590. คำพูดกำเนิดกฏ
รองผู้บัญชาการซวนคิดขึ้น ‘ฮึ่ม อะไรเป็นไปไม่ได้? ตราบใดที่เป็นหวังหลินจะไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้?!’ พลันถอนหายใจ หากไม่ใช่ว่าเขาโอหังและประเมินหวังหลินต่ำเกินไปเหมือนทุกคนที่นี่ เขาคงไม่ได้รับบาดเจ็บเหมือนตอนนี้
นอกจากหัวหน้าผู้บัญชาการสวรรค์แล้ว หัวหน้าคนอื่นๆทั้งหมดต่างยืนขึ้นดวงตาแหลมคมดุจกระบี่จ้องไปที่หวังหลิน ระลอกคลื่นน่าตกใจและไม่เชื่อสายตาปรากฏในจิตใจ
ส่วนรองผู้บัญชาการด้านล่างอีกหนึ่งชั้นต่างตะลึงงันโดยสิ้นเชิง จดจ้องหวังหลินด้วยจิตใจสั่นเทา
ต้องกล่าวว่ามีคนที่สามารถลั่นกลองได้ถึงห้าครั้ง! แต่คนที่สามารถลั่นกลองห้าครั้งได้ในคราเดียวพร้อมกับสร้างคลื่นกระแทกห้าเสียงรวมเป็นหนึ่งนับได้ว่าเป็นการสั่นสะเทือนสวรรค์อย่างแท้จริง!
การสะท้อนกลับรุนแรงเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่แม่ทัพปิศาจสามารถทนรับได้! แม้กระทั่งโม่เฟยผู้เป็นแม่ทัพปิศาจอัจฉริยะก็ยังทนรับได้เพียงแค่สามครั้งในคราเดียว หากเป็นครั้งที่สี่เขาคงแพ้โดยไม่ต้องสงสัย!
หวังหลินยังสามารถลั่นกลองห้าครั้งในคราเดียว หากคลื่นกระแทกที่รวมกันสามารถทำให้หวังหลินบาดเจ็บสาหัสและทำให้เขาถดถอยอยู่ในสภาวะร่อแร่ ผู้คนอาจจะยอมรับในข้อนี้
ทว่าหวังหลินไม่ได้ขยับไปแม้แต่ก้าวเดียว เขาลอยตัวเข้าหากลองปิศาจราวกับกำลังตีกลองธรรมดาโดยไม่มีอาการสะท้อนกลับอันใดเลย
“ปะ…เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร…ข้าไม่ได้ตาฝากไปใช่ไหม? เขาเพียงลั่นกลองห้าครั้งอย่างสบายๆ…”
“มันต้องมีปัญหาแน่! เซียนคนนี้ต้องใช้กลโกง!”
“หยู่เสินยังพยายามลั่นกลองให้ถึงสี่ครั้ง แต่เขาเพียงแค่ลั่นกลองธรรมดา…แต่ว่าโม่เฟยลั่นเสียงกลองได้ถึงแปดครั้งและคนผู้นี้ไม่สามารถทำได้มากกว่าแน่นอน!” เสียงร่ำร้องน่าตื่นใจออกมาจากฝูงชนไม่หยุดหย่อน
พวกเขาคุ้นหน้าหวังหลิน ไม่กี่วันก่อนเขาคือคนแรกที่ทำให้แม่ทัพปิศาจได้รับบาดเจ็บสาหัสซึ่งได้สลักหวังหลินลงในใจทุกคนไว้แล้ว
ทว่าเหล่าขุนนาง สตรีและเหล่าข้าราชการแห่งเมืองปิศาจฟ้าไม่ได้คิดว่าหวังหลินเป็นคนแข็งแกร่ง ในสายตาแต่ละคนเหตุผลหลักที่โอวตี้พ่ายแพ้และได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นเพราะโอวตี้อ่อนแอเกินไป!
หากหวังหลินเผชิญกับคนเช่นโม่เฟยหรือฉีเจี้ยน เมื่อนั้นเขาจะพ่ายแพ้โดยไม่ต้องสงสัย! นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนมั่นใจ
ทว่าหวังหลินในตอนนี้เป็นคนที่พวกเขาไม่ชอบอย่างที่สุดซึ่งสามารถลั่นกลองห้าครั้งให้กลายเป็นเรื่องเล็กน้อย
เหตุกาณณ์นี้ทำให้ทุกคนตื่นตะลึง!
