621. นับถือปรมาจารย์แห่งรุ่น
ฉวี่หยุนซานรีบตอบ “กองกำลังเซียนตั้งอยู่ระหว่างชายแดนแคว้นปิศาจอัคคีและแคว้นปิศาจทอง ที่นั่นเต็มไปด้วยชั้นบรรยากาศพิษตลอดทั้งปี ดังนั้นมันจึงถูกซ่อนไว้อย่างดี” หลังกล่าวจบ เขาลังเลแล้วจึงถามขึ้นอีก “น้องหวัง เจ้ามแผนที่จะ…”
หวังหลินยิ้ม “ข้าไม่มั่นที่จะทำลายกฏเกณฑ์ของท่านมากนัก แต่ข้าเดาว่าสำหรับบรรพชนคนนั้นไม่น่าจะยาก!”
ฉวี่หยุนซานสูดหายใจลึก ก้าวถอยหลังและโค้งให้กับหวังหลิน เขาเงยศีรษะขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “น้องหวัง คำพูดใดไม่อาจขอบคุณสิ่งที่เจ้าทำให้ข้าได้หมด หากข้ามีวันใดวันหนึ่งกลับไปที่ดาวเทียนหยุน ข้าจะตอบแทนท่านให้ได้อย่างแน่นอน!”
“พี่ฉวี่ไม่ต้องทำแบบนี้หรอก” หวังหลินส่ายศีรษะ “ความจริงแม้ท่านจะไม่เผยตัวออกมา ข้าก็ยังต้องเดินทางไปกองกำลังเซียนนี้อยู่ดี บรรพชนคนนี้ก่อกวนข้ามาสองครั้งและหากข้าไม่ทำอะไรบางอย่าง จะเกิดครั้งที่สามและสี่จนไม่รู้จบแน่นอน!”
“น้องหวัง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะจดจำเรื่องนี้ไว้ไม่มีวันลืม!” เสียงของฉวี่หยุนซานเต็มไปด้วยความจริงใจ
หวังหลินยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะและเก็บหยกแตกหักเข้าไปในกระเป๋า จากนั้นโบกแขนเสื้อเลือนหายไปจากหอคอยพร้อมกับฉวี่หยุนซาน ตอนที่เขากำลังออกไปจากเผ่าหลอมวิญญาณ หวังหลินโบกสะบัดแขนอย่างลวกๆ พวกเซียนของกองกำลังเซียนที่เหลืออยู่ถูกหวังหลินจับตัวเอาไว้และเลือนหายไป
สงครามในแคว้นปิศาจอัคคีดำเนินต่อไป การเข่นฆ่าอย่างต่อเนื่องทำให้โลหิตชะโลมบนผืนดินจนทั้งแคว้นปิศาจอัคคีเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
เมื่อสองแคว้นทำสงครามกันเป็นเรื่องยากมากที่จะหลบเลี่ยงความสนใจของอีกเจ็ดแคว้นที่เหลือ โดยเฉพาะตอนนี้ที่แคว้นปิศาจอัคคีเต็มไปด้วยการเข่นฆ่าและแคว้นปิศาจฟ้าแทบไม่มีทหารหลงเหลืออยู่ในแคว้นตัวเอง ส่วนแคว้นที่เหลืออีกเจ็ดแคว้น นี่คือโอกาส โอกาสที่หาได้ยากยิ่งในรอบหมื่นปี!
