Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 667

Cover Renegade Immortal 1

667. แค่สมบัติพิเศษสำหรับหวังหลิน

ลำแสงสีแดงสายหนึ่งกำลังพุ่งทะยานบนข้ามผ่านเขตเหนือของดาราจักรทุกชั้นฟ้าและมีเสียงแก่ชรามาจากภายใน

“เม่ยเอ๋อนี่คือบ้านเกิดของอาจารย์และจะเป็นบ้านในอนาคตของเจ้า เมื่อคิดแล้วนี่มันก็พันปีได้แล้วที่ข้าจากมา ถ้าไม่ใช่เพราะหินทุกชั้นฟ้าที่ท่านบรรพชนทิ้งไว้ มันไม่ง่ายนักที่อาจารย์จะนำเจ้ามาที่นี่”

ภายในลำแสงสีแดงมีสตรีอยู่นางหนึ่ง ขณะที่นางมองไปยังจักรวาลที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้กลับไม่มีสัญญาณอะไรบ่งบอกถึงการเป็นส่วนหนึ่งกับมัน

“ดาวเคาะห์คล้ายแก้วคือดาวพันมายา นี่คือหนึ่งในห้าดาวหลักในเขตเหนือของดาราจักรทุกชั้นฟ้า เม่ยเอ๋อ จักรวาลทุกชั้นฟ้าของข้าให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับสายโลหิต หากไม่มีสายเลือดภายในตระกูล เจ้าไม่อาจฝึกฝนวิธีการที่มีระดับสูงขึ้นไปได้และจะไม่ได้รับการปกป้องจากตระกูลด้วย

“จากนี้ไปนอกจากเจ้าจะเป็นลูกศิษย์ของข้า เจ้ายังเป็นลูกบุญธรรมของข้าด้วย เมื่อกลับไปถึงดาวพันมายา ข้าจะทำพิธีถ่ายโลหิตเพื่อเปลี่ยนสายเลือดของเจ้า หลังจากนั้นเจ้าจะไม่ใช่หลิวเหมยอีกแล้วแต่เป็นฮวนเหมย! เจ้ายอมรับไหม?”

ชายชรามองหญิงสาวด้วยสายตาเปล่งประกาย เขาพึงพอใจกับลูกศิษย์คนนี้อย่างยิ่งและไม่ต้องการให้นางต้องทนทุกข์ทรมานจากประเพณีเก่าแก่ของดาราจักรทุกชั้นฟ้า หากไม่มีสายเลือดที่เหมาะสม นางก็ไม่มีสถานะใดเลย ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะใช้พิธีถ่ายโลหิตเพื่อเปลี่ยนสายเลือดของนาง

หญิงสาวครุ่นคิดสักพัก อาจารย์กล่าวถึงเรื่องนี้ระหว่างทางมาที่นี่แล้ว นางคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า “ทุกสิ่งเป็นไปตามความประสงค์ของอาจารย์”

ชายชราหัวเราะดังลั่นและมีความสุขมาก “เม่ยเอ๋อ ข้าจะฝึกฝนเลี้ยงดูเจ้าจนก้าวไปสู่เซียนขั้นที่สองอย่างแน่นอน เจ้าจะบรรลุไกลกว่าระดับขั้นทลายสวรรค์ของข้า!”

ลำแสงสีแดงพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็วทิ้งไว้แต่เสียงหัวเราะตรงไปยังดาวพันมายาที่สว่างไสว

นางมองไปยังดาวพันมายาและคิดขึ้นในใจ “การเดินทางมาที่ดาราจักรทุกชั้นฟ้าแห่งนี้คือชีวิตใหม่สำหรับข้า…หวังหลินและทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนดาวซูซาคุเป็นเพียงอดีต ด้วยพรสวรรค์ของเขาคงไม่อาจไปถึงขั้นเทวะเลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังไม่แน่ใจว่าตอนที่เขาทะลวงเข้าสู่ขั้นเทวะจะสามารถผ่านบททดสอบแห่งชีวิตและความตายได้หรือไม่

“ความแตกต่างระหว่างเขากับข้ากำลังกว้างขึ้นและกว้างขึ้น เขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นศัตรูของข้า แต่น่าเสียดายสมบัติพิเศษที่ข้าเตรียมไว้ใช้สำหรับเขาจะไม่มีวันได้ใช้” นางสูดหายใจเข้าลึกๆ พลันหวนคิดถึงสมบัติวิเศษที่ได้เตรียมไว้สำหรับหวังหลิน แววตาดูคล้ายปวดร้าวแต่สักพักก็กลับมาเป็นปกติ

