680. สมบัติพิเศษของหลิวเหมย
หวังหลินลืมตาตื่นขึ้นทั้งยังเต็มไปด้วยความกระจ่างสดใส แม้ว่าจะยังมีความเจ็บปวดอยู่ แต่ความจริงเขารู้อยู่เบื้องหน้า ราวกับผ่านโลกมามากมาย เขาควรจะปล่อยทั้งหมดให้หายไป…
หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมา พลันมีสายหมอกปรากฏครอบคลุมไปทั่วร่าง วิญญาณดั้งเดิมมีส่วนหนึ่งของมังกรสายฟ้าโบราณแฝงอยู่จึงทำให้มีพลังอำนาจของสายฟ้าสวรรค์ เต๋าปิศาจสวรรค์พันมายานี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้วิญญาณหวังหลินเผาไหม้ได้
เมื่อมองสายหมอก หวังหลินขบคิดเล็กน้อยแล้วบดขยี้มัน
“แม้เจ้าจะฝืนเพิ่มระดับขึ้นมาแต่ความเข้าใจต่อเขตแดนยังไม่เพียงพอ นั่นเป็นจุดอ่อนที่ร้ายแรงของเจ้า!”
ในชั่วขณะที่บดขยี้มัน เสียงอู้อี้ในลำคอดังออกมาจากความว่างเปล่า ตามมาด้วยร่างหลิวเหมยปรากฏตัวอยู่ห่างไกล นางจ้องหวังหลินด้วยใบหน้าซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและเปล่งเสียง “เจ้าเป็นหวังหลินจริงๆ เจ้าคนจิตใจแข็งกระด้าง”
“ข้าไม่ใช่คนแข็งกระด้าง นั่นมันเจ้า!” แววตาหวังหลินเผยจิตสังหาร
“ข้ามุ่งเน้นชีวิตข้าไปกับการฝึกเต๋า แต่เจ้ากลับใช้วิญญาณเขตแดน[วิญญาณเขตแดนแห่งราคะที่หวังหลินได้มาจากบรรพชนเผ่ามารยักษ์]มาเปิดบริสุทธิ์ข้า เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?!” หลิวเหมยเอ่ยเสียงแตก ความเยือกเย็นทั้งหมดก่อนหน้านี้หายไปและความเกลียดชังฝังลึกยิ่งขึ้น
หวังหลินขมวดคิ้ว นี่คือความทรงจำที่เขาไม่อยากนึกถึง แววตาเปลี่ยนเป็นเย็นชาและเอ่ยเสียงเบา “เจ้าทำก่อน อีกทั้งเรื่องวิญญาณเขตแดนเป็นเหตุบังเอิญ”
“เหตุบังเอิญ…” หลิวเหมยเริ่มหัวเราะ เสียงหัวเราะดังขึ้นจนกระทั่งเต็มไปด้วยความต่ำช้า นางสามารถรักษาเต๋าปิศาจสวรรค์หมื่นมายาของนางต่อหน้าทุกคนได้ แต่เมื่อมาเจอคนตรงหน้านี้ นางไม่อาจทำได้
“เจ้าตอบข้าว่ามันเป็นเหตุบังเอิญ เช่นนั้นข้าจะให้เป็นเหตุบังเอิญอีก!” ความเกลียดชังของนางบังเกิดความเจ็บปวด จากนั้นนางสัมผัสกระเป๋า
หวังหลินขมวดคิ้ว องครักษ์เทพปรากฏตัวด้านหน้าและก้าวเข้าหาหลิวเหมยในทันที
แขนขวาหลิวเหมยยกขึ้นจากกระเป๋าและเปิดมันออก หมอกสีดำพุ่งออกมาจากข้างในและความไม่พอใจพวยพุ่งอย่างมหาศาล
ความขุ่นเคืองที่ทำให้สวรรค์สั่นสะท้าน ท้องฟ้ามืดลงราวกับถูกปกคลุมด้วยมวลก้อนเมฆ วังวนขนาดใหญ่เริ่มหมุนอย่างช้าๆกลางอากาศ
ความขุ่นเคืองทรงพลังเกินไป เมื่อมันกระจายออกมาก็เริ่มเกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนขึ้นภายในรัศมีห้าลี้ราวกับเป็นดินแดนแห่งภูติผีปิศาจ
เสียงร้องแหลมระเบิดออกมาจากสายหมอกสีดำ สายหมอกนี้รวดเร็วเกินกว่าที่สัมผัสวิญญาณจะจับเคลื่อนไหวได้ มันพุ่งผ่านองครักษ์เทพและตรงเข้าหาหวังหลิน
หวังหลินจ้องแสงสีดำนั้นด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ ขณะที่มันเข้ามาใกล้หวังหลินแทงนิ้วมือออกไปดุจกระบี่และสร้างสายลมกรรโชกขึ้นมา สายลมพัดเอาหมอกสีดำออกไปและเผยดวงตาสีดำคู่หนึ่ง