ณ ชายแดนแห่งแคว้นปิศาจอัคคีและแคว้นปิศาจทอง อุกกาบาตลูกหนึ่งพุ่งข้ามผ่านท้องฟ้าจนสามารถมองเห็นจากภายในชั้นบรรยากาศพิษได้ แสงที่ล้อมรอบอุกกาบาตหายไปเผยให้เห็นหวังหลินมาถึงด้านนอกชั้นพิษ เขาสะบัดแขนและมีเซียนมากกว่าสิบคนปรากฏด้านข้าง
ฉวี่หยุนซานกำลังยืนถัดจากหวังหลินด้วยใหบ้าไม่สบายใจและยังตื่นเต้นอย่างยิ่ง สองอารมณ์ขัดแย้งกันทำให้เขาเบลอไปเล็กน้อย
“พี่ฉวี่ ถือหยกที่ข้าให้ท่านเอาไว้ แม้ว่ากฏเกณฑ์ข้างในไม่สามารถทำลายเมล็ดเทพข้างในตัวท่านได้ ในช่วงเวลาวิกฤษมันจะชะลอผลลัพธ์ออกไปได้!” สิ้นคำ หวังหลินก้าวเข้าสู่หมอกพิษหนาเข้าไป
หวังหลินสังเกตเรื่องเมล็ดเทพมาสักพักแล้ว แต่เขาจะสามรถยืนยันได้ก็ต่อเมื่อเห็นคนที่เรียกตัวเองว่าบรรพชนแดนเทพแล้วเท่านั้น
ชายชราผู้หนึ่งกำลังสมาธิอยู่ในหอคอยลึกภายในสายหมอกพิษ สตรีสามคนนั่งอยู่ตรงข้ามกับชายชรา ทั้งสามคนสวยงดงามอย่างยิ่งและหนึ่งในนั้นคือน้องสาวของฉวี่หยุนซาน ฉวี่รั่วหนาน
ควันสีลมพูลอยออกาจากปากและจมูกของสตรีสามคน ควันสีชมพูก่อเกิดเป็นรูปทรงจิตนาการอันเยี่ยมยอดที่เต้นระบำรอบชายชรา
ร่างภาพมายาที่กำลังเต้นอยู่รอบชายชราค่อยๆมีรูปร่างมากขึ้น จากนั้นเปลี่ยนกลายเป็นนางฟ้าสุดสวยสวมเสื้อผ้าหลากสี ชายชราสูดหายใจเข้าและกลืนกินทั้งหมดตรงๆ
เขาชืมตาตื่นขึ้นทันทีเมื่อหวังหลินก้าวเข้ามาในหมอกพิษ ดวงตาเรืองแสงสีทอง ในชั่วขณะที่ดวงตาเปิดขึ้นนั้น ร่างมายารอบตัวเขาเลือนหายไป สตรีสามคนเผยสีหน้าเหน็ดเหนื่อยและใบหน้าแต่ละคนดูมีอายุมากขึ้น
หวังหลินก้าวเท้าไปในหมอกพิษ หมอกพิษนี้หนามากและขณะที่เขาเคลื่อนร่างอยู่ภายใน มันล้อมรอบเขาราวกับมีชีวิต
ขณะที่หวังหลินก้าวดินมาข้างหน้า ยิ่งมีหมอกพิษล้อมรอบมากขึ้น เสียงภูติผีร้องครวญครางดังออกมาจากเขาทุกทิศทุกทาง
หวังหลินกล่าวด้วยใบหน้าเย็นชา “ลองดีใช้วิชาวิญญาณเบื้องหน้าข้า เจ้าไม่รู้ขีดจำกัดของตัวเองจริงๆ!” ขณะที่เอ่ยกล่าวขึ้น ฝ่ามือสร้างผนึกและตะโกน “วังวนวิญญาณ!”
น้ำเสียงเข้าไปในผนึกที่สร้างขึ้นและหมอกรอบด้านเริ่มหมุนปั่นราวกับกำลังเดือด หมอกพิษเริ่มรวบรวมด้านหน้าหวังหลินด้วยความเร็วสูงมาก
ฉากเหตุการณ์นี้ราวกับมีวังวนอยู่ด้านหน้าหวังหลินกำลังสูดเอาหมอกพิษทั้งหมดเข้าไป
แทบในเสี้ยววินาที หมอกพิษทั้งหมดรอบบริเวณได้หายไป เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่สถานที่แห่งนี้กระแทบแสงอาทิตย์!
ก้อนทรงกลมขนาดเท่าลูกบอลเกิดขึ้นมาในมือหวังหลินและปลดปล่อยเส้นใยคล้ายไหมจำนวนมาก
ปราสาทสีขาวมองเห็นได้ในระยะไกล มีเซียนเกือบร้อยคนกำลังลอยอยู่กลางอากาศนอกปราสาท ทั้งหมดจ้องมองลูกทรงกลมในมือหวังหลินอย่างตะลึงงัน
หวังหลินกวาดสายตาเยือกเย็นผ่านฝูงชนและจดจำใบหน้าทั้งหมดนี้ในใจทันที บางคนอยู่ในกลุ่มที่เข้ามากับหวังหลินและบางคนไม่คุ้นเคย
หนึ่งในกลุ่มนั้นทำให้ดวงตาหวังหลินส่องสว่างขึ้นเบาบาง คนผู้นี้คือชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีฟ้า
ขณะที่ชายชุดสีฟ้าเห็นหวังหลิน เขาตกตะลึง หลบสายตาหวังหลินอย่างไม่รู้ตัวและเผยใบหน้าขมขื่น
เขาคือศิษย์แห่งกองกำลังสีฟ้าของสำนักชะตาสวรรค์ที่เข้ามาในดินแดนวิญญาณปิศาจพร้อมกับหวังหลิน!
