625. ฉิงซวง
ร่างชายชราตัวเตี้ยสั่นเทาแต่ดวงตายังปูดพอง “ข้าเป็นเทพ เจ้ายังกล้าหยาบคายกับข้า…”
ไม่รอให้ชายชราพูดจบ หวังหลินขมวดคิ้วและมองมาอย่างเย็นชา เขาค่อยๆยกมือขวาขึ้นมาพร้อมกับแสงชั่วร้ายปรากฏในกำมือ หวังหลินไม่ใส่ใจชายชราไร้สาระคนนี้อีก วิชาค้นวิญญาณในฝ่ามือกดประทับกับหน้าผากฝ่ายตรงข้าม
ชายชรากรีดร้องอย่างหมดหนทางและเพราะร่างกายถูกมัดด้วยตาข่ายจับเทพเขาจึงไม่สามารถหลบไปไหนได้ง่ายๆ พลันร้องตะโกนด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ข้าจะพูดแล้ว! ข้าจะพูดแล้ว!”
หวังหลินไม่ได้หยุดและกำลังจะกดมือขวาลง ทว่าท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อยและหยุดแขน ด้านนอกหอคอยมีเส้นทางหนึ่งผ่าเปิดออกมาภายในก้อนเมฆเหนือเผ่าหลอมวิญญาณ เสียงดาบร้องหึ่งๆแทงทะลุผ่านท้องฟ้าออกมา
ดาบสีดำเคลื่อนไหวรวดเร็วดุจสายฟ้าและเข้ามาใกล้หอคอยในพริบตา ฉวี่ลี่กั๋วอยู่ข้างในดาบดำและกำลังถือพู่กันในมือไปด้วย มันเข้ามาในหอคอยทันที กล่าวอย่างเร่งรีบด้วยใบหน้าอ้อนวอน “นายท่าน ฉวี่น้อยนำสมบัติมาให้ท่านแล้ว นายท่านข้าพยายามแทบตาย ไม่รู้ว่าสมบัติจะวิ่งหนีเร็วขนาดนี้!”
“ไม่เลว!” หวังหลินพยักหน้าและยื่นมือขวาออกไป เมื่อพู่กันลอยเข้าสู่ฝ่ามือ หวังหลินพลันสัมผัสพลังปราณสวรรค์ที่กำลังโคจรภายในพู่กันได้ทันที ทั้งยังมีแรงกดดันแข็งแกร่งบรรจุอยู่ข้างในด้วย
หลังจากได้ยินเสียงชมของหวังหลิน ฉวี่ลี่กั๋วยิ้มกว้าง หลังจากมันทรยศล้มเหลวมันก็เริ่มมองหาโอกาสที่จะได้ทำดีกู้ชื่อเสียกลับมา คราวนี้ในที่สุดมันก็ได้รับโอกาส
หวังหลินเมินเฉยฉวี่ลี่กั๋วและดาบครึ่งจันทรา เขาจับพู่กันและหลับตาอย่างช้าๆ จากนั้นกระตุ้นปราณสวรรค์ในร่างกายค่อยๆใส่เข้าไปในพู่กัน
ชั่วขณะนั้นแสงสีทองปรากฏบนปลายพู่กัน ขณะที่ปราณสวรรค์ของหวังหลินเข้าไปข้างในมันก็เริ่มส่องสว่างเจิดจ้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดแสงนั้นก็ส่องสว่างทั้งหอคอย มองไกลๆดูราวกับหอคอยกำลังเรืองแสงสีทองสว่างไสว
สมาชิกเผ่าทั้งหมดต่างแสดงความจงรักภักดีด้วยการคุกเข่าลงและโค้งตัวเข้าหาหอคอย
ชายชราที่ถูกตาข่ายจับเทพขังเอาไว้อดไม่ได้ที่จะหดสายตาลงเมื่อเห็นแสงแพรวพราวที่ปลดปล่อยออกมาภายในมือหวังหลิน เขาสัมผัสความขมขื่นในใจ ตอนที่เขาหยิบพู่กันขึ้นมาคราวก่อนมันก็มีแสงสีทองด้วย ทว่าเมื่อเทียบกับแสงสีทองที่กำลังสว่างไสวอยู่ตรงหน้าแล้ว คนตรงหน้าดุจแสงอาทิตย์และส่วนของเขาดุจหิ่งห้อย
‘ฮึ่ม เช่นนั้นเขาจะทำให้แสงทองทรงพลังนั้นสร้างอะไรได้กัน? ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะเข้าใจวิธีการใช้สมบัติสวรรค์นี้โดยไม่ต้องได้รับการชี้แนะจากข้า ต้องกล่าวว่าเมื่อก่อนนั้นหากไม่มีหินหยก ข้าก็คงไม่อาจหาวิธีการใช้พู่กันสวรรค์ได้…แน่นอนว่ามันต้องใช้ความเข้าใจของตนเองด้วย!’ ขณะที่ชายชรากำลังคิดเช่นนี้ ดวงตาพลันมีความภูมิใจอยู่เล็กๆ
ทว่าความภูมิใจในสายตาพลันเปลี่ยนเป็นงุนงงอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนเป็นตกตะลึงอีกที!
