636. ตำแหน่งผนึก
หลังบดขยี้เส้นผมที่บรรจุสัมผัสวิญญาณที่แทบตรวจจับไม่ได้ หวังหลินสีหน้าเย็นเยียบอย่างยิ่ง สัมผัสวิญญาณของนางซ่อนไว้ได้อย่างแนบเนียน หากไม่ใช่ว่าหวังหลินเพิ่มความระมัดระวังฉีเฟยไว้ด้วย มันคงหลีกเลี่ยงการตรวจจับของหวังหลินได้ในชั่วขณะนั้น
“วิชาของสำนักซากศพช่างน่าอัศจรรย์จริง วิชาที่ซ่อนสัมผัสวิญญาณมักจะยากมากเสมอ ดูเหมือนว่าข้าต้องระมัดระวังให้มากขึ้นในอนาคต ฉีเฟยสามารถส่งสัมผัสวิญญาณออกมาได้นั่นหมายความว่านางเป็นร่างจริงๆ และหมายความว่าจ้าวยี่ซวนเป็นหุ่นเชิดซากศพ…”
หวังหลินขบคิด เหตุผลที่เขาสามารถรู้ตัวตนของฉีเฟยได้เนื่องมาจากซุนไท่ ทาสรับใช้ที่โจวยี่บังคับให้เป็นของเขาเมื่อตอนนั้น
ซุนไท่มีหุ่นเชิดซากศพที่เป็นเด็กน้อยแต่กลับมีสติปัญญาและระดับบ่มเพาะสูงกว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาต่างเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง มันไม่ใช่หุ่นเชิดธรรมดาแต่เหมือนกับเป็นตัวตนของตัวเอง
เมื่อคิดเรื่องหุ่นเชิดของซุนไท่ หวังหลินจึงอดคิดถึงซือถูหนานไม่ได้
“ไม่รู้ว่าตอนนี้ซือถูไปอยู่ไหน แต่เขาต้องอาศัยอยู่บนดาวเซียนไหนสักแห่งและใช้ชีวิตเป็นราชาท่ามกลางคนธรรมดาแน่…” แววตาหวังหลินรำลึกถึง ขณะนั้นหวังหลินดูเหมือนคนธรรมดาที่กำลังนึกถึงสหาย
“ซุนไท่ด้วยเช่นกัน เขาเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสของสำนักซากศพบนดาวซูซาคุ ถูกพลังสายเลือดของบรรพชนเผ่ามารยักษ์โยนออกไปในอวกาศ ตอนนี้เขาอยู่ไหนไม่มีใครรู้”
หวังหลินสูดหายใจลึกพร้อมกับรวบรวมความคิด ดวงตาส่องสว่างขึ้นมองไปที่รอยแตกรอบๆตัว หวังหลินไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายของโจวยี่ได้ดังนั้นเขาจึงต้องค้นหาพวกมันด้วยตัวเองทีละจุด
“ผู้อาวุโสโจวยี่ถูกหลิงเทียนโฮวผนึกไว้ที่นี่ เช่นนั้นรอยแตกที่มีผนึกต้องมีกลิ่นอายของหลิงเทียนโฮว!” ดวงตาหวังหลินหรี่แคบลง จากนั้นกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาเพื่อตรวจสอบรอยแตกรอบๆตัวเอง
หลังผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง หวังหลินขมวดคิ้ว
เขาตรวจสอบรอยแตกรอบๆทั้งหมดแต่ไม่พบร่องรอยของโจวยี่เลย
หวังหลินจับกระเป๋านำผลึกของเป้ยหลัวออกมาใส่สัมผัสวิญญาณของตนเองลงไป หลังจากนั้นไม่นานคิ้วหวังหลินขมวดเข้าด้วยกันยิ่งกว่าเดิมและถอนสัมผัสวิญญาณออกจากผลึก
“หากเป้ยหลัวไม่โกหก เช่นนั้นที่นี่คือตำแหน่งที่เขาพบโจวยี่!” หวังหลินเริ่มคิด