“หลีกทาง” น้ำเสียงหวังหลินสงบนิ่งอย่างยิ่ง
เพียงคำเดียวทำให้ทุกคนกระจายตัวโดยจิตสำนึก ไม่มีใครสักคนที่บรรลุขั้นเทวะ ระดับสูงสุดของเซียนที่นี่คือขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายสูงสุด เมื่อเผชิญหน้ากับเซียนขั้นเทวะที่สามารถหล่อหลอมบรรยากาศพิษที่นี่ได้ พวกเขาทั้งหมดจึงเลือกถอยหนีอย่างรู้ทัน
ทว่ายังมีบางส่วนที่โง่เขลาผู้ที่เชื่อว่าจะอยู่ฝั่งบรรพชนแดนสวรรค์ ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมเต๋าผู้หนึ่งร้องตะโกนออกมา “ช่างกล้า! เจ้าเป็นใคร!? พูดชื่อเจ้าออกมา! กองกำลังเซียนของข้า…”
ชายคนนั้นยังกล่าวไม่จบ ทว่าเมื่อสายตาเย็นชาหวังหลินแทงเข้าไปในสายตาเขา ราวกับกระบี่อันแหลมคมแทงเข้าไป คำพูดของเขาถูกฝืนกลืนลงคอพร้อมกับโลหิตที่พุ่งออกมา
หวังหลินฝึกฝนศาสตร์สังหารเทพและมีจิตใจแห่งการเข่นฆ๋า เพียงแค่สายตาก็เทียบกับการโจมตีของจริงได้แล้ว
ผู้ยืนดูทั้งหมดสูดลมหายใจเย็นเข้าปอด ทุกคนทั้งหมดกระจายตัวขึ้นอีก แม้แต่คนที่ไม่ได้กระจายตัวแต่แรกก็ยังล่าถอยแม้จะเสี่ยงกระตุ้นกฏเกณฑ์ในร่างกาย
เส้นทางหนึ่งเปิดขึ้นมานำทางไปสู่ปราสาท
“ฆ่ามันซะ!” น้ำเสียงแห่งอำนาจดังออกมาจากภายในปราสาท
หลังสิ้นเสียงคำสั่ง ใบหน้าเซียนทั้งหมดซีดเผือดและต่างก็ลังเล
โชคดีที่เพียงขณะนั้นมีร่างสีดำหนึ่งออกมาจากปราสาทและพุ่งตรงเข้าใส่หวังหลินทันที
เซียนรอบด้านหนึ่งในนั้นอุทานขึ้นมา “องครักษ์เทพ!” ไม่มีใครรู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือเขาประหลาดใจจริงๆ
ใบหน้าหวังหลินยังคงสงบนิ่และไม่ได้มองคนที่กำลังพุ่งออกมาจากปราสาทเลยแม้แต่น้อย หวังหลินก้าวเท้าเข้ามาและเร่ิมเดินเข้าหาปราสาท แม้ความเร็วไม่ได้มากมายแต่ทำให้สายตาทุกคนขมวดเข้าด้วยกัน
ตอนนี้ในสายตาพวกเซียน มองหวังหลินราวกับกำลังมองผู้อาวุโสของสำนักตนเอง กลิ่นอายและสัมผัสนั้นไม่ใช่สิ่งที่เซียนทั่วไปควรมี!
มีเพียงผู้ที่มีระดับความมั่นใจในระดับบ่มเพาะของตัวเองเท่านั้นที่จะสามารถปลดปล่อยกลิ่นอายเช่นนี้ได้!
