587. ฉวี่ลี่กั๋วทรยศ! 3
ควันสีเทาหลายเส้นสายพุ่งออกมาจากระหว่างคิ้วหวังหลิน ควันสีเทานี้มีมากกว่าสามพันสายและล้อมรอบดาบครึ่งจันทราเอาไว้
แต่ดาบครึ่งจันทราเร็วเกินไป มันใช้ประโยชน์ขณะที่ควันสีเทากำลังเข้ามาใกล้ได้พุ่งออกมาแทน ทว่าขณะที่มันเป็นอิสระ หวังหลินปรากฏตัวด้านหน้ามันและสะบัดมันกลับเข้าไป
“รวบรวม!” หวังหลินกล่าว
ควันพลังสังหารมากกว่าสามพันสายควบแน่นเป็นทรงกลมอย่างรวดเร็ว เกิดเสียงปะทะออกมาจากด้านในทรงกลมแต่ไม่ว่าดาบครึ่งจันทราจะทำอย่างไรก็ตามมันไม่สามารถพุ่งออกมาได้
หวังหลินเลื่อนสายตาไปยังฉวี่ลี่กั๋วโดยไม่ได้มองดาบครึ่งจันทราอีก
ร่างฉวี่ลี่กั๋วสั่นสะท้านและหัวเราะแหยๆ “นายท่านต้องการสั่งการอะไรไหม? หรือให้ข้าไปเกลี้ยกล่อมดาบน้อยดี? ข้ามั่นใจว่าจะทำให้มันเชื่อฟังในอนาคตได้แน่นอน!”
หวังหลินมองฉวี่ลี่กั๋วและเอ่ยถามขึ้น “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงไม่ปล่อยให้เจ้าไปหาวิญญาณกระบี่นั่น?”
ฉวี่ลี่กั๋วพยักหน้ารัวๆและกล่าวตอบ “ข้ารู้ ข้าเข้าใจ!” แม้จะกล่าวเช่นนั้นแต่กลับคิดอีกอย่างในใจ ‘เห็นได้ชัดว่าเจ้าเพียงต้องการแยกข้ากับแม่นางน้อยออกจากกัน ข้าเดาว่ามีโอกาสแปดในสิบส่วนที่เจ้ากำลังสนใจแม่นางน้อยแน่ บัดซบ ข้าฉวี่ลี่กั๋วจะมาโดนขโมยภรรยาไปจากเด็กหนุ่มรุ่นเยาว์แบบนี้ได้อย่างไรกัน!’
“ในเมืองปิศาจฟ้า มีผู้เก่งกาจพบเห็นได้ทั่วไปราวกับก้อนเมฆ เจ้าคิดจริงหรือว่าจะไม่มีใครรับรู้เจ้าได้? เมื่อเจ้าถูกพบด้วยระดับบ่มเพาะที่อ่อนแอของเจ้า เจ้าจะถูกจับไปหล่อหลอมและกลายเป็นวิญญาณกระบี่เพื่อสมบัติอื่น ฉวี่ลี่กั๋วเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?” น้ำเสียงหวังหลินดังกึกก้องในใจฉวี่ลี่กั๋วราวกับระฆังยักษ์
มันตกตะลึงและนิ่งอึ้ง จากนั้นเอ่ยเสียงเบา “นี่…ข้าไม่อาจให้เจอตัวได้…” จิตใจของมันเริ่มเต้นรัว หลังจากฟังจากหวังหลินมันเชื่อเขาถึงแปดส่วน มันสงสัยว่าหากถูกคนอื่นจับไปจะเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นเหมือนบรรพชนเผ่ามารยักษ์หรือ?
“แต่ว่า หากข้าถูกเจ้าของแม่นางน่ารักคนนั้นจับไปมันก็คงเป็นเรื่องดี จากนั้นข้าและแม่นางน้อยจะได้อยู่ด้วยกัน…” ฉวี่ลี่กั๋วลอบคิดเช่นนี้แต่ไม่กล้าพูดกับหวังหลิน
หวังหลินมองฉวี่ลี่กั๋วราวกับมองทะลุความคิดในใจมัน ฉวี่ลี่กั๋วเครียดหนักแต่แทนที่จะลดลงมันกลับเบิกตามองหวังหลิน มันคิดเข้าข้างตัวเอง “อดทนไว้ อดทนไว้เพื่อความสำเร็จ ยิ่งข้าร้อนรนมากเท่าไหร่ข้าก็ยิ่งต่อกรกับสถานการณ์นี้ได้มากเท่านั้น!”