“เขาอาจจะยังคงอยู่บนดาวซูซาคุ เทียบกับข้า….เราไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอีกแล้ว”

ลำแสงสีแดงพุ่งเข้าไปในดาวพันมายาและเลือนหายไป

ณ ดาวรานหยุน หินหยกสวรรค์จำนวนมากรายล้อมร่างหวังหลินค่อยๆถูกหวังหลินดูดกลืนปราณสวรรค์ไป หลังผ่านไปเจ็ดวันเขาก็ลืมตาขึ้น สายฟ้าแล่นภายในดวงตาทำให้ดูประหลาดอย่างยิ่ง

หลังจากที่สูดลมหายใจเฮือกใหญ่และดูดกลืนปรานสวรรค์ที่เหลืออยู่ หินหยกสวรรค์จำนวนมากสลายกลายเป็นฝุ่น ดูเหมือนหวังหลินจะรับรู้บางอย่างข้างนอกได้ จึงลุกขึ้นและเดินออกไป

เด็กหนุ่มใต้ก้อนหินยังคงบ่มเพาะอยู่ เขาพ่นควันออกมาสองสายล้อมรอบตัวเองก่อนจะค่อยๆเลือนหายไป

นางลืมตาขึ้นมองไปบนท้องฟ้าและพึมพำ “แม้พรสวรรค์ข้าไม่ดีนักแต่ด้วยความหมั่นเพียร วันหนึ่งข้าจะบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลางได้”

ขณะนั้นนางขมวดคิ้ว มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาหานาง คนผู้นี้มีเรือนผมสีดำและสวมชุดคลุมสีม่วงไม่มีการประดับตกแต่งอะไรเลย

คนผู้นี้ดูแล้วอายุราวๆสามสิบปีเท่านั้น เขาดูหล่อมากและแผ่กลิ่นอายดุดันออกมาจนทำให้เขาดูโดดเด่น ขณะที่ยืนอยู่ที่นี่เสมือนกับว่าเขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อมจนแยกไม่ออก

เขาไพล่มือไว้ด้านหลัง มองทางเข้ามาราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง

เมื่อรับรู้ถึงสายตาของชายหนุ่มใต้ก้อนหิน เขาจึงมองไปที่ชายหนุ่มคนนั้นและไม่ให้ความสนใจกับนางอีก

ชายหนุ่มใต้ก้อนหินขมวดคิ้วยิ่งขึ้น นางไม่สามารถมองเห็นระดับการบ่มเพาะของเขาได้แต่นางก็รู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นคนที่นางไม่ควรตอแยด้วย นางรู้สึกถึงสัมผัสแห่งหายนะที่ออกมาจากวิญญาณ

แสงสว่างกระพริบที่ทางเข้าห้องหนึ่งพร้อมกับมีคนเดินออกมา ซึ่งก็คือหวังหลิน

ขณะที่เขาปรากฏตัวขึ้น คนที่สวมชุดคลุมสีม่วงก็เข้ามาถึงทันที สัมผัสแห่งองอาจและอำนาจแผ่ออกมาจากร่างของหวังหลิน

เจตนาต่อสู้อันเลือนลางออกมาจากชายชุดสีม่วงแต่เขาก็ฝืนระงับไว้ทันที นอกจากหวังหลินแล้วไม่มีใครที่ตรวจพบเจตนานี้ได้

เด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ก้อนหินรู้สึกว่าบรรยากาศรอบด้านหนาวเย็นราวกับอยู่ในฤดูหนาว หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นและรู้สึกว่าสิ่งเลวร้ายกำลังจะเกิด เมื่อนางเห็นหวังหลินออกมาจึงพูดใส่ทันที “กลับไป!”

หวังหลินตกตะลึงและมองไปที่ชายหนุ่มใต้ก้อนหิน

ชายหนุ่มยืนขึ้น เสื้อผ้าขนาดใหญ่ของนางดูหละหลวมแต่ใบหน้ากลับเคร่งเครียด เพียงก้าวไม่กี่ก้าว นางก็มาถึงจุดควบคุมค่ายกลและกล่าวทันที “เจ้ามายืนอยู่ที่ทำไมกัน? กลับไปซะ เห็นได้ชัดว่าเขามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหากับเจ้า ข้าเป็นผู้รับผิดชอบค่ายกลที่นี่ ดังนั้นข้าจะปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย”

ขณะที่นางกล่าว พลันแตะกระเป๋านำหินหยกไว้ในฝ่ามือ

หวังหลินมองชายหนุ่มอย่างรอบคอบและกล่าวว่า “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”

คิ้วของนางขมวดขึ้นอีกครั้ง นางกำหินหยกขึ้นมา “เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ถ้าหากเจ้าก้าวเท้าออกมา ข้าจะไม่ช่วยเจ้า!”