“เป้ยหลัวไม่น่าจะโกหกเรื่องนี้ มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาเลยสักนิด อีกทั้งไม่มีเหตุผลที่เขาจะทำเรื่องไร้ประโยชน์กับข้า…หากเขาต้องการลงมือกับข้า ไม่มีเหตุผลจำเป็นที่จะต้องใช้เล่ห์เลี่ยม เขาสามารถโจมตีข้าได้ตรงๆ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาตอนนี้คือการกลืนกินปิศาจโบราณตนอื่น…”
“เว้นแต่…เว้นแต่เขาจะหลอกข้าเข้ามาฆ่าที่นี่ด้วยการยืมมีดสังหาร!” หวังหลินเผยสายตาเยือกเย็นและกวาดสัมผัสวิญญาณไปทั่วบริเวณอีกครั้ง พลันส่ายศีรษะ
“หากเขาพูดว่าโจวยี่อยู่ใต้ก้นเหวนรก เป็นไปได้ว่าเขาต้องการสังหารข้าด้วยการยืมมีดฆ่าคน อย่างไรก็ตามที่นี่กลับดูธรรมดาอย่างยิ่ง…”
ขณะที่หวังหลินขบคิด เขากระจายสัมผัสวิญญาณออกมา ขณะเดียวกันก็ค้นผ่านรอยแตกทุกแห่งอย่างระมัดระวัง แต่ผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม
หวังหลินครุ่นคิด หลังผ่านไปเวลาอีกหลายลมหายใจ จึงนำธงวิญญาณออกมาสะบัดหนึ่งครั้ง ดวงวิญญาณหนึ่งพันตัวลอยละล่อง หวังหลินควบคุมเหล่าดวงวิญญาณเพื่อเข้าไปในรอยแตกทุกแห่ง
จากนั้นหลับตาและส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในวิญญาณแต่ละดวง วิธีนี้เขาสามารถเข้าไปในรอยแตกด้วยตัวเองได้และสามารถค้นหาได้เช่นกัน
คราวนี้ไปได้ทั่วถึงมากกว่าเดิม หวังหลินไม่ปล่อยให้ร่องรอยใดๆหลุดรอดไปได้
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง ดวงวิญญาณทั้งหมดลอยกลับมา หวังหลินลืมตาขึ้นและสีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่ชอบใจอย่างยิ่ง
“ข้าค้นหาทุกซอกทุกมุมของรอยแตกแต่ยังไม่เจอตัวตนของโจวยี่เลย! หรือปิศาจโบราณเป้ยหลัวจะหลอกข้ามาท่ีนี่จริงๆ?” หวังหลินสะบัดแขนเสื้อและดวงตาเยือกเย็น อย่างไรก็ตามทันใดนั้นสายตาก็ขมวดเข้าด้วยกัน
“ผิดแล้ว! หากข้าเป็นหลิงเทียนโฮว ข้าจะไม่ผนึกใครในสถานที่ที่เห็นได้ชัดเจน หากข้าเป็นหลิงเทียนโฮว…” หวังหลินขบคิด ปราณกระบี่ที่เขาเหลืออยู่หนึ่งสายพลันเคลื่อนผ่านร่างกาย ซึ่งทำให้หวังหลินสามารถหยิบยืมเสี้ยวเขตแดนของหลิงเทียนโฮวได้
สายตาครุ่นคิดของหวังหลินค่อยๆหายไปและถูกแทนที่ด้วยสายตาแห่งความเผด็จกาจ
เขตแดนของหลิงเทียนโฮวคือทรราชย์ ใช้ความเผด็จการต่อต้านสวรรค์และสร้างเส้นทางของตัวเองขึ้นมา ปราณกระบี่เคลื่อนผ่านร่างหวังหลินไปและสายตาแห่งอำนาจกดขี่ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
“หากข้าต้องการผนึกวิญญาณกระบี่ที่กำลังตามล่าข้า…ข้าจะไม่ผนึกมันง่ายๆ ข้าจะทำให้มันดิ้นรนต่อต้านการปกครองของข้า หากมันไม่ยอมอ่อนข้อ ข้าจะผนึกมันอีกพันปี หากยังไม่ยอมอีกข้าจะผนึกมันอีกหมื่นปี หากยังอีกข้าจะทำลายวิญญาณของมันแล้วหลอมเป็นสมบัติแห่งเผด็จการ!”