หวังหลินกล่าว “เจ้าเรียนรู้มาจากวิญญาณดาบครึ่งจันทรามาไม่น้อย”
ฉวี่ลี่กั๋วกระพริบตาและเล่าวิชากระบี่ที่เขาเรียนรู้มาทั้งหมดโดยไม่ลังเล รวมไปถึงวิธีการที่มันปกปิดตัวตน การหลอมรวมเข้ากับดาบสวรรค์อย่างสมบูรณ์แชะใช้ความแข็งแกร่งได้เต็มที่เพื่อให้กระบี่สวรรค์มีความแข็งแกร่งมากขึ้นหลายเท่า
ขณะที่กล่าวไปมันก็ลอบประเมินอารมณ์ของหวังหลินและระมัดระวังมาก มันไม่เจอความรู้สึกแบบนี้มาหลายร้อยปีแต่ตอนนี้มันสัมผัสได้อีกครั้งแต่กลับไม่ได้รู้สึกห่างเหินเลย
หลังจากฟังการเล่าของฉวี่ลี่กั๋วจบลง หวังหลินยื่นมือออกเข้าหาทรงกลมที่สร้างจากพลังสังหาร ตอนนี้ไม่มีเสียงใดออกมาจากข้างในแล้ว เมื่อหวังหลินสัมผัสทรงกลมเล็กๆนั้น พลังสังหารกลับคืนสู่ร่างทันที
เหลือเพียงพลังสังหารไม่กี่ร้อยเส้นเอาไว้ ปราณดาบเส้นหนึ่งพุ่งออกมาทันทีแต่เพราะมันถูกพลังสังหารป้องกันเอาไว้จึงชะลอลง
หวังหลินเตรียมการไว้แล้ว เชาบีบนิ้วและปราณดาบแตกสลายทันที ดาบครึ่งจันทราดิ้นรนอย่างรุนแรงระหว่างนิ้วหวังหลิน หวังหลินอ้าปากและพ่นพลังดั้งเดิมบางส่วนไว้บนดาบครึ่งจันทรา จากนั้นดวงตาส่องสว่าง เขาไม่มีเวลาที่จะใช้การหล่อหลอมช้าๆ ดังนั้นจึงเส้นใช้ทางตรงๆ หวังหลินไม่สนใจว่าจะทำอันตรายให้กับวิญญาณดาบและตัดสินใจสลักกลิ่นอายของตนไว้ในดาบครึ่งจันทรา
หลังทำเช่นนี้ เขาโบกแขนขวาและดาบครึ่งจันทราล่อลอยออกไปปลดปล่อยเสียงหึ่งๆที่กำลังแข็งข้อ!
หวังหลินนำกระบี่สวรรค์ออกมาและโยนให้ฉวี่ลี่กั๋ว ฉวี่ลี่กั๋วผ่อนคลายมากพลันเผยใบหน้าสุขสมหวังและรวมตัวเข้ากับกระบี่
ดาบครึ่งจันทราลอยอยู่กลางอากาศและเมื่อมันรับรู้ได้ว่าฉวี่ลี่กั๋วไม่ได้รับอันตราย มันลังเลเล็กน้อย แม้ว่ามันจะไม่ชอบหวังหลินแต่ท้ายที่สุดแล้วมันทำตามแบบอย่างฉวี่ลี่กั๋วและลอยตัวด้านข้างหวังหลิน
กล่าวให้ถูกก็คือเจ้าดาบครึ่งจันทราเล่มนี้กำลังทำตามฉวี่ลี่กั๋ว
ฉวี่ลี่กั๋วอยู่ในกระบี่สวรรค์พร้อมกับมองดาบครึ่งจันทราและรู้สึกภูมิใจมาก “ดูสิ แม้แต่เจ้าอสูรร้ายก็ไม่สามารถปราบดาบน้อยได้ ที่ข้าทำไปก็แค่โบกนิ้วให้เขาละเว้นน้องเล็ก ดูเหมือนว่าเสน่ห์ของข้ารุนแรงมากกว่าอสูรร้ายตนนี้เสียอีก!”
