Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 694

Cover Renegade Immortal 1

694. แค่ครั้งเดียว

ชายชราไม่กล้าเอ่ยปาก พลังงานจากแกนลมปราณได้หลุดจากร่างกายไปแล้ว เขากลัวว่าถ้าเอ่ยปากขึ้นมา แกนพลังจะกระจายหายไปทันที ซึ่งในกรณีเช่นนั้นหากเขาไม่ตาย ระดับบ่มเพาะจะตกลงอย่างมาก

ตอนนี้เขาจำเป็นต้องพึ่งพายาที่กินไปก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิงเพื่อช่วยในการหยุดยั้งแกนพลังปราณที่เสียไป แต่ผลลัพธ์ก็ยังเล็กน้อยมาก

พลังปราณหลายเส้นออกมาจากร่างเขาจนดูเหมือนหมอกสีเขียว

ชายหนุ่มชุดม่วงหมองหวังหลินและพยักหน้า “ไม่คาดคิดว่าเจ้าก็เป็นเซียน เยี่ยมมาก บนดาวรานหยุน เมื่อเจ้าทำร้ายตระกูลซุน นั่นก็เท่ากับว่า…”

ก่อนที่จะพูดจบ หวังหลินสะบัดแขนขวา ร่างชายหนุ่มสั่นสะท้าน ใบหน้าซีดเผือดและฟุบลงกับพื้นทันที

หวังหลินไม่ได้ฆ่าเขาเนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้มีพลังปราณมากนักและยังถือว่าเป็นคนธรรมดา

ด้วยประสบการณ์ของหวังหลิน ชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้น่าจะเป็นทายาทสายตรงของตระกูลเซียนไม่ก็เป็นสายเลือดคนชั้นสูง

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีตัวตนเช่นใดหวังหลินก็ไม่สนใจ บนดาวรานหยุน เขาคือบรรพชนสูงสุด

เหตุการณ์เบื้องหน้าทำให้หวังผิงอ้าปากค้างมองพ่อตนเอง ในชั่วขณะนั้นเองเขาพบว่าพ่อไม่ใช่เซียนทั่วไป เพียงพ่อชำเลืองสายตาก็สามารถทำให้ชายชราเป็นแบบนี้ได้

ฉิงยี่จ้องสองพ่อลูก นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะก้าวมาข้างหน้าและกล่าวด้วยความเคารพ “ผู้อาวุโส เป็นเพราะเราเองที่บุ่มบ่ามไปหน่อย…”

หวังหลินหยิบเหล้าขึ้นมาดื่มไปหนึ่งจิบและไม่ได้มองดูนาง

ฉิงยี่กัดริมฝีปากตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หวังผิงยิ้มขึ้นมา เขาเป็นหล่อเหลาอยู่แล้วและตอนนี้รอยยิ้มกลับทำให้ดูสง่าขึ้นไปอีก หวังผิงมองฉิงยี่และเอ่ยถาม “แม่นาง เจ้าชื่อฉิงยี่ใช่ไหม? ข้าชื่อหวังผิง แม่นางก็เป็นเซียนใช่หรือไม่?”

รอยยิ้มของหวังผิงทำให้ฉิงยี่ใบหน้าแดงฉานและเอ่ยขึ้นมาเบาๆ “ใช่แล้ว แต่อาจารย์ได้บอกไว้ว่าก่อนที่จะบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ ข้าไม่อาจเรียกตัวเองเป็นเซียนได้ เจ้าชื่อหวังผิงใช่ไหม? เรื่องในวันนี้เป็นความผิดของเรา เพียงแค่…พวกเจ้าควรจะจากไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด…อาจารย์พึ่งจะบดขยี้หินหยกสื่อสาร ข้ากลัวว่าจะมีคนมาถึงในไม่ช้า…”

หวังผิงยิ้มบาง เขาไม่สนใจเรื่องนั้นและเริ่มพูดคุยกับฉิงยี่

ชั่วขณะนั้นเกิดเสียงหวีดหวิวดังออกมาจากข้างนอกเหลาอาหาร ลมรุนแรงสายหนึ่งพัดเข้ามาและปรากฏชายชราสามคนข้างในเหลา

ฉิงยี่รีบกล่าวขึ้นอย่างเคารพยกย่อง “ผู้อาวุโสซุน!”