เขาเห็นหวังหลินลืมตาขึ้นทันใดและวาดสัญลักษณ์หนึ่งทึบเพียงวาดมือครั้งเดียว
“….นี่….นี่มันเป็นไปไม่ได้…ใช่แล้ว เขาต้องได้รับความเข้าใจมาจากข้าเท่านั้นซึ่งหลังจากเห็นข้าใช้มันจึงสามารถเรียนรูได้ ใช่แล้วมันต้องเป็นแบบนั้นแน่!” ขณะที่ชายชรากำลังคิดเช่นนี้ ฉากเหตุการณ์ถัดไปยิ่งทำให้เขากรีดร้องออกมาเสียงดัง
สายตาหวังหลินตอนนี้ดูเหมือนจะบรรจุแสงสีทองเอาไว้เล็กๆ เขาสะบัดแขนอีกครั้งเพิ่มอีกหนึ่งเส้นทึบให้ก่อเกิดเป็นสัญลักษณ์สองสาย
แขนขวาหวังหลินไม่ได้หยุดชะงักสร้างอีกหนึ่งเส้นถัดมาอีก ตอนนี้มีสัญลักษณ์สามเส้นทึบที่เรืองแสงราวกับดวงอาทิตย์ปรากฏเบื้องหน้า!
ขณะที่สัญลักษณ์นี้ถูกสร้างขึ้นมา ปราณสวรรค์ในร่างหวังหลินถูกกระตุ้นขึ้นมาด้วยตัวเองและเข้าไปในสัญลักษณ์นั้น!
ในสายตาของฉวี่ลี่กั๋วและชายชราตัวเตี้ย สัญลักษณ์สามเส้นให้ความรู้สึกอันสมบูรณ์แบบ ราวกับมีเต๋าแห่งสวรรค์ประทับอยู่ข้างในสัญลักษณ์นี้
คลื่นแสงสีทองหลายเส้นกระจายออกมาจากสัญลักษณ์ ซึมออกมาจากหอคอยและแทนที่แสงจากปลายพู่กันไปหมดสิ้น แสงสีทองล้อมรอบทั่วทั้งฟ้าดิน ก้อนเมฆสีดำได้ถูกธงวิญญาณสลายทันทีและถดถอยเปิดให้เห็นท้องฟ้าสีฟ้าครามชัดเจน!
ดวงตาหวังหลินเรืองแสงสีทอง ฝ่ามือหยุดเคลื่อนไหวในอากาศหลังจากวาดเส้นที่สาม
เสื้อคลุมสีขาวสะบัดพริ้วโดยไร้แรงลม เส้นผมขาวลู่ลงไปด้านหลัง กลิ่นอายแห่งเทพพลันกระจายออกมาจากร่างกายหวังหลิน
หวังหลินถือพู่กันสวรรค์ราวกับเป็นเทพ สัญลักษณ์สีทองดูเหมือนจะบรรจุเต๋าแห่งสวรรค์และกลิ่นอายแห่งอำนาจเอาไว้!
ฉวี่ลี่กั๋วตะลึงงันโดยสิ้นเชิง แสงสีทองที่กำลังออกมาจากหวังหลินทำให้สายตามันเจ็บปวด แสงสีทองทำให้มันรู้สึกราวกับกำลังเผชิญอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถต่อต้านได้ ราวกับหากหวังหลินเพียงแค่คิดก็ทำให้มันเลือนหายไปได้อย่างสมบูรณ์
แม้มันจะเคยเผชิญกับความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่ไม่เคยรุนแรงเท่าครั้งนี้ ตอนนี้ความรู้สึกประทับอยู่ส่วนลึกในใจของมัน
ส่วนชายชราตัวเตี้ยพลันจ้องหวังหลินอย่างตกตะลึง ดวงตาตื่นตกใจอย่างปิดไม่มิดและอุทานออกมา “เทพ…จักรพรรดิเทพ!”