เมื่อคิดเช่นนี้มันรู้สึกพึงพอใจอย่างมากและคิดอีก ‘ไม่ว่าเจ้าอสูรร้ายจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันไม่สามารถเทียบกับข้าได้เลย ข้ายังมีความยืดหยุ่นมากกว่าอีก! อีกทั้งข้ายังมีโชคกับสาวงาม ทั้งนางเสน่ห์และแม่นางน้อยจะเป็นของข้า เขาไม่สามารถเทียบกับข้าเรื่องนี้ได้!’
“นอกจากระดับบ่มเพาะของเขาจะสูงกว่าข้าเล็กน้อยแล้ว ข้ายังดีกว่าเขาทุกอย่าง บัดซบ ปิศาจที่โดดเด่นเช่นข้าเป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลกนี้นะ ความโดดเดี่ยว….” ฉวี่ลี่กั่วรู้สึกดีเมื่อพูดถึงตัวเอง มันทั้งยังรู้สึกเหนือกว่า ตอนนี้เมื่อมองหวังหลินจากกระบี่สวรรค์จึงเกิดร่องรอยความสงสารและความหยิ่งยโส
หวังหลินตบกระเป๋าและฉวี่ลี่กั๋วลอยเข้าไปข้างในพร้อมด้วยดาบครึ่งจันทรา ขณะที่ฉวี่ลี่กั๋วเข้าไปในกระเป๋ามันหยุดชะงักทันที มองเมืองจักพรรดิที่อยู่ห่างไกลและคิดขึ้น ‘แม่นางน้อย พี่ฉวี่ของเจ้ากลับมาแล้ว ข้าจะไม่หนีไปไหนอีก หากข้าไม่เอาเจ้าไปด้วยข้าจะไม่ออกไปจากเมืองปิศาจฟ้า!’
ณ ภายในอารามกระบี่ของพระราชวังจักรพรรดิ กระบี่จักรพรรดิสั่นเทา จากนั้นเปลี่ยนร่างเป็นหญิงสาว ย่นจมูกและร้องเสียงดัง “เจ้าวิญญาณกระบี่ไร้ยางอายและน่ารังเกียจอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีกนะ! หากข้าเจออีกครั้งแม้จะขัดคำสั่งจักรพรรดิ ข้าจะเอากระบี่มาหั่นเป็นครึ่งท่อน!”
หลังจากรับดาบและกระบี่ หวังหลินกลับเมืองฮ่องทันที วันเวลาผ่านไปจนตกกลางคืน หวังหลินเหาะเหินเข้าหาคฤหาสน์แม่ทัพโม่
ขณะที่เหาะเหินไปหวังหลินหยุดลงพร้อมกับขมวดคิ้ว “นี่มันอะไร!?”
ผู้คนหลายคนปรากฏตัวออกมาจากอีกฝั่งถนนเส้นยาวแห่งนี้ ท่ามกลางผู้คนมีทั้งบุรุษและสตรีมากมาย ทั้งหมดล้วนเป็นขั้นแปลงวิญญาณ บางส่วนบรรลุถึงระดับกลางและระดับปลายไปแล้ว
หวังหลินมองเหล่าเซียนเบื้องหน้าโดยไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรออกมาเลย เขาพบว่าไม่มีจิตสังหารออกมาจากคนเหล่านี้แต่กลับเป็นความรู้สึกเศร้าและไม่พอใจอย่างรุนแรง
ชายชุดขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลุ่ม เขาท่าทางใสสะอาด ฝ่ามือโค้งคำนับให้กับหวังหลินและเอ่ยขึ้น “ข้าได้ยินชื่อเสียงของพี่หวังหลินที่อยู่บนดาวเทียนหยุนมาแล้ว การต่อสู้ที่งานประลองแม่ทัพปิศาจเมื่อไม่กี่วันก่อนได้ทำให้ข้าและคนอื่นๆชื่นชมท่านอย่างมหาศาล”
หวังหลินมองทุกคนและยิ่งรู้น้อยไปอีกว่าพวกเขากำลังคิดอะไรกันอยู่ ตอนนี้หวังหลินจึงคำนับฝ่ามือให้ด้วยและกล่าวออกมา “ท่านชื่นชมเกินไปแล้ว!”
ชายชุดขาวถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “ข้าเป็นจ้าวสำนักน้อยแห่งสำนักกระบี่หยก ข้าถูกบังคับให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประลองของแม่ทัพปิศาจ การกระทำของพี่หวังไม่กี่วันก่อนดุจลมแรงตีข้าให้ตื่น ในดินแดนวิญญาณปิศาจแห่งนี้ เราเหล่าเซียนต่ำยิ่งกว่ามด แม่ทัพปิศาจไม่สามารถตายได้และการฆ่าแม่ทัพปิศาจเสมือนกับเราตายไปกับพวกมันด้วย ดังนั้นในตอนจบมีเพียงแค่เซียนที่ตายได้เท่านั้น เราเสมือนนักแสดงที่กำลังเล่นละครให้กับแม่ทัพปิศาจ!”
หวังหลินครุ่นคิดและไม่ได้พูดอะไร
“นี่คือผู้ช่วยของแม่ทัพปิศาจโอวตี้!” ชายคนนั้นชี้ไปที่อีกคนด้านข้างเขา ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมหยินหบางก้าวเดินออกมาคำนับฝ่ามือและกล่าวอย่างเคารพ “สหายเซียนหวัง การตายของโอวตี้ได้ปลุกข้าให้ตื่นเช่นกัน แม้ว่ากองกำลังในดินแดนวิญญาณปิศาจจะเป็นสิ่งดี หากข้าไม่มีชีวิตเพื่อใช้มันจะนับเป็นอะไรได้?”
ชายชุดขาวถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “มันไม่ใช่ตัวเลือกที่เราเหล่าเซียนจะอยู่ที่นี่ต่อสู้เพื่อความบันเทิงของแม่ทัพปิศาจ เหล่าสหายเซียนกับข้าพร้อมจะออกไปจากเมืองปิศาจฟ้า วันนี้เรามาที่นี่เพื่ออำลาสหายเซียนหวัง ลาก่อน!” สิ้นคำพูด เขาสูดหายใจลึกและเหาะเหินขึ้นไปบนฟ้า
เหล่าเซียนด้านหลังเขาทั้งหมดกล่าวคำอำลาให้หวังหลินและเลือนหายไปเหนือเส้นขอบฟ้า
หวังหลินยืนมองเซียนทั้งหมดที่จากไปอย่างเงียบๆและเขากำลังครุ่นคิด
เซียนคือผู้คนที่เดินบนเส้นทางฝืนกฏสวรรค์และมีความทระนงตน! หากพวกเขาโค้งตัวให้กับอำนาจเมื่อนั้นจะไม่ถือว่าเป็นการฝืนกฏสวรรค์แต่เป็นการปรับตัว!
ทว่าการฝืนกฏสวรรค์นั้นมีความหมายในตัวเอง เหล่าเซียนที่จากไปไม่ได้ทำการทรยศแต่เป็นการหลีกเลี่ยง!
การก่อกบฏที่แท้จริงไม่ใช่การหลบหนีโลก ไม่ใช่การหลบหนีโชคชะตา ไม่ใช่การหลบหนีกฏแห่งฟ้าดิน แต่เป็นการต่อต้านทุกอย่าง!