“ข้าจะไม่เลือกรอยแตกที่เห็นได้ชัดพวกนี้ หากข้าเลือกที่นี่ข้าต้องมีเหตุผล…หากข้าผนึกมันข้าจะเลือก…” สายตาแห่งทรราชย์ทรงพลังขึ้นราวกับเขาอยู่เหนือโลกใบนี้ กวาดผ่านร่องรอยแตกร้าวแต่ละแห่ง
สายตาแห่งอำนาจเผด็จการในหวังหลินค่อยๆหายไปและหยดเหงื่อเม็ดโตไหลรินจากหน้าผาก ชั่วขณะนั้นสายตาแห่งอำนาจเผด็จการได้หายไปจากร่างหวังหลินและใบหน้าซีดเผือด
“เขตแดนในปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮวมีอำนาจกดขี่มากเกินไป แค่พยายามหยิบยืมเศษเสี้ยวเขตแดนยังเกือบทำให้ข้าบาดเจ็บ” หวังหลินสูดหายใจลึกใช้ปราณสวรรค์หมุนวนในร่างกาย เขาตบกระเป๋านำกระบี่สวรรค์และดาบครึ่งจันทราออกมา
หวังหลินคว้ากระบี่สวรรค์ด้วยมือขวาและก้าวไปข้างหน้า ปลดปล่อยปราณกระบี่ก่อเกิดเป็นวังวนปราณกระบี่โดยมีหวังหลินเป็นจุดศูนย์กลาง
“ทำลาย!” หวังหลินคำรามและหยุดทันที พริบตาเดียววังวนพลังกระบี่แตกกระจายและปราณกระบี่พุ่งออกไปทุกทิศทาง รอยแตกร้าวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นใกล้ช่องว่างด้านข้างหน้าผา เสียงแตกร้าวดังต่อเนื่องและในไม่นาน มันก็กระจายไปกว้างกว่าพันฟุตทั้งบนและล่างของหน้าผา
“แตกไปซะ!” เสียงหวังหลินดุจฟ้าผ่าลงมาดังกึกก้องผ่านเหวนรก รอยร้าวปรากฏขึ้นบนหน้าผาและดินมากมายหล่นลงมา
แนวด้านข้างเหวนรกหายไปหนึ่งนิ้วหลังจากปราณกระบี่ของหวังหลินกวาดผ่านไป
หวังหลินใช้ปราณกระบี่ขึ้นอีกครั้ง ปราณกระบี่ถูกส่งออกไปและต่อเนื่องกันจนหน้าผาถูกแซะอย่างรวดเร็ว ผ่านไปสิบห้านาทีได้มีหลุมเล็กๆหนึ่งปรากฏขึ้นมาและมีกลิ่นอายเบาบางออกมาจากหลุมนั้น
กลิ่นอายนี้ไม่ได้เป็นของโจวยี่แต่กลับมีอำนาจเผด็จการอย่างยิ่ง
หวังหลินสร้างผนึกในมือขึ้นและชี้ไปที่ช่องว่าง กระบี่สวรรค์ลอยออกไปหาช่องว่างพร้อมกับดาบครึ่งจันทราติดตามอย่างใกล้ชิด พริบตาเดียวรอยร้าวหนึ่งที่ซ่อนลึกลงไปในหน้าผาอีกสามสิบฟุตได้ปรากฏเบื้องหน้าหวังหลิน
ช่องว่างนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่ มันสูงเพียงห้าฟุตเท่านั้นและเป็นสีดำสนิท เมื่อสัมผัสวิญญาณของหวังหลินพยายามเข้าไป มันถูกสัมผัสวิญญาณแห่งเผด็จการผลักออกมา
ทั้งยังทำให้ร่างกายหวังหลินลอยกลับไปอีกด้วยและกระแทกใส่หน้าผาอีกด้านเสียงดังสนั่น ร่างหวังหลินถูกประทับลงไปอีกด้านของหน้าผาเข้าอย่างจัง
โลหิตในร่างพุ่งพล่านและซึมออกมาจากมุมปาก
ดวงตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นและสูดหายใจลึก จากนั้นเคลื่อนร่างและเหาะเหินออกมาจากหน้าผา การเคลื่อนไหวนี้ยิ่งทำให้ใบหน้าเขาซีดมากกว่าเดิม การปะทะของสัมผัสวิญญาณแทบทำให้วิญญาณดั้งเดิมหวังหลินเกือบแตกสลาย!
หากเขาไม่ได้บรรลุขั้นเทวะ การประทะที่ดูเรียบง่ายเมื่อครู่นั้นเพียงพอให้วิญญาณดั้งเดิมแตกเสียหายได้!