ในจังหวะที่สายตาหวังหลินตกลงบนดวงตาสีดำคู่นั้น เขาพลันตกตะลึง ดวงตานี้ดำทะมึนอย่างสิ้นเชิงและไร้แสงไฟ มีแต่เพียงความขุ่นเคืองใจอันมหึมาเท่านั้น
ทว่าในจังหวะที่หวังหลินเห็นสายตาคู่นี้ จิตใจก็สั่นไหวและเกิดความรู้สึกเต็มไปทั่วร่างกายราวกับมีสายฟ้าผ่านับหมื่นสายระเบิดอยู่ในหูจนทำให้ร่างหวังหลินสั่นสะท้าน หวังหลินถอยนิ้วมือกลับโดยไม่รู้ตัว พลันก้าวถอยหลังและจ้องไปที่หมอกสีดำ
“นี่…นี่มัน…” จิตใจข้างหวังหลินปรากฏความเจ็บปวดอันแสนสาหัสและเต็มไปทั่วร่างกายทันที เขามองสายหมอกนั้นและดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง หวังหลินสะบัดแขนขวาทำให้องครักษ์เทพกลับมา มันกลายเป็นเงาล้อมรอบหมอกสีดำนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้หมอกทำอะไรอย่างอื่น
หวังหลินตะโกนใส่หลิวเหมยด้วยใบหน้าดุร้าย “ข้างในนั้นมันคืออะไร?!”
หลิวเหมยเผยรอยยิ้มแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นางมองหวังหลินด้วยรอยยิ้มกว้าง “เจ้าจำมันไม่ได้หรือ? ไม่สิ ด้วยระดับบ่มเพาะของเจ้าแล้วน่าจะจำมันได้”
“มีตำนานหนึ่งในหมู่มวลมนุษย์ หากมีคนสูญเสียเหล่าเด็กๆไป วิญญาณของเด็กๆจะไม่แตกสลายไปแต่จะติดตามเจ้าและเฝ้ามองเจ้าไปทุกที่ พวกเด็กๆจะพูดอะไรบางอย่างแต่เจ้าไม่อาจได้ยิน จนเมื่อเจ้าตายในที่สุดถึงจะได้ยินสิ่งที่พวกเขาถาม ‘ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงไม่ต้องการข้า…’”
น้ำเสียงหลิวเหมยมีความประหลาดเล็กน้อย ทั้งยังแฝงความบ้าคลั่งอยู่ภายในนั้น
“ข้าหลอมเด็กคนนี้ในร่างข้านานกว่าร้อยปีจนในที่สุดเขาก็กลายเป็นวิญญาณอาฆาต เมื่อเขาได้สติขึ้นมา ข้าก็มักจะบอกเขามาเสมอว่าบิดาเจ้าเป็นคนทิ้งเจ้าไป บิดาคนนั้นเรียกว่าหวังหลิน!”
“หวังหลิน เจ้าพังพินาศด้วยจิตใจแห่งเต๋า ทำลายเขตแดนของข้าและย่ำยีร่างกายข้า หากทั้งหมดนั้นเป็นเหตุบังเอิญ เช่นนั้นก็ให้ข้าเอาคืนเจ้าด้วยสมบัติพิเศษชิ้นนี้เสียเถอะ!”
หวังหลินตกอยู่ในความเงียบโดยสิ้นเชิง ราวกับชีวิตทั้งหมดในร่างถูกดูดออกไปเหลือเพียงสิ่งเดียวคือความตายไร้จุดสิ้นสุด
ไม่มีอาการตกใจเมื่อพบว่าไม่มีความหวังในการชุบชีวิตลี่มู่หวาน ไม่มีการระเบิดความบ้าคลั่งออกมาตอนที่เขาเผชิญหน้ากับเถิงฮว่าหยวน[คนที่ฆ่าทั้งตระกูลและสังหารหวังหลิน] มีการเพ่งสมาธิสิ่งเดียวเท่านั้นเหมือนตอนที่เขาเผชิญกับจุดวิกฤต
หวังหลินครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบเท่านั้น เป็นความเงียบที่น่าหวาดกลัว
ราวกับสวรรค์ได้หยุดลง พื้นดินหยุดเคลื่อนไหว ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างในฟ้าดินหยุดชะงักเนื่องจากวิชายับยั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัด
เมื่อมองหมอกสีดำซึ่งถูกล้อมรอบด้วยเงาองครักษ์เทพ ดวงตาหวังหลินดูเหมือนจะสามารถมองทะลุเข้าไปและเห็นร่างอันอ่อนแอได้
ความขุ่นเคืองอันทรงพลังนั้นไม่สามารถหยุดสายตาของหวังหลินได้
หลังผ่านไปโดยไม่รู้เวลา หวังหลินเอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณ…”
หลิวเหมยตกตะลึงพร้อมกับจ้องหวังหลินและกล่าวสวนขึ้นมา “หวังหลิน หัวใจเจ้าไม่เจ็บปวดหรือยังไง!?!”