หวังหลินสูดหายใจลึกและชี้ไปที่สัญลักษณ์เบื้องหน้า สัญลักษณ์กระจายหายกลายเป็นละอองแสงในทันที มันลอยออกไปจากหอคอยและรวมเข้ากับโลก
“ตอนนี้จงบอกตัวตนของเจ้ามา!” แสงสีทองในดวงตาหวังหลินค่อยๆเลือนหายอย่างช้าๆ ทว่าสายตาเขาดุจประกายสายฟ้าแทงทะลุผ่านดวงตาชยชราและจ้องเข้าไปในส่วนลึกของเขาตรงๆ
หวังหลินเคยใช้สำเนียงมารสวรรค์ น้ำเสียงหวังหลินจึงบรรจุพลังมารพร้อมกับเข้าไปในหูชายชราและพัวพันเข้ากับวิญญาณดั้งเดิมของชายชรา
เหตุผลที่หวังหลินไม่ใช้วิชาค้นวิญญาณก็เพราะแม้ว่าชายชราจะเป็นขั้นเทวะระดับกลางที่ว่างเปล่า วิญญาณดั้งเดิมของเขาแตกต่างอย่างมากจากองครักษ์เทพ ด้วยความระมัดระวังของหวังหลินเขาจึงไม่ได้ใช้วิชาค้นวิญญาณอย่างลวกๆเว้นแต่จะมีเหตุจำเป็นหรือไม่ก็สถานการณ์เข้าตาจน
ดวงตาชายชรากลวงโบ๋และพึมพำ “ข้ามาจากสำนักขนนกพิสุทธิ์ และข้าชื่อฮวงยู่ ข้าเข้ามาในดินแดนวิญญาณปิศาจแห่งนี้ก็เพราะถูกศัตรูตามล่า หลังจากนั้นมาข้าไม่กล้าออกไปไหนและตัดสินใจพักอยู่ที่นี่ ตราบใดที่ข้าระวังตัวจะไม่มีอันตรายใดเกิดขึ้น”
หวังหลินถามขึ้นและดวงตาส่องสว่าง “เจ้าได้เมล็ดเทพมาจากไหนและสมบัติเทพเล่า? ดินแดนวิญญาณปิศาจหรือ?”
ชายชรากล่าวออกมา “ตอนที่ข้ามาถึงที่นี่ ข้าบังเอิญเข้าไปในถ้ำร้างและได้รับมาจากที่นั่น”
“เจ้าได้อะไรอื่นอีกนอกจากเมล็ดเทพและพู่กันสวรรค์?” สายตาหวังหลินแฝงอาการคลั่งไคล้
ชายชราพึมพำ “ข้าได้กระเป๋ามาทั้งหมดสองใบ หนึ่งในนั้นไม่มีสัมผัสวิญญาณประทับเอาไว้ มีตาข่ายจับเทพและของื่นๆรวมถึงหินหยก…อีกชิ้นถูกสัมผัสวิญญาณประทับเอาไว้ข้าจึงไม่สามารถเปิดมันได้แต่ว่มันถูกคนอื่นขโมยไปแล้ว”
หวังหลินกล่าวขึ้นด้วยสายตาเคร่งขรึม “ใครขโมยกระเป๋าใบนั้นไป?”
“เป็นเซียนคู่รัก โชคดีที่ข้าแบ่งสองกระเป๋าและประทับสัมผัสวิญญาณของข้าลงอีกใบ ไม่เช่นนั้นมันคงขโมยไปทั้งสอง” สายตาชายชรายิ่งกลวงโบ๋ขึ้นแต่เมื่อกำลังพูดเรื่องนี้พลันสายตาแฝงความเกลียดชัง เห็นได้ชัดว่ามันเป็นระเบิดชิ้นใหญ่สำหรับเขา
นี่เป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง ใครก็ตามที่พึ่งได้รับสมบัติมหาศาลมาจากการฉกฉวยจะไม่ลืมความรู้สึกของการพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในชั่วชีวิตและการตกลงมาในทันที
หลังจากหวังหลินสอบถามการปรากฏตัวของเซียนคู่รัก เขาเอ่ยถามขึ้นอีก “หินหยกนั้นบันทึกอะไรเอาไว้?”