บางคนถึงกับสงสัยว่ากลองปิศาจพังไปแล้ว ทว่าพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าคิดผิดเมื่อเห็นคนรอบๆตัวได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ก็สลบไป ปราณในร่างกายแต่ละคนกำลังวิ่งพล่าน เมื่อสัมผัสพลังปราณปิศาจกำลังโกลาหลในร่างกาย ความคิดที่ว่ากลองปิศาจเสียไปก็หายไปโดยสิ้นเชิง
อีกทั้งรอยร้าวบนลานประลองที่มีกลองปิศาจอยู่ตรงกลางได้เผยให้เห็นว่าแรงสะท้อนรุนแรงแค่ไหน!
การที่จะสามารถสร้างพลังทำลายล้างบนลานประลองด้วยกฏเกณฑ์นับไม่ถ้วนนั้นสามารถอธิบายได้ว่ามันน่าเหลือเชื่อ
หัวหน้าผู้บัญชาการแทบทั้งหมดสูดลมหายใจเย็นเฉียบ หยู่เสินยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับส่ายศีรษะและล้มเลิกความคิดที่จะประลองกับหวังหลินโดยทันที
เหลือเพียงแม่ทัพปิศาจสาวเซี่ยเหลียนเพียงคนเดียวที่สวมชุดเกราะเต็มตัว แม้ว่าทั้งร่างจะเต็มไปด้วยชุดเกราะแต่นางยังเผยอวดทรงองเอวอันสวยงามอย่างที่สุด
เกราะแขนสีม่วงของนางเผยสีขาวนวลไข่มุกข้างใต้ ร่างส่วนบนเผยหน้าอกและเอวเรียวอันน่าหลงไหล รอยสักสีดำเริ่มจากคอสีขาวนวลดุจหิมะยาวลงไปผ่านอกยื่นไปถึงเอว
เกราะส่วนล่างเป็นเกราะคมมีดใบบัดที่ล้อมรอบนางเป็นวงกลมปกคลุมบั้นท้ายอวบอิ่มและขาสองคู่สวมสนับปกคลุมไว้ นางให้ความรู้สึกดุจวีรบุรุษสตรี
เซี่ยเหลียนสวมหมวกเหล้กปกคลุมใบหน้า เหลือเพียงดวงตาคู่สวยให้มองเห็นและมองหวังหลินด้วยสายตาอส่องประกายสว่าง
ท่ามแม่ทัพปิศาจ ดวงตาฉีเจี้ยนสว่างขึ้นมองหวังหลินอย่างละเอียดยิบ เฉินต้าวกล่าวบางเบา “ข้าพูดไว้แล้วว่าเขาแข็งแกร่งมาก!”
ฉีเจี้ยนพ่นลมหายใจเย็น ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแต่ใบหน้ามืดมน
ท่ามกลางเหล่าแม่ทัพปิศาจมีเพียงโม่เฟยที่ไม่ได้มองหวังหลิน เขามองออกไปดูเส้นขอบฟ้าอย่างเงียบๆแทน เซียนสำนักกระบี่ตัวหลัวจ้องหวังหลินด้วยจิตสังหารอย่างออกนอกหน้า
ในเสียงอึกทึกทั้งหมดนี้ ใบหน้าชายเกราะทองยิ่งน่าเกลียดนัก เขามองกลองปิศาจพร้อมกับกำหมัดแน่น!
หวังหลินถอนมือขวาออกมาจากกลองปิศาจก่อนที่จะหันกลับมามองชายเกราะทอง เสียงทั้งหมดหยุดลงเมื่อหวังหลินหันกลับมา สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่หวังหลิน
หวังหลินชี้ชายเกราะทองและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ท่านแพ้!”
แรงสะท้อนจากการลั่นกลองก่อนหน้านี้ถูกผนึกแห่งชีวิตของหวังหลินขัดขวางไว้ ทว่าแรงสะท้อนทรงพลังอย่างยิ่งมันจึงทะลวงผนึกชีวิตไปมากถึงสองพันชั้นก่อนที่จะสูญสลายไป
ผนึกชีวิตไม่สามารถโดนทำลายได้มันจะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่เว้นแต่จะถูกทำลายเกินสามพันชั้นในพริบตา! นี่คือความแข้งแกร่งที่แท้จริงแห่งผนึกชีวิต
“ไม่สงสัยเลยว่าเทียนหยุนชุดเทามีผนึกชีวิตหนึ่งพันล้านและยังอยู่ดีได้แม้ดาวเทียนหยุนระเบิด วิชาที่มีพลังป้องกันแบบนี้หาได้ยากยิ่ง!”