ศิษย์กองกำลังสีฟ้ามองหวังหลินด้วยสีหน้าอันซับซ้อน เขาได้ยินข่าวเรื่องหวังหลินมาบ้างและเห็นการต่อสู้ของหวังหลินกับเฉินต้าวเพื่อตำแหน่งศิษย์สาสยตรง ตอนนั้นด้วยประสิทธิภาพของหวังหลินจึงทำให้คนจำนวนมากให้ความสนใจ ทว่ามันยังเป็นเพียงแค่ความสนใจเท่านั้น ระดับบ่มเพาะของหวังหลินไม่ได้สูงส่งเพียงพอ
ทว่าตอนนี้เขาไม่กล้าประเมินหวังหลินต่ำไปอีกเลย ไม่เพียงแค่หวังหลินจะเป็นคนที่สามารถบรรลุขั้นเทวะได้ในช่วงเวลาสั้นๆเท่าน้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือตอนที่เขาเห็นหวังหลิน หวังหลินสามารถให้ความรู้สึกตอนที่เขามองเทียนหยุน
แม้ความรู้สึกนี้ไม่ได้รุนแรง แต่มันมีตัวตนจริง นอกจากนั้นเขาคือศิษย์ของสำนักชะตาสวรรค์และเทียนหยุน ซึ่งมีภูมิความรู้ที่ดี เขาจึงรู้ว่านี่คือภาพลักษณ์แห่งเต๋าโดยธรรมชาติ!
การส่งความรู้สึกนี้ออกมาได้นั่นหมายถึงหวังหลินมีเต๋าของตนเอง! ในโลกแห่งเซียนคนที่มีเต๋าของตนเองเก็บไว้ในจิตใจนั้นคือได้รับการรู้แจ้งและยังสามารถรวมเข้ากับมันได้ด้วย เป็นคนที่มีคุณสมบัติในการสร้างรากฐานในโลกใบนี้ได้!
ความจริงแล้วเซียนทั้งหมดมีเต๋าของตัวเอง แต่การจะควบแน่นให้เป็นรูปร่างนั้นหาได้ยากยิ่งกว่ายาก
“เขา…เขาบรรลุระดับนี้แล้วจริงๆ…” ชายชุดฟ้ารู้สึกละอายอย่างยิ่ง ตอนนี้เขาลืมเลือนเรื่องเมล็ดเทพในร่างกาย จิตใจทั้งหมดที่คิดคือความแตกต่างระหว่างหวังหลินผู้มาจากดาวไร้ค่าเช่นซูซาคุและถูกทุกคนเยาะเย้ย กลายเป็นคนที่มีเต๋าของตนเองจนถือไ้ด้ว่าเป็นปรมาจารย์แห่งรุ่น
ส่วนหวังหลินที่เดินมาข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ร่างเงานั้นเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วและเมื่อมันอยู่ภายในระยะร้อยฟุตของหวังหลิน มันใช้วิชาหลากหลายอย่าง วิชาของเขาคล้ายคลึงกับอสูร มันเปลี่ยนเป็นอสูรดุร้ายหลายตัวเปิดกรามขึ้นมาเพื่อหวังตะครุบหวังหลิน
“เมื่อไร้เขตแดนของเซียนขั้นเทวะ แม้จะมีพลังอำนาจของเซียนเทวะก็เท่ากับกระดองว่างเปล่า เพียงแค่เป่า…”
หวังหลินชี้นิ้วและเอ่ยบางเบา “…ก็ทำลายได้แล้ว!”
แสงสีดำกระพริบออกมาจากนิ้วมือ เปลี่ยนเป็นควันสีดำหนึ่งเส้นและพุ่งออกไป หลังจากหวังหลินบรรลุขั้นเทวะ วิญญาณดั้งเดิมและเขตแดนหลอมรวมกันจนเขามีพลังดั้งเดิม เพียงแค่ยกมือขึ้นมา หวังหลินจึงใช้การผสานเขตแดนและปราณสวรรค์เข้าร่วมดวย เขายังมีเต๋าของตัวเองดังนั้นวิชาของเขาทั้งหมดจึงแฝงเต๋าเข้าไปด้วย
ดัชนีแห่งความตายเข้าไปใกล้แฝงด้วยเต๋าของหวังหลินอยู่ภายใน แทงทะลุผ่านอสูรมายาหลายตัวและแทงทะลุผ่านหน้าอกชายชุดดำ!
อสูรดุร้ายมากมายแตกสลายและชายชุดดำตายทันที!
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการหลบ แต่เขาเป็นคนที่ฝืนบรรลุขั้นเทวะขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะหลบวิชาของคนที่บรรลุขั้นเทวะจริงๆได้!
“เจ้าเป็นใคร?” น้ำเสียงอันทรงเกียรติดังออกมาภายในปราสาท
แม้กระทั่งตอนนี้ หวังหลินยังไม่หยุดเดินเข้าหาปราสาทสีขาวเลยแม้แต่น้อย