Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 678

Cover Renegade Immortal 1

678. กำลังมา…

คนที่มองหลิวเหมยซึ่งกำลังลงมาจากท้องฟ้าดุจเทพธิดาไม่ใช่มีเพียงแค่ซานเหริน ซุนซื่อก็สูญเสียเจตนาต่อสู้และเริ่มดิ้นรน

มีเพียงบรรพชนตระกูลรานซึ่งบ่มเพาะขั้นเทวะระดับกลางเท่านั้นที่สามารถทำจิตใจให้กระจ่างได้ แต่ก็ไม่สามารถรั้งไว้ได้นาน ในความคิดเขา น้ำเสียงนางดุจเสียงเพลงจากสวรรค์ ประโยคนั้นดูเหมือนเข้ามาในความคิดเขาและได้สร้างความรู้สึกของการเป็นคนธรรมดา

“เขตแดนหมื่นมายาไร้ปราณี!” สีหน้าบรรพชนตระกูลรานเปลี่ยนไปอย่างมากและเพลิงได้เริ่มเผาไหม้อยู่ภายใน เพลิงนี้มาจากการผสานวิญญาณดั้งเดิมและพลังดั้งเดิม ซึ่งทำให้ขอบเขตและระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

จากนั้นส่งเสียคำรามออกมาดุจสายฟ้าสั่นสะเทือนไปทั่ว ฟ้าดินยังสั่นคลอน

ดวงตาซุนซื่อกลับคืนความกระจ่างชัดและรู้สึกหวาดกลัวในใจ ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกกำลังเผชิญหน้ากับคนรักและไม่มีจิตใจที่จะโจมตีเลย

หลิวเหมยเข้ามาใกล้และเอ่ยเสียงนุ่ม “ท่านทั้งสามคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า หากท่านไปตระกูลฮวนกับข้า ท่านอาจจะมีโอกาสรอด”

ร่างบรรพชนตระกูลรานในตอนนี้ปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง เขาก้าวไปข้างหน้า ฝ่ามือสร้างผนึกและกดประทับลง ฝ่ามือสายฟ้าปรากฏขึ้นทันที ประกายสายฟ้าระเบิดออกมาพุ่งตรงเข้าหาหลิวเหมย

หลิวเหมยเผยสีหน้าไม่สนใจใยดีและเล่นเส้นผมตัวเองเบาๆ ฝ่ามือเนียนละเอียดเคลื่อนมาข้างหน้าและแววตากระพริบไร้ปราณี ปลายนิ้วสัมผัสกับสายฟ้าทำให้มั่นสั่นเทาและแตกสลายทันที

หลิวเหมยกล่าวอย่างนุ่มนวล “เมื่อเจ้าจะเผาไหม้วิญญาณตนเอง เช่นนั้นก็เผามันให้เต็มที่อีกสักหน่อย”

หลังนางกล่าวเช่นนั้น แววตาคลั่งไคล้ในสายตาของซานเหรินที่อยู่ด้านหลังก็พลันรุนแรงขึ้น ทั้งยังมีความรู้สึกอยากครอบครองอยู่ภายในด้วย เขาตกอยู่ในภาวะบ้าคลั่งไปแล้ว ในสายตาเขาไม่มีตัวตนฟ้าดินอีกต่อไป สิ่งเดียวที่มีอยู่คือร่างสตรีเบื้องหน้าเขาเท่านั้น

เขาก้าวออกมาและขัดขวางบรรพชนตระกูลรานโดยไม่ลังเล วิญญาณดั้งเดิมที่อยู่ภายในพลันปะทุขึ้น สิ่งที่เผาไหม้ไม่ใช่เพียงแค่วิญญาณดั้งเดิมแต่ยังเป็นกายหยาบของเขาด้วย

“ยังมีเจ้าด้วย” สายตาหลิวเหมยตกลงบนซุนซื่อ

ซุนซื่อพึ่งระงับจิตใจของตน แต่หลังจากได้ยินคำพูดของหลิวเหมยก็พลันแตกสลายอย่างสมบูรณ์ ร่างกายเขาสั่นเทาและแววตาคลั่งไคล้เหมือนกับซานเหริน เขาเผาไหม้ดวงวิญญาณดั้งเดิมและแลกกับพลังอำนาจขีดสุดโดยไม่ลังเล นิ้วมือสร้างเป็นกระบี่ชี้เข้าใส่บรรพชนตระกูลรานโดยไม่ลังเล

บรรพชนตระกูลรานเผยรอยยิ้มน่าสงสารและเอ่ยขึ้น “จ้าวซานเหริน ซุนซื่อ ข้ารู้สึกเศร้ากับพวกเจ้าทั้งสองนัก!”