หนึ่งในสามชายชรานี้มีคนหนึ่งผมสีขาว ดวงตาดุจสายฟ้า ปลดปล่อยแรงกดดันโดยไม่ได้โกรธเกรี้ยวอยู่ หลังจากเข้ามาในเหลาอาหาร สายตากวาดผ่านเซียนขั้นแกนลมปราณที่กำลังนั่งอยู่บนพื้น เขาถอนสายตาออกมาจากนั้นมองหวังหลินและหวังผิง

เท่าที่เขาเห็น หวังหลินเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ไม่มีปราณใดๆ ทว่ากลับเป็นชายหนุ่มคนข้างๆที่ทำให้สายตาชายชราต้องขมวด ยิ่งมองใกล้ๆ สายตายิ่งเผยสีสันประหลาด

“พรสวรรค์ของเด็กคนนี้เยี่ยมยอด แม้ว่าร่างกายจะเป็นคนธรรมดาทั่วไป ทว่าวิญญาณของเขาดูเหมือนจะบรรจุด้วยดวงดาวและเต็มไปด้วยอำนาจ จิตใจเช่นนี้หาได้ยากยิ่งในหมู่เหล่าเซียน! สองคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาถ้าหากมองเพียงผิวเผิน!”

เซียนขั้นแกนลมปราณบนพื้นดูเหมือนจะรับรู้การมาถึงของชายชราได้และลืมตาขึ้นมา เขาไม่สามารถระงับพลังแกนลมปราณในปากได้และส่งเสียงฮึมอย่างโหยหวน สายหมอกออกมาปกคลุมทั่วร่างกาย จากนั้นสีหน้าซีดเผือดและกล่าวขึ้นมาทันที “ท่านลุง เป็นมันที่ทำร้ายข้า ช่วยข้าด้วย!” เขาชี้ไปที่หวังหลินทันที

ชายชรายกแขนขวาขึ้นมาสร้างผนึกและชี้ไปที่ชายชราที่เอ่ยขึ้น ผนึกลอยออกไปร่อนลงระหว่างคิ้ว วิชานี้ขยายตัวออกทันทีและสร้างผนึกกักขังพลังแกนลมปราณที่กำลังหนีออกมา

หลังเสร็จสิ้น เชามองหวังหลินอย่างมืดมนและเอ่ยขึ้น “วิธีการของเจ้าช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก เจ้าคิดว่าตระกูลซุนของข้าจะนั่งอยู่เฉยๆตอนที่ได้ยินเรื่องนี้หรือ?!”

หวังหลินไม่ได้มองชายชรา เขาวางขวดเหล้าลงและเอ่ยขึ้นท่าทีสงบ “ผิงเอ๋อ ไปกันเถอะ” เช่นนั้นเขายืนขึ้นและเดินไปที่ทางออก

หวังผิงยิ้มให้ฉิงยี่ ตอนที่ฉิงยี่เห็นรอยยิ้มนี้ ใบหน้านางขึ้นสีแดง หวังผิงมีความรู้สึกดีดีต่อหญิงสาวคนนี้ ความรู้สึกนี้มาจากตอนที่อาจารย์ของนางลงมือกับเขา นางได้พยายามหยุดยั้งอาจารย์เอาไว้

หลังจากยืนขึ้น หวังผิงก็ติดตามพ่อของตนออกไปนอกร้าน

ชายชราพ่นลมหายใจเย็นและก้าวเท้ามาหยุดทั้งสองคน ชายชราสองคนด้านข้างต่างก็ทำเช่นเดียวกัน

“ให้พูดจบก่อน แล้วเจ้าค่อยจากไปได้”

สายตาหวังหลินกลับสงบนิ่งและก้าวเท้าออกมาอย่างลวกๆ แม้ว่าการก้าวนี้จะเรียบง่ายแต่กลับมีเสียงดังสนั่นกึกก้องในจิตใจของชายชราสามคน ราวกับว่าการก้าวเท้านี้ไม่ได้เหยียบย่ำบนพื้นดินแต่เหยียบย่ำลงในจิตใจ!

