ้วชี้หวังหลินหยุดกึกไปชั่วขณะ แม้ว่าท่าทางยังเหมือนปกติแต่เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าหากเขาไม่ได้วาดเส้นที่สี่ สัญลักษณ์อันสมบูรณ์แบบนี้คงถูกทำลายและกระทั่งแตกสลาย
หวังหลินไม่สามารถวาดเส้นที่สี่ในอากาศได้ ดวงตาส่องสว่างพลันชี้ไปที่สัญลักษณ์และหันกลับมาทันที หวังหลินพลิกสัญลักษณ์ทำให้มันลอยตรงไปที่เหยาซีเชว่
สีหน้าเหยาซีเชว่เปลี่ยนไปและนางถอยกลับอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันนางก็นำหินหยกโลหิตออกมาหลายก้อนและบดขยี้มันทีละก้อนเบื้องหน้า
แสงสีแดงโลหิตกระพริบหนึ่งครั้ง ชั้นโลหิตปกคลุมสัญลักษณ์เอาไว้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วมาก ขณะที่โลหิตสัมผัสสัญลักษณ์มันจึงเลือนหายไปแต่ทำให้สัญลักษณ์หมองลงเล็กน้อย
เหยาซีเชว่ถอยต่อเนื่องขณะที่เหงื่อเม็ดโตปกคลุมหน้าปาก นางบดขยี้หยกโลหิตในมือไปเรื่อยๆและหลังจากผ่านไปเจ็ดลมหายใจ ท้ายที่สุดแสงสีทองก็ดับลงด้วยโลหิตอย่างสมบูรณ์
สัญลักษณ์เลือนหายไปข้างในแสงสีแดงโลหิต
เหยาซีเชว่ใบหน้ามืดมนอย่างที่สุด นางต้องใช้หินหยกสวรรค์ที่เก็บสะสมมานานหลายร้อยปีไปถึงหนึ่งในสิบ ขณะที่สัญลักษณ์นั้นโยนเข้าใส่นาง นางรู้สึกเหมือนเผชิญกับคนรุ่นเดียวกับพ่อของนาง
“หวังหลิน!” เหยาซีเชว่บดขยี้หยกโลหิต หลังจากสัญลักษณ์หายไป นางพุ่งตัวตรงเข้าไปยังแท่นของหวังหลิน
หวังหลินสงบนิ่ง ขณะที่เหยาซีเชว่ใกล้เข้ามา เขาจับกระเป๋านำกระบี่สวรรค์ออกมาและถือมันไว้ด้านหน้าด้วยสายตาเย็นชา “สหายเซียนเหยา สัญลักษณ์สีทองที่เกิดขึ้นนั้นมันเกินกว่าข้าจะควบคุมได้ หากท่านอยากสู้กับข้าเพราะเรื่องนั้น ข้าจะให้ความบันเทิงท่านเอง!”
เหยาซีเชว่ใบหน้ามืดมนขณะที่สายตาแฝงจิตสังหารและครุ่นคิดกับตัวเอง ‘เมื่อเขามาถึงที่นี่แล้ว เขาไม่มีโอกาสรอดชีวิตออกไปได้เว้นแต่จะทำลายผนึกทั้งหมด หากข้าสู้กับเขาที่นี่จะเป็นการเสียโอกาส!’
นางเอ่ยขึ้นทันที “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว!” สิ้นคำพูด นางกระโจนข้ามหวังหลินและร่อนบนเส้นทางมังกรศักดิ์สิทธิ์เพื่อไปยังแท่นถัดไป
หวังหลินเก็บหินหยกสวรรค์และตามไปอย่างสบายๆ เขามองเหยาซีเชว่ด้านหน้าและจิตใจไม่สงบเสียแล้ว
“เพียงแค่สัญลักษณ์สามเส้นก็ทรงพลังมากแล้ว…จากคำของเหยาซีเชว่ มีทั้งหมดสิบแปดด่าน หากทุกด่านมีหนึ่งสัญลักษณ์นั่นหมายความว่ามีทั้งหมดสิบแปดสัญลักษณ์ สัญลักษณ์สิบแปดสายจะมีพลังขนาดไหนกัน…สัญลักษณ์นี้มันคืออะไรกันแน่? หรือมันเป็นวิชาเทพ?!” หวังหลินสูดหายใจลึกและวาดสัญลักษณ์สามเส้นอีกครั้ง น่าเสียดายที่ปราณสวรรค์ในร่างเขาไม่ขยับและสัญลักษณ์เลือนหายไปอย่างรวดเร็วขณะที่มันปรากฎขึ้นมาโดยไม่มีพลังอำนาจอะไรเหมือนก่อนหน้านี้
หวังหลินขมวดคิ้วบางและเริ่มครุ่นคิด
เจ็ดวันต่อมา แท่นที่สามปรากฎขึ้น คราวนี้เหยาซีเชว่พุ่งเข้าไปที่แท่นตรงๆ ยังมีรูปปั้นเดิมอยู่บนแท่นแต่แทนที่มันจะมีสามตา ตอนนี้มันกลับมีกระบี่ยาวในมือ!