“เซียนที่ไร้เต๋าของตนนับว่าไม่ใช่เซียนอีกต่อไป…” หวังหลินเดินลงไปบนถนน เงาของเขาใต้แสงจันทรายิ่งยาวมาก
“การฝึกเซียน…ฝืนกฏสวรรค์…มีเต๋าของตนเอง…” หวังหลินเดินลงบนถนนอย่างเชื่องช้า ถนนสายนี้ดูไร้จุดสิ้นสุด
หลังผ่านไปไม่รู้เวลา คฤหาสน์แม่ทัพโม่ปรากฏในระยะสายตา แสงจากตะเกียงนอกคฤหาสน์ดูอ่อนละมุนอย่างมาก มันราวกับแสงนำทางในความมืดมิด หวังหลินหยุดเดินและมองอย่างเงียบงัน
แม้ว่าแสงไฟจะเล็กแต่มันกลับสามารถส่องสว่างดุจดวงประทีป
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านตะเกียงให้สั่นไหว เปลวเพลิงข้างในกำลังริบหรี่ แม้ว่าอากาศจะเป็นเช่นนี้แต่เพลิงในตะเกียงยังคงส่องสว่าง
ขณะที่หวังหลินยืนอยู่ท่ามกลางความมืดอย่างเงียบๆ ดวงตาเผยอาการแห่งการรู้แจ้ง ว่านี่มันยังไม่เพียงพอ เขารู้สึกว่าจับต้องบางอย่างได้แต่ในพริบตาเดียวก็รู้สึกเหมือนไม่มีสิ่งใดเลย
การเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ได้หยั่งรากเข้าไปในหวังหลินด้วยความเงียบ
เวลาเคลื่อนผ่านอย่างเชื่อช้า ความมืดมิดที่ปกคลุมผืนดินค่อยๆถูกดวงอาทิตย์ไล่มาจากทิศะตวันออก ในสายตาหววังหลิน ดวงมืดมิดที่ถอยไปนี้ดุจน้ำลง
ชั่วขณะหนึ่งราวกับสายฟ้าแล่นผ่านกลางใจหวังหลินพร้อมกับเสียงพิณดังก้องในหัว ราวกับเขาได้บรรลุช่วงเวลาแห่งการรู้แจ้ง!
“ค่ำคืนที่ถูกดวงอาทิตย์กวาดออกไปถือว่าเป็นการขัดขืนหรือไม่? การฝืนลิขิตทางธรรมชาติแบบนี้เป็นกุญแจในการบรรลุขั้นเทวะ!” หวังหลินมีความคิดคลุมเครือ ความเข้าใจของเขาไม่ได้ลึกมกแต่มันก็ถึงแก่นรากแล้ว
ดวงตาหวังหลินเผยประกายแสงลี้ลับ แทนที่จะกลับเข้าคฤหาสน์เขามุ่งหน้าไปที่ทะเลสาบแทน หวังหลินนั่งข้างแม่น้ำดุจพระที่กำลังทำสมาธิ แม้ว่าไม่มีเสียงพิณที่กำลังเล่นอยู่ ในหูเขาเกิดเสียงดังก้องต่อเนื่อง
“เสียงพิณไม่มีอารมณ์ แต่เนื่องจากความเศร้าในจิตใจมันจึงกลายเป็นเพลงเศร้า นี่มันไม่ใช่การฝืนซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่ข้าสัมผัสได้ก่อนนี้ นั่นเป็นเหตุว่าทำไมตอนที่ข้าฟังเสียงพิณถึงได้สัมผัสความรู้สึกต่อต้าน…”
เมื่อถึงยามบ่าย พระอาทิตย์ส่องสว่างกลางท้องฟ้า เรือล่องลอยมาถึงและชายหนุ่มเมื่อหลายวันก่อนยังอยู่ข้างสตรีเล่นพิณ คราวนี้สายตาเขาตกลงบนหวังหลินที่ยังอยู่ห่างออกไกลๆ
ขณะที่เสียงพิณลอยเข้าสู่หูหวังหลิน ชายหนุ่มยืนขึ้นถือจอกเหล้ามาทางหวังหลิน
หวังหลินยกไหเหล้าขึ้นมาเขย่าและดื่มลงไป ชายหนุ่มส่ายศีรษะพร้อมกับชี้ไปที่หัวเรือ เขาไม่ได้ดื่มไปสักจิบ
หวังหลินหัวเราะ แม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะดูธรรมดาแต่เขาปลดปล่อยกลิ่นอายไร้ความกังวล หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเดินข้ามผ่านแม่น้ำร่อนลงบนหัวเรือ
สตรีที่กำลังเล่นพิณไม่ได้รับรู้ว่าตอนนี้มีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคนบนเรือ นางเล่นเพลงที่เต็มไปด้วยความเศร้าต่อไป
ชายหนุ่มยื่มและดื่มเหล้าหมดจอก จากนั้นสะบัดแขนเสื้อและนั่งลง หวังหลินนั่งลงด้วยเช่นกันพร้อมกับดื่มเหล้าจากไห เขาฟังเสียงพิณใกล้ๆและเฝ้าดูเรียวแขนหยกของนางอย่างเงียบๆ
สามคนที่อยู่บนหัวเรือไม่มีใครพูดขึ้นมา หลังจากชายหนุ่มเชิญชวนหวังหลิน เขาเพียงแค่ยิ้มเท่านั้นและหวังหลินไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาเพราะเสียงพิณเล่นขึ้นมาแล้ว เสียงอื่นใดก็ตามเป็นเพียงเสียงรบกวนเมื่อเทียบกับเสียงพิณ!