หวังหลินไม่ได้มองหลิวเหมย เขามองเพียงแต่ร่างในสายหมอกเท่านั้นและเอ่ยกล่าวเบาๆ “หากเจ้าสามารถหลอมเขาให้กลายเป็นวิญญาณอาฆาต เช่นนั้นข้าก็สามารถเปลี่ยนเขากลับไปได้แม้มันจะใช้เวลานับพันปี…นับหมื่นปี…ต้องขอบคุณที่เจ้าส่งเขามาให้ข้า…”
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของหลิวเหมยโดยสิ้นเชิง นางกล่าวเยาะเย้ย “เขาไม่สามารถคืนสภาพได้ การทำให้เขากลายเป็นวิญญาณอาฆาตอย่างสมบูรณ์นั้น ข้าได้….”
ก่อนที่หลิวเหมยจะกล่าวจบ หวังหลินเอ่ยขึ้นมา “หากข้าบอกว่าเป็นไปได้ มันก็เป็นไปได้!” หวังหลินถอนสายตาออกมาจากสายหมอกและตกลงบนหลิวเหมย ดวงตาไร้ความสงบนิ่งแต่เต็มไปด้วยจิตสังหารเปี่ยมล้น นอกจากเถิงฮว่าหยวนแล้ว หวังหลินไม่เคยมีจิตสังหารมากขนาดนี้อีกเลย!
“ตอนนี้ถึงตาของเจ้าแล้ว!”
หวังหลินไม่ได้กล่าวเสียงเย็นเยียบแต่กลับทำให้รอบด้านดูเหมือนเข้าสู่ฤดูหนาว เขาก้าวมาข้างหน้าและประทับนิ้วโป้งขวาลงไป ดัชนีนรกพลันปรากฏทันที
เกิดเสียงดังสนั่นกลางอากาศพร้อมกับแม่น้ำอเวจีปรากฏขึ้นอีกครั้ง ผสานเข้ากับนิ้วของหวังหลิน ดัชนีนรกก่อเกิดขึ้นจากแม่น้ำอเวจีพลันลอยออกไปพุ่งเข้าใส่หลิวเหมยตรงๆ
หลิวเหมยล่าถอย ขณะนั้นนางตบกระเป๋านำกระจกเก่าแก่ขนาดใหญ่ไว้บนแขน นี่คือสมบัติที่บรรพชนตระกูลฮวนยกให้นาง เป็นสมบัติเทพระดับต่ำ!
เมื่อดัชนีนรกตกลงบนกระจกจึงทำให้เกิดการระเบิดสั่นสะเทือนผืนปฐพี ขณะเดียวกันหวังหลินก็ก้าวเท้าออกมานำค่ายกลกระบี่เจ็ดดาราล้อมรอบหลิวเหมย หวังหลินส่งเสียงตะโกนและปราณกระบี่เจ็ดสายพุ่งออกไป
หวังหลินกล่าว “เป็นแค่เซียนเทวะระดับปลายจอมปลอมที่มีปราณสวรรค์เท่านั้น ไม่มีเขตแดนก็เทียบไม่ได้กับเซียนขั้นเทวะระดับกลาง!” ดัชนีแห่งความตายปรากฏและเข้ามาใกล้หลิวเหมยพร้อมกับค่ายกลกระบี่เจ็ดดารา
ปราณกระบี่เข้ามาใกล้ทำให้สีหน้าหลิวเหมยเปลี่ยนไปมหาศาล เมื่อสัมผัสถึงความย่ำแย่ นางกัดลิ้นตัวเองเล็กน้อยพ่นโลหิตออกมาจากปากพร้อมกับของสิ่งหนึ่ง มันคือเข็มใบมีด
ขณะที่เข็มปรากฏ มันหมุนวนเป็นวงกลมรอบหลิวเหมยทันทีและป้องกันค่ายกลกระบี่เจ็ดดารา แม้แต่ดัชนีแห่งความตายก็ถูกเข็มเล่มนี้แทงทะลุ
“วิญญาณดวงที่สี่!” หวังหลินมองอย่างเยือกเย็น เขายกแขนขวาขึ้นและชี้ใส่เข็มเล่มนั้นเบาๆ
“จงหยุด!”