เหยาซีเชว่ไม่ได้ใช้ผนึก คราวนี้นางไม่ลังเลที่จะใช้ความสามารถของตนเองในการต่อสู้กับรูปปั้นหิน
หวังหลินสังเกตเหยาซีเชว่อย่างเยือกเย็น วิชาของนางทั้งหมดมีพื้นฐานมาจากโลหิตและส่วนใหญ่ตอนที่นางโบกมือจะเกิดแสงสีแดงโลหิตก่อนที่วิชานั้นจะปรากฏ
การต่อสู้กับรูปปั้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ด้วยระดับบ่มเพาะของเหยาซีเชว่ทำให้การต่อสู้จบลงในเวลาครึ่งก้านธูป ทว่าแม้รูปปั้นจะแตกสลาย ไม่มีสัญลักษณ์สีทองลอยออกมา นางใบหน้ามืดมนขณะกระทืบเท้าไม่พอใจทำให้รูปปั้นหินแตกกระจายเป็นฝุ่นผง
หวังหลินขมวดสายตาและคิดขึ้น ‘หรือว่าต้องทำลายกฎเกณฑ์บนรูปปั้นเท่านั้นถึงจะทำให้สัญลักษณ์รวมเป็นหนึ่งกับร่างกายได้?’
เหยาซีเชว่กระโดดข้ามแท่นออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้มองหวังหลิน
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงกระพริบตาหนึ่งเดือนพลันผ่านไป ช่วงเวลาระหว่างหนึ่งเดือนนี้หวังหลินเดินทางง่ายมากเพราะเหยาซีเชว่ไม่ให้โอกาสเขาลงมืออะไรเลย หลังจากพยายามไปสองครั้งและไม่ได้รับสัญลักษณ์ทอง นางจึงตระหนักได้ว่าวิธีของนางนั้นผิดพลาด เมื่อคิดกลับไปตอนที่หวังหลินลงมือ นางจึงได้รับความเข้าใจบางอย่าง
นางกลัวสัญลักษณ์ทองอย่างมากและเพื่อป้องกันไม่ให้หวังหลินได้มันมา นางจึงตัดสินใจลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง นางไม่ได้ทำลายรูปปั้นแต่ใช้หยกโลหิตผนึกพวกมันเอาไว้ นี่เป็นวิธีที่นางเคยใช้สามครั้งก่อนตอนที่มาที่นี่
หลังจากผนึกรูปปั้นตัวที่สิบเอ็ดในวันนี้และมาถึงเบื้องหน้าแท่นรูปปั้นตัวที่สิบสอง ใบหน้าเหยาซีเชว่ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด นางมองหวังหลินและเอ่ยออกมา “สหายเซียนหวัง ผนึกชิ้นที่สิบสองนี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้ค่อนข้างมากและจำเป็นต้องมีเราสองคนช่วยกันถึงจะทำลายลงได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ข้าขอให้เจ้ามาด้วย!”
หวังหลินพยักหน้า แท่นด้านหน้าพวกเขาแตกต่างอย่างมากจากอันก่อน มันมีขนาดเพียงครึ่งเดียวและไม่มีรูปปั้นหินอยู่ตรงกลาง มีเพียงประตูหินยักษ์เท่านั้น! อีกทั้งเส้นทางมังกรศักดิ์ศิทธิ์อีกด้านหนึ่งก็ไม่มีอยู่!
มีตัวละครพร่ามัวอยู่บนประตูหิน เมื่อพวกมันทับซ้อนกันและกันแทบคล้ายกับใบหน้ามนุษย์อย่างมาก
ทั้งเหยาซีเชว่และหวังหลินร่อนลงบนแท่น ในเวลาเดียวกันประตูหินพลันเปิดขึ้นและสายลมหนาวรุนแรงโผล่ออกมาทันที ขณะที่สายลมหนาวปรากฏ ร่างเหยาซีเชว่ก็ปกคลุมไว้ด้วยแสงสีแดงโลหิต
หวังหลินก้าวเท้าไปด้านหลังหลายก้าวพลันจับกระเป๋าและนำธงกฎเกณฑ์ออกมาปกคลุมร่างกายอย่างรวเร็ว สายลมหนาวพัดผ่านเข้ามา เสียงแตกร้าวออกมาจากกฎเกณฑ์รอบตัวหวังหลินพร้อมกับมีชั้นน้ำแข็งเกิดขึ้นรอบๆ ในไม่นานนักหวังหลินก็ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งหนา
เมื่อมองไปยังเหยาซีเชว่ นางกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งไปแล้วเพียงแต่ประติมากรรมน้ำแข็งนี้กำลังปลดปล่อยแสงสีแดงส่องสว่าง