“ทรงพลังอะไรกันนี่!” หวังหลินจ้องช่องว่างนั้น แม้เขาจะไม่รู้ว่ามันลึกแค่ไหน หวังหลินกลับมั่นใจว่าโจวยี่อยู่ข้างในนี้!
เพราะสัมผัสวิญญาณที่ปะทะกับเขานั้นเป็นของคนคนเดียวกัน หลิงเทียนโฮว!
“เพียงแค่เศษเสี้ยวสัมผัสวิญญาณที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังยังเพื่อให้ฆ่าเซียนระดับต่ำกว่าขั้นเทวะได้ หลิงเทียนโฮวตอนนี้มีระดับอะไรกันแน่?”
“ขั้นปลายสูงสุดของเทวะคือจุดสิ้นสุดของก้าวแรก การผ่านบททดสอบขั้นหยินหยางถึงจะนับได้ว่าเข้าก้าวที่สอง จากนั้นก็เป็นสามขอบเขตทลายสวรรค์!”
“สามขอบเขตทลายสวรรค์คือส่องสวรรค์ ชำระสวรรค์ และทลายสวรรค์ แต่ละขั้นแบ่งออกเป็นระดับต้น กลาง ปลายและสูงสุด ครั้งหนึ่งเทียนหยุนได้บอกว่าเขาอยู่ที่ปลายสุดของขั้นที่สอง ข้าคำนวณว่าเขาอยู่ที่ขั้นทลายสวรรค์ระดับต้น หลิงเทียนโฮวและเทียนหยุนเป็นคู่แข่งกันมาหลายหมื่นปี ดังนั้นระดับบ่มเพาะของแต่ละคนไม่ได้ห่างกันมาก เขาน่าจะเป็นขั้นชำระสวรรค์ระดับสูงสุด…”
สายตาหวังหลินเผยความมุ่งมั่น เทียบกับเทียนหยุนและหลิงเทียนโฮว ระดับบ่มเพาะของเขานับว่าไม่สำคัญมาก หวังหลินกระทั่งไม่ได้บรรลุขั้นสูงสุดของก้าวแรก แต่หวังหลินเป็นคนเด็ดเดี่ยว ตั้งแต่ที่เขาก้าวสู่โลกแห่งเซียน หวังหลินพึ่งพาตัวเองเป็นส่วนใหญ่และตอนนี้เขาได้กลายเป็นขั้นเทวะที่มีอำนาจแล้ว!
แม้อำนาจของขั้นเทวะเป็นเพียงแค่มดในสายตาของเหล่าคนขั้นที่สอง แต่ในท่ามกลางของเซียนขั้นแรก เซียนขั้นเทวะยังมีพลังอำนาจมากกว่าที่คิด!
หวังหลินสูดหายใจลึกและชี้หน้าผากตนเอง พลังสังหารหนึ่งแสนสายปรากฏออกมาเปลี่ยนเป็นผนึกแห่งชีวิตล้อมรอบร่าง กล่าวให้ถูกคือมันหายไปหนึ่งสายซึ่งหวังหลินนำมันออกมารวมเข้ากับวิญญาณตนเอง
เป็นผลทำให้หวังหลินสามารถสร้างมันขึ้นมาได้เนื่องจากผนึกชีวิตเหล่านี้ไม่มีวันถูกทำลาย เว้นแต่เส้นสุดท้ายในวิญญาณดั้งเดิมจะถูกทำลายไปด้วย!
หวังหลินตบกระเป๋านำเกราะมารออกมา ควันสีดำหมุนวนรอบร่างกายเปลี่ยนเป็นชุดเกราะและมีกลิ่นอายชั่วร้ายห่อหุ้มเอาไว้
สัญลักษณ์ทองมากกว่าสิบสัญลักษณ์ที่มีเหล่าแมลงด้วยได้ลอยรอบตัวหวังหลินกลายเป็นการป้องกันอีกหนึ่งชั้น
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมด หวังหลินขบคิดและนำธงวิญญาณหนึ่งพันล้านดวงออกมา เขาสะบัดธงและมันห่อหุ้มรอบตัวเองไปด้วย ดวงวิญญาณมากกว่าร้อยล้านดวงกู่ร้องคำรามข้างในธง
หวังหลินส่งสายตามุ่งมั่นพร้อมกับก้าวไปข้างหน้าพุ่งเข้าหาช่องว่าง!