เสียงพิณดูไร้จุดสิ้นสุดเมื่อเรือแล่นบนแม่น้ำ หวังหลินใช้เวลาตลอดทั้งวันบนเรือกับชายหนุ่ม หากทั้งสองเหล้าหมดจะมีคนรับใช้ออกมาจากเรือและเตรียมมาให้
วันเวลาค่อยๆมืดลงและแสงไฟส่องสว่างบนสองฝั่งแม่น้ำ มีแม้กระทั่งแสงจากเรือลำอื่นซึ่งสวยงามอย่างยิ่ง
เมื่อเรือกลับมาตรงตำแหน่งที่หวังหลินออกมาคราวแรก เขายืนขึ้นคำนับมือให้กับชายหนุ่มและกำลังจากไป
ขณะนั้นชายหนุ่มที่ไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทั้งวัน พลันกล่าวอย่างนุ่มนวล “พี่ชายดูเหมือนจะมีการรู้แจ้งแตกต่างกับตอนที่ฟังเสียงพิณ”
หวังหลินชะงักและเอ่ยตอบ “มันทำให้ข้านึกถึงสหายเก่า…”
ชายหนุ่มดื่มขึ้นหนึ่งจอกและเอ่ยอย่างขมขื่น “ไม่แปลกใจเลย ผู้ไม่มีความกังวลใจจะไม่ถูกเสียงพิณเช่นนี้ ดูเหมือนว่าพี่ชายก็เหมือนกับข้า”
ขณะที่ทั้งสองเอ่ยขึ้นมา สตรีที่กำลังเล่นพิณกลับสั่นเทาและเสียงพิณก็สั่นไปพร้อมกับนางด้วย
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น “หากพี่ชายไม่มีอะไรทำ เราทั้งสองมาดื่มกันจนตะวันโต้รุ่งพร้อมกับฟังเสียงพิณของแม่นางหมิงซวนไปด้วยดีไหม?”
หวังหลินขบคิดเล็กน้อย จากนั้นมองชายหนุ่มและพยักหน้า “ไม่เลวทีเดียว!”
ชายหนุ่มยิ้มเบาบางและรินอีกหนึ่งจอก “ข้าสังเกตพี่ชายมาหลาวัน แม้ว่าท่านจะอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแต่หัวใจท่านไม่ได้อยู่ที่นี่ ราวกับท่านเป็นเพียงแค่คนที่ผ่านไปมา”
หวังหลินดื่ม “ข้าเป็นแค่คนเดินดิน แม้ว่าข้าจะเป็นคนที่ผ่านไปมามันก็เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น เจ้าไม่เหมือนกันหรือ? แม้วิญญาณเจ้าจะอยู่ที่นี่ แต่ร่างเจ้าอาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่ง”
ชายหนุ่มมองหวังหลินด้วยสายตาสื่อความหมายและเอ่ยออกมา “ที่บ้านมีแขกแย่ๆมากเกิน ทั้งยังเสียงดังเกินไปด้วย วิญญาณของข้าจึงมาที่นี่เพื่อหาที่สงบเงียบ”
หวังหลินกล่าวเสียงอ่อน “งั้นเจ้าก็เป็นคนมีครอบครัว”
ชายหนุ่มถามขึ้นมา “พี่ชายไม่มีบ้านหรือ?”
