693. ฉิงยี่
หวังหลินถอนสายตาออกมาดังนั้นหวังผิงจึงมิอาจเห็นความโศกเศร้าในดวงตาพ่อได้
ไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมเขาถึงไม่ปล่อยให้หวังผิงฝึกเซียน ซุนไท่ไม่รู้ หวังผิงก็ไม่รู้ มีแต่หวังหลินคนเดียวที่รู้เหตุผล
เขาไม่สามารถบอกกับหวังผิงได้ เพื่อประโยชน์ของหวังผิง เขาไม่อาจทำได้…นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวกับหลิวเหมยเลย…
หวังผิงไม่ได้ยินเสียงถอนหายใจของหวังหลิน
หวังหลินครุ่นคิดอย่างเงียบๆมองออกไปด้านนอกพื้นที่อันรกร้าง
ณ ภายในรถม้า หวังผิงก็เงียบขรึมเช่นเดียวกัน ความเงียบระหว่างสองพ่อลูกนับวันยิ่งมากขึ้น
หลังผ่านไปสักพัก หวังผิงหันศีรษะกลับมามองพ่อตนเอง มองจากด้านข้างแล้วดูเหมือนว่าพ่อของตนจะมีริ้วรอยเหี่ยวย่นมากขึ้น หัวใจเขาไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไปและกล่าวอย่างอ่อนโยน “ท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว”
หวังหลินหันกลับมาด้วยรอยยิ้มเมตตาแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร
เมืองเวิ้งวารีเป็นเมืองหลวงย่อยๆของหนึ่งในสามอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่บนดาวรานหยุน เป็นรองเพียงเมืองหลวงที่มีความเจริญเท่านั้น เนื่องจากมันอยู่ใกล้แม่น้ำด้วยจึงเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวายิ่ง
รถม้าเข้าสู่เมืองและหยุดลงตรงสถานี หวังหลินและหวังผิงลงจากรถม้าและเข้าสู่เมืองอันจอแจ
หวังผิงไม่เคยเห็นเมืองที่มีชีวิตชีวาและขนาดใหญ่เช่นนี้ ขณะที่มองไปรอบด้าน ดูเหทือนจะลืมสิ่งไม่มีความสุขก่อนหน้านี้ไปเสียสิ้น
หวังกินก้าวเข้าไปในเหลาอาหารค่อนข้างหรูหราแห่งหนึ่งในเมืองฝั่งตะวันออก เสี่ยวเอ้อในร้านรีบเข้ามาด้วยรอยยิ้มและนำทางพ่อลูกสองคนไปที่โต๊ะใกล้หน้าต่าง ไม่นานหลังจากนั้นเหล้าและอาหารต่างๆก็ถูกนำมาเสิร์ฟ
อาจเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาหวังผิงที่ดูหล่อเหลาเกินไป หลังจากเขานั่งลงก็กลายเป็นจุดสนใจของสตรีจำนวนมากในเหลาอาหารทันที ส่วนหวังหลินนั้นกลับคุ้นชินกับท่าทางเช่นนี้ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านแล้ว
หวังหลินไม่ได้จับตะเกียบแต่เลือกหยิบเหล้าขึ้นมาดื่มอย่างนิ่งเฉย ส่วนหวังผิงเพียงแค่ชิมรสชาติอาหารเท่านั้น
หวังหลินวางเหล้าลงและเอ่ยขึ้น “ตั้งแต่วันนี้ต่อไป เราจะอาศัยอยู่ที่นี่ อันดับแรกเราจำเป็นต้องซื้อบ้านก่อน”
หวังผิงพยักหน้าและยิ้มขึ้นมา “ท่านพ่อ ที่นี่เยี่ยมมาก หลังจากใช้เวลาไปกับการพบปะภูเขาและแม่น้ำมากมาย ข้ารู้สึกเหมือนพึ่งเข้าสู่โลกตอนที่เรามาในเมืองแห่งนี้”
ขณะที่หวังผิงกล่าวจบ มีสายตาเยาะเย้ยออกมาจากโต๊ะข้างๆ