ชายชรากล่าวอย่างช้าๆ “มันบันทึกวิธีใช้สมบัติเทพกลายอย่างและวิชาเทพด้วย ทั้งยังรวมวิธีการสร้างหุ่นเชิดองครักษ์เทพ ทว่ายังมีกฏเกณฑ์หนึ่งอยู่บนหินหยก ข้าจึงไม่สามารถเห็นเนื้อหาทั้งหมดได้”
เขายังคงถูกแสงสีทองในดวงตาหวังหลินจับจ้องและด้วยสำเนียงมารสวรรค์ซึ่งกำลังสื่อว่าว่าเขาไม่มีวันโกหก ทุกอย่างที่เขาพูดออกมาล้วนเป็นความจริง!
“หินหยกอยู่ไหน?” ดวงตาหวังหลินส่องสว่าง
“ในกระเป๋าของข้า…”
“ตาข่ายจับเทพจับไว้ได้นานแค่ไหน?”
“สามวัน”
หวังหลินสะบัดแขนเสื้อและส่งปราณสวรรค์หนึ่งสายเข้าไปในร่างชายชราเพื่อผนึกวิญญาณดั้งเดิมของเขาเอาไว้ จากนั้นหวังหลินหลับตาและนั่งสมาธิเพื่อบ่มเพาะ ส่วนชายชราสลบลงไป ทว่าค่ายกลกระบี่สามพรสวรรค์ยังคงรออยู่
เวลาสามวันกระพริบผ่านไป ในวันที่สาม ตาข่ายจับเทพที่ขังชายชราเอาไว้พลันปลดปล่อยแสงกระพริบสีเขียวหนึ่งครั้ง มันทิ้งชายชราและลอยไปด้านข้างเปลี่ยนเป็นตาข่ายสีเขียวขนาดเท่าฝ่ามือ
หวังหลินลืมตาและยื่นมือขวาออกไปทันทีพร้อมกันนั้นกระเป๋าของชายชราลอยเข้าไปในมือหวังหลิน หวังหลินตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณและจากนั้นขมวดคิ้วบาง เขายื่นมือออกไปอีกครั้งและคว้าชายชรา หลังเขย่าตัวอีกฝ่ายมีกระเป๋ามากกว่าสิบใบตกลงมาจากทุกส่วนของร่างกาย
หวังหลินโยนชายชราไปด้านข้างอย่างลวกๆ จากนั้นค่ายกลกระบี่สามพรสวรรค์ลอยเข้าหาชายชราอย่างรวดเร็ซและกังขังชายชราที่ไร้สติเอาไว้
กระเป๋าถูกหวังหลินตรวจสอบทีละชิ้น จนกระทั่งสายตาตกลงบนกระเป๋าที่ดูธรรมดามาก เมื่อกวาดสัมผัสวิญญาณของชายชราออกไป หวังหลินใส่สัมผัสวิญญาณของตัวเองเข้าไปข้างใน
กระเป๋าใบนี้ไม่มีสิ่งใดนอกจากหินหยก ทั้งหมดเป็นหินหยกแบบเดียวกัน!
หลังตรวจสอบหินหยกในกระเป๋า ดวงตาหวังหลินพลันขมวดเข้าด้วยกัน จิตใจเต้นระรัว เคลื่อนมือขวาและหินหยกสีเขียวก้อนหนึ่งปรากฏในฝ่ามือ
หินหยกนี้ไม่ได้สร้างขึ้นจากหินวิญญาณหรือหยกสวรรค์แต่เป็นวัตถุดิบที่หวังหลินไม่เคยเห็นมาก่อน มันดูไม่เหมือนไม้หรือก้อนหินและเมื่อถือไว้บนมือ กลิ่นอายอบอุ่นพลันล้อมรอบร่างกายเขา
หวังหลินส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในหินหยกและในชั่วขณะนั้นสีหน้าอาการหวังหลินพลันเปลี่ยนไป ดวงตาส่องแสงเจิดจ้าก่อนที่จะค่อยๆหมองลง ความสนใจทั้งหมดของเขาตกลงอยู่บนเนื้อหาในหินหยกและหวังหลินตกตะลึงโดยสิ้นเชิง
หินหยกชิ้นนี้บันทึกวิธีการใช้สมบัติเทพทั้งสามชิ้นเอาไว้และวิชาเทพของจริง!
“ฉิงซวง เจ้าพึ่งกลายเป็นแม่ทัพเทพแดนสวรรค์พิรุณ สำหรับคนเป็นพ่อ นี่คือของขวัญที่ข้ามอบให้ สมบัติเทพทั้งสามชิ้นนี้ข้าสร้างขึ้นมาให้เจ้าโดยเฉพาะ ส่วนวิชาเทพนั้นแม้ว่ามันจะมีระดับไม่สูงแต่มันน่าสนใจอย่างยิ่ง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะชอบมัน…”