เข็มสีดำหยุดชะงักทันที ขณะที่มันกำลังดิ้นรน หวังหลินก้าวเท้าไปข้างหน้าและปรากฏตัวเบื้องหน้าหลิวเหมย แขนขวาประทับลงระหว่างคิ้วของนางอย่างโหดเหี้ยม
หลิวเหมยส่งเสียงร้องโหยหวนและควันสีดำจำนวนมากออกมาจากระหว่างคิ้ว จากนั้นนางถอนตัวทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความน่ากลัวอย่างยิ่ง แม้ว่าระดับบ่มเพาะของหวังหลินจะเป็นขั้นเทวะระดับต้นเท่านั้น แต่เขากลับมีวิชาและสมบัติหลากอย่างที่ทำให้น่าตื่นตะลึงที่สุด
“เจ้าต้องการหนีหรือ?” หวังหลินก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกครั้ง สองดัชนีเป็นรูปกระบี่ควบแน่นอยู่ที่ปลายนิ้วพร้อมกับมีสายฟ้าแล่นผ่านไปมา พร้อมจะปลิดชีวิตนางร้ายคนนี้
เงาแห่งความตายล้อมรอบร่างหลิวเหมย ท่าทางและจิตใจของนางอ่อนเพลีย ดัชนีของหวังหลินทำให้วิญญาณดั้งเดิมของนางบาดเจ็บไปก่อนหน้านี้ ซึ่งหากไม่ใช่เพราะว่านางมีปราณสวรรค์จำนวนมากในร่างกาย นางอาจจะตายไปแล้ว
หลิวเหมยร้องเสียงหลง “ลี่เอ๋อ!”
หวังหลินขมวดคิ้วและเห็นสายหมอกสีดำเริ่มหมุนอย่างรุนแรง มันส่งเสียงร้องไห้ราวกับกระบี่พุ่งใส่หวังหลินและฉีกกระชากหัวใจเขา
แววตาหวังหลินเผยร่องรอยแห่งความเศร้าแต่เขาก็แทงไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล ดัชนีพุ่งออกไปดุจประกายสายฟ้าเข้าหาหลิวเหมย
ในช่วงจังหวะอันตรายนั้น ดวงตาหลิวเหมยเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แต่กลับมีวังวนหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของนาง วังวนนี้เป็นสีดำสนิทราวกับถูกล้อมรอบด้วยหมู่มวลก้อนเมฆ
แขนแห้งเหี่ยวออกมาจากวังวนและกดเข้าต้านกับนิ้วหวังหลิน
เกิดเสียงดังปัง ร่างหวังหลินลอยกลับไปราวกับอุกกาบาต ใบหน้าซีดเผือดและกระอักโลหิตคำโตออกมาแต่ดวงตายังเต็มไปด้วยแสงเยือกเย็นดุร้าย
“เอ๋ ไม่ตาย?” น้ำเสียงแก่ชราดังออกมาจากวังวน แขนแห้งเหี่ยวนั้นคว้าหลิวเหมยและลากนางตรงเข้าไปในวังวน
“เจ้าช่วยนาง ตระกูลฮวนจะต้องถูกกวาดล้าง!” หวังหลินเอ่ยเสียงดุจสายลมฤดูหนาวอันเย็นเยือก ชัดเจนว่ามีคนเดียวที่ช่วยหลิวเหมยได้ตอนนี้คือบรรพชนตระกูลฮวน
ขณะที่เอ่ยออกไป หวังหลินก้าวไปข้างหน้าและควบแน่นปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮวโดยไม่ลังเล ดัชนีชี้ออกไปราวกับประกายสายฟ้า พุ่งตรงไปที่วังวน
“เจ้าเด็กโอหัง แม้เจ้าจะมีหุ่นเชิดขั้นหยินหยางก็ยังเทียบกับข้าไม่ได้ ข้าเห็นว่าเจ้าและฮวนเหมยมีอดีตต่อกันจึงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับความบาดหมางของพวกเจ้า แต่หากยังทำเช่นนี้ต่อไป ข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า!” เสียงเอ่ยขึ้นมาในวังวน เขาคว้าหลิวเหมยและเข้าไปในวังวนอย่างสมบูรณ์
ทว่าในชั่วขณะนั้น ปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮวได้พุ่งผ่านวังวนตรงเข้าหาบรรพชนตระกูลฮวนที่อยู่อีกด้าน