อย่างไรก็ตามซานเหรินและซุนซื่อดูเหมือนไม่ได้ยินเสียงเขาเลยและปลดปล่อยวิชาของตนออกมาอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็เริ่มต่อสู้เป็นตายกับบรรพชนตระกูลราน เสียงระเบิดดังสนั่นและปลดปล่อยวิชาออกมาจนทำให้พื้นดินสั่นไหว ท้องฟ้าพลันมืดมนขึ้นอีก

ร่างของซานเหรินและซุนซื่อแตกสลายอย่างรวดเร็ว ทว่าทุกรอยแตกบนร่างที่เลือนหายนั้นได้ทำให้ระดับบ่มเพาะของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น การต่อสู้นี้ราวกับคนบ้ากำลังต่อต้านบรรพชนตระกูลราน

หลิวเหมยเผยรอยยิ้มบาง นางไม่จำเป็นต้องพาใครมาจริงๆเพราะตราบใดที่นางอยู่ที่นี่จะมีเซียนนับไม่ถ้วนต่อสู้เพื่อนางเอง

นี่คือเต๋าปิศาจสวรรค์หมื่นมายา ทุกสิ่งใดในโลกสามารถใช้งานได้ บรรพชนตระกูลฮวนยอมจ่ายราคาของการทำพิธีถ่ายโลหิตเพื่อหลิวเหมยก็เพราะแบบนี้ เขาต้องการเห็นว่ามันจะมีพลังอำนาจขนาดไหนเมื่อบรรลุขั้นที่สองไปแล้ว

ทั้งดวงดาวตกอยู่ในสภาวะแผ่นดินไหว เสียงดังสนั่นอย่างต่อเนื่องออกมาจากพื้นดิน จิตใจของบรรพชนตระกูลรานเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเขาเริ่มเผาไหม้ร่างกายตนเองเช่นกัน การที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อแลกเปลี่ยนพลังอำนาจจำนวนมากที่สุด เมื่อทั้งวิญญาณและร่างกายเผาไหม้ ระดับบ่มเพาะของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เขาสามารถบรรลุระดับพลังของเซียนเทวะระดับปลายได้โดยไม่มีเขตแดน

ระดับบ่มเพาะเขาเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วแต่เขตแดนไม่ได้เพื่มขึ้นมาด้วย ซึ่งทำให้เขาเป็นเพียงขั้นเทวะระดับปลายแบบเทียม แม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังทรงพลังอย่างยิ่ง

ขณะที่ส่งเสียงคำรามออกมา ร่างกายหยาบก็แตกสลายอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือสร้างผนึกขึ้น หุบแขนลงและเกิดแสงแพรวพราวล้อมรอบ เขาไม่ได้ใช้วิชาอันใดแต่เป็นวิธีที่ตรงที่สุดในการใช้พลังดั้งเดิมในร่าง พลังดั้งเดิมเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองขึ้น เมื่อเขาอ้าแขนออกมา แสงสีทองก็พุ่งออกไปทุกทิศทางดุจกระบี่แหลมคม

ในจังหวะนั้นร่างซุนซื่อและซานเหรินที่กำลังแตกสลายจนเหลือร่างกายเพียงครึ่งเดียว ส่วนที่เหลือพวกเขาหายไปในความว่างเปล่าแล้ว แววตาแต่ละคนยังคลั่งไคล้รุนแรงและตัดสินใจระเบิดตัวเองอย่างไม่ลังเล

ตู้มมมมม!

ตู้มมมมม!

การระเบิดตนเองของเซียนขั้นเทวะผู้ที่กำลังเผาไหม้ทั้งวิญญาณและร่างกายนั้นได้ทำให้เกิดภัยพิบัติมหาศาลต่อดาวรานหยุน

ท้องฟ้ากำลังพังทลายและผืนแผ่นดินระเบิดออกมา ทะเลบนดาวรานหยุนพุ่งสูงขึ้นหลายร้อยฟุตและกระแทกลงบนแผ่นดินราวกับดวงดาวกำลังโกรธเกรี้ยว

สายแร่วิญญาณในดาวรานหยุนเสมือนดินปืนและทั้งหมดเริ่มระเบิดเพราะการระเบิดตัวเองเป็นการชี้นำ

วิญญาณและร่างกายของเซียนสองคนแตกสลายไปแล้ว แม้กระทั่งตอนที่พวกเขาตายก็ยังไม่มีสติ

บรรพชนตระกูลรานอยู่ตรงกลาง แม้เขาจะสามารถต้านทานด้วยระดับบ่มเพาะอันทรงพลังได้ เขาก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยโลหิต ดวงตาแดงฉานจ้องไปยังหลิวเหมยที่สงบนิ่งเบื้องหน้าและรีบพูออกมา “บัดซบอะไรกัน การต่อสู้นี้เป็นเรื่องระหว่างเจ้าและข้า ทำไมถึงกระจายไปถึงเหล่าคนธรรมดาและดาวเคราะห์นี้ด้วย?!”