มีอยู่สามคนนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น หนึ่งเป็นชายชราสวมชุดผ้าไหมดูสง่างามยิ่ง แม้ดวงตาจะหมองมัวแต่เมื่อเขาลืมตาขึ้นมากลับให้กลิ่นอายดุจคนชั้นสูง
ด้านข้างเขาอีกสองคนเป็นหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรี บุรุษหน้าต่าหล่อมากและมีสง่าราศี เขาสวมชุดคลุมสีม่วงปักษ์เส้นสีทอง มันดูราคาแพงอย่างยิ่ง
ส่วนสตรีอายุราวยี่สิบปี สยายผมสีดำราวกับน้ำตก แม้นางจะไม่ได้น่ารักที่สุดแต่กลับให้กลิ่นอายแห่งความสดชื่นออกมา
คนที่ยิ้มเยาะคือชายชุดม่วง
ชายชุดม่วงหันหน้ามาหาสตรีด้านข้างและหัวเราะ “เด็กเขลาคนนี้น่าสนใจ เข้ามาเมืองเวิ้งวารีครั้งแรกก็เริ่มพูดจาไร้สาระพวกคุ้นชินกับการไปเห็นภูเขาและแม่น้ำและเป็นครั้งแรกที่เข้ามาในโลก ไร้สาระสิ้นดี”
เขาไม่ได้พูดเสียงดังแต่คำพูดนั้นกลับเข้าไปในหูหวังผิง หวังผิงขมวดคิ้วแต่ไม่ได้กล่าวอันใด
ส่วนหวังหลินหยิบเข้าขื่นมาดื่มไปหนึ่งอึก สายตากวาดผ่านสามคนที่โต๊ะนั้นอย่างสุ่มๆ
สตรีคนเดียวในโต๊ะขมวดคิ้วและเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล “เรื่องตลกใช่ไหม?”
ชายหนุ่มหัวเราะ “ศิษย์น้องฉิงยี่ ทำไมจะไม่ตลกเล่า?”
สตรีเผยสีหน้าน่ารำคาญและหันศีรษะ
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจเย็น เหตุผลที่เขาหัวเราะใส่หวังผิงก็เพราะตอนที่เขาเข้ามา สตรีผู้เย็นชามาเสมอกลับเงยศีรษะขึ้นมองหวังผิง
หากไม่ใช่เพราะสตรีคนนี้ เขาจะกินอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร? เมื่อเห็นท่าทางของนาง จึงพ่นลมหายใจเย็น หันหน้าไปจ้องหวังผิง
ชายหนุ่มในชุดม่วงกล่าวอย่างนุ่มนวล “หากเขาเกิดเป็นสตรี สตรีคนนั้นจะเป็นหญิงสาวที่มีสเน่ห์แน่นนอน น่าเสียดายนักที่เป็นชาย น่าเสียดายจริงๆ…แต่ถ้าเขาเป็นคนขายบริการ จะน่าดูชมทีเดียว”
การยั่วยุซ้ำๆได้ทำให้หวังผิงวางตะเกียบลง เขาหันศีรษะกลับมามองชายหนุ่มคนนั้นและเอ่ยขึ้น “หน้าตาดีอะไรกัน หากมันเกิดเป็นคนก็คงน่าตาหล่อเหลาเอาการ น่าสงสารที่มันเกิดเป็นสารเลว น่าสงสารเสียนี่…”
สีหน้าชายชุดม่วงจมลง แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยขึ้นมา ชายชราข้างๆกันขมวดคิ้วและตะโกน “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คนแบบนี้เข้ามาในเหลาจิงหยาซวนได้? ช่างไร้มารยาท! ให้ข้าสอนบทเรียนเจ้าทั้งสองเอง!” ขณะที่ชายชราเอ่ยขึ้น เขาโยนตะเกียบลอยออกไปดุจประกายสายฟ้า เล็งมาที่ไหล่หวังผิง หากตะเกียบคู่นั้นปะทะจริงๆ แขนสองข้างของหวังผิงคงใช้การไม่ได้
ในจังหวะที่ชายชราโยนตะเกียบออกไป หญิงสาวด้านข้างอุทานขึ้น นางยืนและกำลังจะไล่ตามทันตะเกียบ
อย่างไรก็ตามในจังหวะที่ตะเกียบเข้ามาใกล้ มันกลับสูญเสียความแข็งแกร่งและร่อนลงข้างหวังผิงเบาๆ หวังหลินวางขวดเหล้าลงและจ้องไปที่ชายชราอย่างเยือกเย็น
หนึ่งชำเลืองมอง!