“ข้ามี แต่ว่ามันไกลมาก…ไกลแสนไกล…” หมู่บ้านแห่งหนึ่งจากดาวซูซาคุปรากฏในใจหวังหลิน
ชายหนุ่มถามอีก “มีใครคนอื่นที่บ้านไหม?”
“ไม่มีใครเลย เจ้าหล่ะ?” หวังหลินหยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่ม
“ข้ามีหลานสาวอยู่หนึ่งคน แต่นางน่ารักมากเกินไปและที่ผ่านมานางถูกลูกค้าแย่ๆตามรังควาญ!” ขณะที่พูดเรื่องนี้ชายหนุ่มเพียงได้แค่ยิ้ม
ทั้งสองพูดคุยกันเล็กน้อยก่อนจะหมดคำพูด จากนั้นเพียงนั่งอยู่เงียบๆ อาบแสงจันทราและฟังเสียงพิณขณะที่ดื่มเหล้าไปด้วย
ค่ำคืนผ่านเลยไป แสงสว่างปรากฎเหนือเส้นขอบฟ้าและส่องสว่างบนพื้นดิน
หมิงซวนออกไปพักผ่อนนานแล้วแต่ทั้งสองยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเรือ แม้ว่าเสียงพิณไม่ได้ถูกเล่นแต่มันยังคงดังในหูแต่ละคน
หวังหลินหยิบไหเหล้าขึ้นมาและคำนับให้กับชายหนุ่ม จากนั้นก้าวเท้าและเลือนหายเข้าไปในหมอกยามเช้า
ณ ภายในเมืองจักรพรรดิ รอบแรกของการประลองระหว่างแม่ทัพปิศาจได้มาถึงจุดสิ้นสุด เหลือแม่ทัพปิศาจเพียง 48 ตนจากหลายร้อยคน คนที่เหลือทั้งหมดพ่ายแพ้ไม่ก็ถูกตัดสิทธิ์เนื่องจากชนะหนึ่งและแพ้หนึ่ง
เนื่องจากรอบแรกใช้เวลาหลายวัน ไม่มีใครนอกจากโอวตี้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักในหมู่แม่ทัพปิศาจ ทว่าความตายและอาการบาดเจ็บยังมีมากมายในหมู่เซียน
นอกจากนั้นนี่มันเป็นการเข่นฆ่าระหว่างเซียนด้วยกันเองอยู่แล้ว!
เมื่อคนจากสำนักกระบี่ต้าหลัวได้ต่อสูกับแม่ทัพปิศาจ พวกเขาหยุดลงโดยไม่ได้ทำอันตรายมากนัก ทว่าเมื่อต่อสู้กับเซียนด้วยกันเองจะลงมือรุนแรงราวกับกำลังพยายามแสดงความแข็งแกร่งของตน
แสงอาทิตย์ยามเช้ากวาดผ่านสนามประลองหมื่นฟุต มีผู้คนกำลังเฝ้าดูมากกว่าเมื่อก่อน นอกจากนี้การต่อสู้รอบถัดไปเป็นการต่อสู้ของจริง คู่แข่งที่เหลือทั้งหมดต่างมีชื่อเสียงเว้นแต่จะมีส่วนน้อยที่ผ่านมาด้วยโชค!
แม่ทัพปิศาจ 48 ตนเดินผ่านประตูปิศาจฟ้าเข้ามา ในจังหวะที่มันเปิดขึ้น เจตนาการต่อสู้รุนแรงดูคล้ายอสูรดั้งเดิมพุ่งผ่านประตูเข้ามา
ชายเกราะทองยืนอยู่กลางสนามประลองมองทุกคนที่เข้ามาด้วยสายตาเย็นชา เมื่อเขาเห็นหวังหลินจึงพลันพ่นลมหายใจเย็นเฉียบ
จากมุมมองของเขา หวังหลินเป็นแค่เซียนแท้ๆที่กล้าทำร้ายแม่ทัพปิศาจให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ในความคิดเขามันเพียงพอที่จะฆ่าคนผู้นี้ได้หลายร้อยครั้งแล้ว!