หลิวเหมยยิ้มบางและกล่าวอย่างนุ่มนวล “ข้าไม่ได้โจมตีเลย…พวกเจ้าสามคนต่อสู้กันเอง ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับข้า…”

บรรพชนตระกูลรานเงยศีรษะขึ้นและหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเศร้าโศก ขณะที่หัวเราะ น้ำตาก็ไหลออกมาจากมุมอับสายตาและมองลงไปที่พื้นดิน เดิมทีดาวเคราะห์สวยงามก็ซุดโทรมอยู่แล้ว เขารู้ว่าหากเขาทำลายตัวเองเพื่อให้นางบาดเจ็บ ดาวรานหยุนคงกลายเป็นดาวเคราะห์ไร้ค่า

“ที่นี่คือบ้านของข้า…” เขามองหลิวเหมยด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เอ่ยกล่าวออกมาทีละคำ “ข้า รานเซว่เฟิงขอใช้ระดับบ่มเพาะของข้าสาปแช่งให้เจ้าตายโดยไม่มีหลุมฝังศพ! อีกทั้งคนที่ฆ่าฮวนตงไปไม่ใช่เราสามคน แต่เป็นคนชื่อซิ่วมู่!”

ขณะที่เอ่ยขึ้นมานั้น เขายกแขนขวาขึ้นมาตีเข้าหน้าผากตนเอง เกิดเสียงแตกร้าวพร้อมกับวิญญาณดั้งเดิมที่กำลังเผาไหม้พลันแตกสลายและกระจายไปสู่ร่างกาย ทั้งร่างเลือนหายไปอย่างช้าๆเบื้องหน้าสายตาสงบนิ่งของหลิวเหมย ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนเป็นฝุ่นผงตกกระทบไปบนผืนแผ่นดิน

“ข้าเกิดบนดาวรานหยุนและจะตายบนรานหยุน ข้า รานเซว่เฟิงได้ทำดีที่สุดเพื่อปกป้องดาวรานหยุน ส่วนเจ้าซิ่วมู่ เจ้าคนน่ารังเกียจ ข้าขอสาปแช่งให้ตายไปพร้อมกับฮวนเหมย!”

แววตาหลิวเหมยเผยอาการไม่สนใจราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกกระทบต่อจิตใจของนางได้ นางมองไปที่พื้นดินเบื้องล่างและมุ่งหน้าลงไปที่พื้นเพียงก้าวเดียว

“ตระกูลราน ตระกูลจ้าวและตระกูลซุนจำเป็นต้องถูกกวาดล้างออกไป…นี่คือคำขอของอาจารย์และไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับข้า ยังมีซิ่วมู่ คนที่น่าประหลาดคนนั้น…” หลิวเหมยคิดกับตัวเอง จากนั้นขมวดคิ้วทันที สัมผัสวิญญาณที่กระจายออกมาได้หยุดที่ส่วนทิศใต้ของดวงดาว

“มีร่างโคลน…เซียนซุนคนนั้นน่าสนใจ นี่หมายความว่าบรรพชนของตระกูลรานและตระกูลจ้าวต่างก็มีร่างโคลนเช่นกัน” หลิวเหมยหัวเราะ ร่างโคลนนี้ถูกซ่อนไว้ได้อย่างดีเยี่ยม หากไม่ใช่เพราะว่าร่างโคลนนั้นได้ปลดปล่อยความผันผวนออกมาตอนที่ร่างหลักตายไป หลิวเหมยคงไม่สามารถตรวจพบมันได้ นอกจากนั้นแล้วหากไม่ได้มองหาเป็นการเฉพาะ นางคงเมินเฉยไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากกวาดสัมผัสวิญญาณเพียงรอบเดียว

ณ เมืองทางตอนใต้ของดาวรานหยุน เด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ในบ้าน เด็กหนุ่มคนนี้คล้ายกับซุนซื่อไม่มีผิดเพี้ยนและใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น