หลังชายเกราะทองมีสีหน้าน่าเกลียดมากขึ้น เขาพ่นลมหายใจเย็นและกล่าวออกมา “ข้าพูดว่าเจ้าไม่เกินห้าครั้ง เจ้าจะโกหกว่าไม่เข้าใจคำพูดของข้าหรือ?! เจ้าลั่นกลองห้าครั้งและมันยังไม่เกินห้า ดังนั้นเจ้ายังไม่ชนะ! ”
หลังกล่าวเช่นนั้นคนบางส่วนในที่นั่งรู้สึกว่าหัวหน้าผู้ดูแลทองคนนี้มีความชอบธรรมน้อยเกิน!
หวังหลินส่งสายตาเย็นเฉียบมองชายเกราะทอง จากนั้นมือขวากำหมัดชกเข้าใส่กลองปิศาจด้านหลังตัวเอง
ตึงงงง! เสียงครั้งที่หกดังออกมาจากกลองสะท้อนไปทั่วสนาม เสียงที่ออกมาทำให้หัวใจทุกคนเต้นระรัว
พลังสะท้อนรุนแรงพุ่งออกมาจากกลองปิศาจดุจสายชมกรรโชครุนแรงพัดผมหวังหลินให้ปลิวไสว สนามประลองที่แตกระแหงอยู่แล้วเริ่มแตกมากขึ้นอีกครั้งราวกับมีมังกรยักษ์กำลังเคลื่อนไหวอยู่ใต้ดิน
มือขวาหวังหลินไม่หยุดชะงักพร้อมกับมองชายเกราะทองด้วยสายตาเยือกเย็นไปด้วย และชกด้วยกำข้างเดียวกันอีกครั้ง
ตึงงงงง! เสียงลั่นกลองครั้งที่เจ็ดดังก้องไปทั่วชั้นฟ้า หากเสียงหกครั้งแรกนับว่าเป็นคลื่นโหมกระหน่ำแล้ว เช่นนั้นเสียงตอบสนองครั้งที่เจ็ดถือได้ว่าเป็นน้ำท่วมในพริบตา!
แม่ทัพปิศาจโม่เฟยสามารถลั่นเสียงกลองได้หกครั้งโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ในครั้งที่เจ็ดเขาถูกพลังตีกลับและชุดเกราะแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย! นี่แสดงให้เห็นว่าพลังตีกลับของครั้งที่เจ็ดรุนแรงแค่ไหน!
เสียงครั้งที่เจ็ดดังขึ้น ท้องฟ้าเปลี่ยนสี พายุรวมตัวกันที่กลองปิศาจและเริ่มกระจายอย่างบ้าคลั่ง
มือขวาหวังหลินไม่ไหวติงและยืนนิ่งตรงกลางอากาศ ฝ่ามือขวายังสัมผัสกลองปิศาจโดยที่สายตาจรดมองชายเกราะทอง
เสียงครั้งที่เจ็ดนี้ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วชั้นฟ้า หวังหลินส่งเสียงออกมาพร้อมกันด้วย
“นี่ก็ครั้งที่เจ็ดแล้ว!”
ใบหน้าชายเกราะทองบิดเบี้ยวพร้อมกับจ้องหวังหลิน “ข้าจะแนะนำเจ้าให้กับจักรพรรดิปิศาจ!”
หวังหลินส่ายศีรษะ “ข้าต้องการแขนท่านหนึ่งข้าง!”
“เจ้ากล้าดีอย่างไร?!” ชายเกราะทองตะโกนเสียงดัง ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาต “พูดอีกครั้งสิ!”