หวังหลินยืนงง เขาก้าวถอยสองก้าวและกลับเข้าไปในค่ายกล ชายหนุ่มมาถึงเบื้องหน้าหวังหลินในทันที นางมองไปที่ชายเสื้อคลุมสีม่วงและกล่าวเสียงดัง “ผู้อาวุโส ที่นี่คืออาณาเขตของตระกูลซุน ข้าสงสัยว่าท่านมาทำอะไรที่นี่”

ชายชุดม่วงตกตะลึงเช่นกันและเจตนาการต่อสู้หายไปอย่างสิ้นเชิง แววตาเต็มไปด้วยความสนใจพร้อมกับในขณะที่เขาวิเคราะห์เด็กหนุ่มอย่างรอบคอบและยิ้มออกมา “เจ้าชื่ออะไร?”

แววตาเด็กหนุ่มแข็งค้างไปชั่วขณะ “ผู้เยาว์นามซุนหลิง”

ชายชุดม่วงพยักหน้าและกล่าวต่อ “เจ้าเอาใจใส่กับงานดีมาก เยี่ยม!! เจ้าไปได้แล้ว คนที่ข้ามาหาคือคนที่อยู่ข้างหลังเจ้า”

ท่าทีของเด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนไป “ผู้อาวุโส หากเขาออกไปจากอาณาเขตนี้ ข้าจะไม่ยุ่งเลย อย่างไรก็ตามเมื่อเขายังอยู่ภายในอาณาเขตของตระกูลซุน มันก็ยังคงเป็นความรับผิดชอบของข้าอยู่”

ชายชุดม่วงขมวดคิ้วและมองผ่านเด็กหนุ่มไปยังหวังหลิน

สายตานั้นทำให้ร่างซุนหลิงสั่นเทา นางรู้สึกเหมือนว่าผู้ที่ยืนอยู่หน้านางไม่ใช่เซียนแต่เป็นอสูรโบราณ สายตานั้นเสมือนกับคำเตือน หากนางพูดอีกหรือไม่เปิดทางให้ นางจะถูกอสูรโบราณตัวนั้นฉีกเป็นชิ้นๆ

ท่าทีของหวังหลินยังคงสงบนิ่ง เขาไม่แยแสกับสายตาของชายผู้นี้อย่างสิ้นเชิง วิญญาณดั้งเดิมของนางเริ่มสั่นสะเทือนไปแล้วแต่นางยังคงยืนอยู่หน้าหวังหลิน หวังหลินมองแผ่นหลังเด็กหนุ่มและเริ่มขบคิด

ซุนหลิงสูดหายใจลึกและเริ่มกัดฟันแน่น “ผู้อาวุโสตราบเท่าที่เขาไม่ก้าวออกไป ข้าก็ต้องดูแลความปลอดภัยของเขา…นอกจากนี้ เขาเป็นแค่เซียนขั้นแกนลมปรานเท่านั้น ผู้อาวุโส…”

ชายในชุดม่วงขมวดคิ้ว หลังจากถูกต่อต้านหลายครั้งทำให้ในใจเขาเริ่มมีความไม่พอใจขึ้นมาแล้ว

“เจ้า กลับ…”

แต่ก่อนที่ชายชุดม่วงจะพูดจบ หวังหลินก็พูดขึ้นมา

“พอแล้ว” หวังหลินก้าวเดินออกจากมาจากค่ายกลด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติกไป

ในขณะที่เขาก้าวออกไป ซุนหลิงพูดขึ้นทันที “เจ้าจะออกไปทำไมเล่า? กลับมาซะ!” นางกำลังบีบหินหยกในมือให้แตก หินหยกนี้จะเป็นตัวส่งข้อความออกไป

หวังหลินหันกลับมา เขายิ้มบางๆและกล่าวว่า “ไม่มีอะไรหรอกน่า” ด้วยเหตุสิ่งนี้หวังหลินจึงก้าวตรงไปหาชายชุดม่วง มีหมอกสีฟ้าปรากฏล้อมรอบบริเวณและปิดกั้นสายตาของซุนหลิง