เมื่อสี่ปีก่อนหลังจากตระหนักได้ว่าพวกเขาทำเรื่องผิดพลาดใหญ่หลวงในการฆ่าคนของตระกูลฮวนไป ทั้งสามคนจึงมุ่งความสนใจทั้งหมดของตนเองไปที่การหลอมสร้างร่างโคลนขึ้น วิธีที่ใช้ไม่มีอะไรพิเศษและร่างโคลนที่สร้างขึ้นมาก็อ่อนแอจนไม่สามารถต่อสู้ได้เลย

อย่างไรก็ตามมันยังเป็นวิธีในการเก็บชีวิตตนเองไว้ได้อีกทางหนึ่ง

บรรพชนตระกูลรานได้หลอมร่างโคลนขึ้นมาอย่างลับๆเมื่อหลายร้อยปีก่อนและมันถึงระดับที่ออกไปจากดาวเคราะห์ได้แล้ว มันออกไปจากดาวเคราะห์อย่างลับๆพร้อมกับสมาชิกในตระกูลเมื่อสองปีก่อน ส่วนรานเหรินนั้นวิธีของเขาบกพร่องเล็กน้อยดังนั้นจึงไม่สามารถแบ่งวิญญาณดั้งเดิมออกมาได้ซึ่งหมายถึงเขาไม่ได้หลอมร่างโคลนขึ้นมา เขามีวิธีอื่น ซึ่งจะเป็นวิธีอะไรนั้นไม่มีใครรู้

แม้ซุนซื่อจะสามารถหลอมร่างโคลนขึ้นมาได้ ระดับบ่มเพาะของมันก็เป็นเพียงขั้นแกนลมปราณเท่านั้นจนไม่สามารถออกไปจากดาวได้ง่ายๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเจอหวังหลินเขาก็กำลังขอให้ช่วยเหลือเรื่องนี้ แต่ก่อนจะได้ถามก็ถูกหวังหลินปฏิเสธเสียก่อน

อีกทั้งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ซึ่งหลังจากลังเลไปแล้วเขาจึงไม่ได้ถามต่อ ไม่เช่นนั้นหากซิ่วมู่รู้ว่าทั้งสามคนต่างมีแผนรอดชีวิตของตนเองและลากเขาเข้ามาเป็นแพะรับบาป เขากลัวว่าแม้จะยื่นข้อเสนอหินหยกสวรรค์ให้มากมายขนาดไหน ซิ่วมู่คงไม่ตกลง ความจริงแล้วซิ่วมู่อาจจะโจมตีเขาด้วยความโกรธซะด้วยซ้ำ

หลิวเหมยเคลื่อนที่พริบตาและปรากฏตัวอยู่ในส่วนทิศใต้ของดาวรานหยุน ขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปในเมืองนั้น นางหันศีรษะมาเผชิญหน้ากับท้องฟ้า ดวงตาเต็มไปด้วยแสงลี้ลับที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

“กลิ่นอายนี้…”

แสงสีเงินข้ามผ่านหมู่ดาวและปรากฏตัวนอกดาวรานหยุน หวังหลินนั่งลงบนเข็มทิศดวงดาว รวบรวมหินหยกสวรรค์ของทั้งสามคนซึ่งอย่างน้อยทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ไม่เช่นนั้นหวังหลินคงไม่มีเหตุผลที่จะกลับมา

เดิมทีหวังหลินมีท่าทางเป็นปกติดี แต่เมื่อเห็นค่ายกลผนึกอันทรงพลังรอบดวงดาวรานหยุนแล้ว ดวงตาก็ขมวดเข้าด้วยกัน หวังหลินยืนขึ้นจากเข็มทิศและจ้องกฏเกณฑ์ด้วยแววตาเปล่งประกาย

“ตอนที่ข้าจากไป กฏเกณฑ์นี้ไม่ได้อยู่ที่นี่!” หวังหลินเข้าใจเรื่องกฏเกณฑ์เป็นอย่างดี แม้เขาจะไม่สามารถทำลายกฏเกณฑ์นี้ในช่วงเวลาอันสั้นได้ เขาสามารถเข้าไปโดยไม่ได้รับบาดเจ็บได้

หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนที่เข็มทิศดวงดาวจะพุ่งผ่านกฏเกณฑ์และลอยตรงไปที่ดาวรานหยุน

บนดาวรานหยุนนั้น หลิวเหมยเงยศีรษะขึ้นมอง แสงลึกลับในแววตายิ่งรุนแรงมากขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version