ร่างชายชราเริ่มกระตุกราวกับมีประกายสายฟ้านับไม่ถ้วนระเบิดในใจ สายตานั้นดุจกระบี่แหลมคมแทงทะลุผ่านนัยน์ตาของเขา ทำลายจิตใจและเข้าไปในวิญญาณ ดูเหมือนมันต้องการทำให้วิญญาณเขาแตกสลาย ดับเพลิงแกนลมปราณและทำให้แกนสีทองแตกสลาย
ร่างชายชราตัวแข็งทื่อทันทีราวกับฟ้าผ่าอันรุนแรงตกลงมาใส่ สองแขนสองขาสั่นไหวโดยไร้การควบคุม
“นี่…นี่มัน…” จิตใจชายชราสั่นไหวและหนังศีรษะเริ่มเสียววาบ ความเจ็บปวดมากมายประดังออกมาจากระหว่างคิ้วราวกับใบมีดแทงทะลุผ่านกระโหลก
เสียงหัวใจเต้นเร็วรุนแรงผ่านในร่างกายของชายชราราวกับมันกำลังแตกสลาย ร่างกายเขาปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูด้วยตัวเปล่าๆ
ทั้งร่างกำลังพังทลายจากการลำเลืองมองเพียงครั้งเดียว!
สายโลหิตร่องรอยสีทองออกมาจากมุมปาก รอยร้าวหนึ่งปรากฏในแกนลมปราณและแกนพลังรั่วไหลเข้าสู่เส้นโลหิต
ชายชราเป็นเซียนขั้นแกนลมปราณ! ส่วนชายหนุ่มชุดม่วงเพียงแค่เริ่มขั้นรวบรวมลมปราณ ส่วนสตรีคนนั้นยังไม่ถึงขั้นพื้นฐานลมปราณเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเซียนขั้นแกนลมปราณกระทำการไร้ยางอายและลงมือโหดเหี้ยมต่อคนธรรมดา หวังหลินจึงแสดงจิตสังหารโดยไม่ลังเล
ยิ่งไปกว่านั้นชายชราคนนี้ยังมาตอแยลูกชายเขา
“เจ้า…” เก้าอี้ที่ชายชรานั่งอยู่พลันแตกร้าวและตกลงบนพื้น ใบหน้าซีดเผือด รีบนำเม็ดยาออกมากินและบดขยี้หินหยกส่งข้อความทันที
เหลาอาหารพลันเงียบกริบโดยที่แขกหลายคนยังคงงุนงง ทว่ายังมีลูกค้าที่พอจะฉลาดอยู่บ้างรีบจ่ายเงินและรีบจากไป
ชายหนุ่มชุดม่วงตกตะลึงโดยสิ้นเชิง เขากระทั่งไม่ได้มองชายชรา แต่สายมามืดมัวจ้องมาที่หวังหลินและหวังผิงแทน
ส่วนสตรีด้านข้าง นางจ้องหวังผิงและหวังหลินอย่างตะลึงงัน นางไม่เคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ที่นี่
“ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาสอนลูกชายข้า!” หวังหลินถอนสายตาออกมา หยิบเหล้าขึ้นมาดื่มไปหนึ่งอึก