“ข้าต้องการแขนของท่านหนึ่งข้าง!” ขณะที่เสียงหวังหลินเอ่ยออกมา มือขวาตีเข้ากับกลองอีกครั้ง
ตึงงง! เสียงครั้งที่แปดดังกระจายออกมาดุจคลื่นหลายหมื่นลูก เสียงนี้พร้อมกับคำพูดของหวังหลินได้เริ่มกระจายออกไปทุกทิศทาง
“ข้าต้องการแขนของท่านหนึ่งข้าง!” ราวกับเหลือเพียงเสียงเดียวบนโลกใบนี้
นี่เป็นเพราะหวังหลินได้ใช้พลังของเสียงครั้งแปดจากกลองปิศาจเพื่อสะท้อนไปถึงสวรรค์ เสียงคำรามดังสนั่นในท้องฟ้าราวกับกำลังพังทะลาย ท่ามกลางเสียงดังสนั่นนี้ประโยคที่เอ่ยออกมานั้นไม่เหมือนกับออกมาจากหวังหลินแต่เหมือนออกมาจากฟ้าดิน! ราวกับเทพกำลังเบิกตาเพื่อมองมายังผืนปฐพี!
เสียงที่เป็นตัวแทนของโลก!
ฟ้าดินหลอมรวมกันด้วยเสียงกลองเพื่อก่อเกิดประโยคนี้ แม้ว่าประโยคจะไม่ได้ดังเท่าฟ้าคำรามแต่มันน่าตื่นตะลึง!
พลังที่มิอาจจินตนาการได้ทำให้สีหน้าชายเกราะทองเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที เขาก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว หูด้านชาและใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดราวกับคนตาย!
ชั่วจังหวะนั้นเขาเกิดภาพลวงตาว่ากำลังเผชิญหน้ากับโลก ปราณปิศาจในร่างโกลาหลและเกิดแรงกระตุ้นให้ตัดแขนตัวเอง
ผู้คนโดยรอบต่างตื่นตกใจกันทั้งหมด ไม่มีใครกล้าพูดคุยกันเหมือนก่อนหน้านี้ดังนั้นทั้งสนามจึงเงียบกริบโดยสิ้นเชิง!
นอกจากผู้ชมไม่กี่คนที่สนใจอย่างอื่น ทุกคนต่างรู้โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าหวังหลินพึ่งพูดคำนั้นออกไป และพวกเขาคงต้องตัดแขนตัวเอง
เสียงที่พึ่งออกมานั้นดุจคำบัญชาจากสวรรค์! เสียงนั้นคือกฏ ทรงพลังและเป็นคำพูดทรงอำนาจจากสวรรค์!
ท่ามกลางแม่ทัพปิศาจ โม่เฟยเลื่อนสายตาออกมาจากฟ้าและตกลงบนหวังหลินเป็นครั้งแรก
ท่ามกลางหัวหน้าผู้บัญชาการคนอื่นๆนอกเหนือหัวหน้าสวรรค์ที่ยังไม่มองมายังหวังหลิน คนอีกเจ็ดคนเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย สายตาแต่ละคนเผยประกายแสงอันลึกลับเมื่อมองมายังหวังหลิน
“คำพูดกำเนิดกฏ!” หัวหน้าผู้บัญชาการสูงสุดทั้งเจ็ดคนมองหน้ากันเองและมองเห็นแววตาตื่นตะลึง
ไม่มีรับรู้ได้ว่าในขณะที่เสียงนั้นดังออกมา หัวหน้าผู้บัญชาการเมืองสวรรค์ที่มักปิดตามาตลอดพลันลืมตาขึ้นเล็กน้อยและแฝงความยุ่งเหยิง
ส่วนฝั่งรองผู้บัญชาการ รองผู้บัญชาการเหลืองตกตะลึงอย่างสมบูรณ์และรองผู้บัญชาการซวนถอนหายใจออกมา
ชายเกราะทองใบหน้าซีดเผือดไปเรียบร้อยแต่รีบฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาจ้องหวังหลินและเอ่ยช้าๆ “เสียงของเจ้ารวมเข้ากับพลังกลองปิศาจและจึงหยิบยืมอำนาจแห่งสวรรค์ น่าเสียดายที่เจ้าหยิบหยิบอำนาจของกลองปิศาจ หากเจ้าสามารถบรรลุคำพูดกำเนิดกฏด้วยความแข็งแกร่งของตนเองเช่นนั้นก็ลืมเรื่องแขนข้า แม้เจ้าอยากเอาชีวิตข้า ข้าก็จะยื่นให้!”