“ในดินแดนวิญญาณปิศาจของข้า คนที่เรียกกันว่าเซียนเป็นเพียงแค่กลุ่มโจร จุดประสงค์ที่มาที่นี่ไม่มีอะไรอื่นนอกจากการพยายามได้รับการสืบทอดปิศาจโบราณ ดังนั้นหากพวกมันตายก็ตายไป แต่หากกล้าทำร้ายแม่ทัพปิศาจเมื่อนั้นคือการก่อเรื่องครั้งยิ่งใหญ่!” ชายเกราะทองไม่พอใจหวังหลินอย่างมากและปรากฏจิตสังหารในใจ!
หวังหลินมองชายเกราะทองอย่างเยือกเย็น เขาฝึกฝนศาสตร์สังหารเทพดังนั้นจึงมีประสาทสัมผัสไวต่อจิตสังหาร
หลังจากแม่ทัพปิศาจและผู้ช่วยทั้งหมดเดินผ่านประตูปิศาจฟ้า มันค่อยๆปิดจนเกิดเสียงดังคำราม ชายเกราะทองชี้ไปที่กลองสงครามและกล่าวอย่างเยือกเย็น “ตามคำสั่งท่านจักรพรรดิปิศาจ รอบสองได้เปลี่ยนไป จะไม่มีการต่อสู้อีกแต่จะเป็นการแข่งขันตีกลองสงคราม!”
หลังกล่าวเช่นนั้นสีหน้าแม่ทัพปิศาจทั้งหมดเปลี่ยนไปเป็นส่องสว่าง แม้กระทั่งโม่ลี่ไฮ่ก็สั่นเทา ดวงตาส่องแสงราวกับไม่เคยเป็นมาก่อน
“กลองปิศาจสงคราม! นี่มันเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นปิศาจฟ้าเรา มีเพียงการได้ไปทะเลสาบมังกรเท่านั้นถึงจะตีออกมา! ปกติแค่ตอนรองผู้บัญชาการสูงสุดที่ได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นหัวหน้าเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ตีกลอง!”
“การแข่งขันแม่ทัพปิศาจไม่เคยเปลี่ยนมาก่อน ทำไมมันถึงได้มาเปลี่ยนเอาวันนี้…ดูเหมือนเรื่องการเลือกรองผู้บัญชาการสูงสุดสองคนไม่ใช่ข่าวโคมลอยเลย!”
“กล่าวได้ว่าหัวหน้าผู้บัญชาการทุกคนจะได้ตีกลองนี้เมื่อได้รับตำแหน่งเท่านั้น แต่มันยากที่จะให้มันส่งเสียงดังได้ มีเพียงหัวหน้าผู้บัญชาการที่สูงส่งเท่านั้นที่สามารถตีได้ถึงสิบห้าครั้ง!”
การถกเถียงกันเริ่มดังขึ้นมาราวกับไม่เคยเป็นมาก่อน แม้แต่ตอนที่หวังหลินทำร้ายโอวตี้จนบาดเจ็บสาหัสยังเสียงอ่อนกว่นี้มาก
ชายเกราะทองพ่นลมหายใจเย็นกระจายไปทั่วสนามราวกับฟ้าผ่าจนทำให้ทุกคนเงียบลง แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจคำสั่งของจักรพรรดิปิศาจ เขายังกล่าวอย่างเย็นชา “กลองนี้ถูกทิ้งไว้โดยจักรพรรดิรุ่นแรกแห่งแคว้นปิศาจฟ้า ข่าวลือว่ามันทำมาจากหนังของปิศาจโบราณตนหนึ่ง คนที่ไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอจะตัวระเบิดก่อนที่จะได้ทำให้มันส่งเสียงเสียอีก หากพวกเจ้าสามารถทำให้มันส่งเสียงได้สามครั้งจะถือว่าแข็งแกร่ง หากสามารถทำได้ถึงหกครั้งถือว่าเป็นอัจฉริยะฟ้าประทาน มีไม่มากหรอกที่จะมีใครสามารถทำให้มันส่งเสียงได้ถึงสามครั้ง”
“แม่ทัพปิศาจสิบอันดับแรกของรอบนี้ ออกมา!”