ระยะระหว่างหวังหลินกับชายชุดม่วงห่างกันสามสิบก้าว หวังหลินเดินตรงไปยังชายชุดม่วงด้วยท่าทางใจเย็น ตอนแรกท่าทีของชายชุดม่วงผ่อนคลายมากแต่เมื่อหวังหลินเดินเข้ามา เขากลับรู้สึกถึงแรงกดดันที่ออกมาจากหวังหลิน

แรงกดดันนี้ทรงพลังอย่างมาก เมื่อหวังหลินมาถึงในระยะสิบก้าวแรงกดดันเกือบถึงจุดสูงสุดแล้ว

ท่าทีของชายชุดม่วงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาพลันสว่างขึ้นจ้องมองที่หวังหลิน แทนที่จะก้าวถอยหลังแต่ฝืนตัวเองให้ยังอยู่ในระยะ

หวังหลินไม่ได้หยุดนิ่งเขายังคงก้าวต่อไป ในจังหวะที่เท้าก้าวลงไปราวกับว่ามีเสียงฟ้าผ่าลงกลางใจ ราวกับว่าเท้านั้นไม่ได้กระทบพื้นแต่ลงสู่ในจิตใจของชายชุดม่วง

เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว

หลังจากก้าวหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มถอยไปอีกหลายก้าว!

หวังหลินก้าวไปแปดก้าวแต่ละก้าวราวกับมีเสียงฟ้าผ่าภายในจิตใจของชายชุดม่วง ส่งผลกระทบสะสมก่อให้เกิดพายุขึ้นภายในจิตใจของชายคนนั้น

ขณะที่เขาก้าวถอย สีหน้าก็เริ่มซีดเผือด มองมาที่หวังหลินด้วยแววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง

ในก้าวสุดท้าย หวังหลินยกเท้าขึ้นและมองชายชุดม่วง ในสายตาเขามีแต่ความเย็นชาพร้อมกับก้าวเท้าลงทันที!

ถ้าแต่ละก้าวก่อนหน้านี้ค่อยๆทรงพลังขึ้น ก้าวสุดท้ายเป็นการระเบิดพลังที่สะสมไว้ทั้งหมดออกมา

ท่าทีของชายชุดม่วงพลันเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาถอยกรูดไร้ความลังเลและคำนับฝ่ามือแน่น “สหายเซียน ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย”

หวังหลินมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและก้าวผ่านไป ชายชุดม่วงยิ้มออกมาและเดินตามหลังหวังหลิน

เมื่อหมอกสีฟ้าจางหายไป ไม่มีร่องรอยใดๆเกิดขึ้น ซุนหลิงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นภายในสายหมอก นางถอนหายใจออกมาและนั่งสมาธิภายใต้ก้อนหินอีกครั้ง

“ยากมากที่เขาจะรอดชีวิตได้หลังจากถูกผู้อาวุโสคนนั้นนำตัวไป” นางหวาดกลัวอยู่สักพักก่อนจะหลับตาบ่มเพาะ นางได้ทำหน้าที่ตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว

หลังจากมาถึงด้านเหนือของเมือง หวังหลินเดินเหินอย่างไม่เร่งรีบไปยังอารามกองสมบัติทางฝั่งตะวันออก ชายชุดม่วงเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “สหายเซียนซิ่ว ข้าซุนซื่อ ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดี” ด้วยสถานะของเขา ปกติแล้วจะไม่พูดกับคนที่มีระดับบ่มเพาะเดียวกันแบบนี้

แต่ว่าตอนที่เขาทดสอบคนผู้นี้ ระดับการบ่มเพาะของซิ่วมู่ลึกลับเกินไปและเขาไม่อาจเห็นเบาะแสอะไรได้เลย

นั่นไม่ใช่ส่วนที่สำคัญที่สุด เขาสัมผัสถึงความมั่นใจและเจตนาเข่นฆ่าอันทรงพลังจากหวังหลินได้ กลิ่นอายนี้จะมีได้ก็ต่อเมื่อฆ่าเซียนระดับเดียวกันเท่านั้นและไม่ใช่แค่ครั้งเดียว! เพราะนี่คือกลิ่นอายแห่งความมั่นใจที่มีหนทางได้วิธีเดียวเท่านั้น

ซุนซื่อคือหนึ่งในสามเซียนเทวะบนดาวรานหยุน เขาเป็นบรรพชนของตระกูลซุน อยู่ในขั้นเทวะระดับต้น หลังบ่มเพาะที่ก้นทะเลเสร็จสิ้นจึงรีบมุ่งหน้ามาที่เมืองนี้ทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version