สองคนด้านหลังชายชราเป็นขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลาง สีหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปและรีบกระตุ้นพลังปราณในร่างกายพร้อมกับก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

นี่ไม่ใช่วิชาเซียนหรือวิชาแห่งเต๋า ไม่มีกระทั่งเศษเสี้ยวปราณสวรรค์ออกมาจากร่างหวังหลิน แต่ว่าในมุมมองของทั้งสามคนมันคือสิ่งที่เหนือล้ำกว่าวิชาใดๆที่พวกเขาเคยพบเห็น!

มันเป็นกลิ่นอาย กลิ่นอายที่ปรากฏขึ้นมาเฉพาะคนที่บรรลุระดับสูงสุดของรุ่น ใครก็ตามที่มีเต๋าของตนเองจะมีฟ้าดินอยู่ในร่างกาย พวกเขาสามารถหยิบยืมอำนาจฟ้าดินเพื่อสรส้างแรงกดดันขึ้นมาได้ ไม่ต้องกล่าวถึงทั้งสามคนเลย แม้แต่เซียนขั้นเทวะธรรมดาก็ไม่อาจต่อต้านได้

ชายชราที่อยู่ตรงกลางมีระดับบ่มเพาะสูงที่สุดซึ่งเป็นขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายสูงสุด เขากำลังอยู่ในกระบวนการรู้แจ้งกฏสวรรค์และอีกเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุขั้นตัดวิญญาณ กลิ่นอายของหวังหลินช่างล้ำลึกในสายตาเขา ราวกับวิญญาณของเขาได้รับผลกระทบจากหวังหลินโดยตรง ดังนั้นใบหน้าจึงซีดเผือดและก้าวถอยหลังกลับมาสองก้าว

หวังหลินเดินผ่านเขาและออกจากเหลาอาหารไป หวังผิงติดตามไปด้วยและในจังหวะที่เขาเดินออกมาจากเหลาอาหารนั้น เขาก็หันกลับมามองฉิงยี่และเผยรอยยิ้มอ่อนโยน

ใบหน้าฉิงยี่ขึ้นสีแดงมากกว่าเดิม

“แค่ครั้งนี้เท่านั้น!” เสียงหวังหลินดังออกมาจากนอกเหลาอาหารและดังสะท้อนในหูของเซียนตระกูลซุน ใช้เวลานานมากกว่าที่พวกเขาจะฟื้นคืนกลับมาได้ และหลังจากนั้นแววตาแต่ละคนก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

หลังจากออกมาจากเหลาอาหาร หวังผิงลังเลเล็กน้อยก่อนจะตามทันพ่อของตนเองและยิ้มขึ้น “ท่านพ่อ ท่านรู้จักตระกูลซุนด้วยหรือ?”

“พ่อเคยเจอพวกเขามาบ้างและพ่อสัญญาว่าจะปกป้องตระกูลพวกเขาเป็นเวลาร้อยปี” หวังหลินไม่ได้ซ่อนความลับอะไรจากหวังผิงนอกจากเหตุผลที่แท้จริงที่ไม่ยอมให้หวังผิงฝึกเซียน

“ผู้หญิงชื่อฉิงยี่คนนั้นไม่เลวนัก” หวังหลินมองหวังผิงด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม

หวังผิงตกตะลึงแต่ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็เผยสีแดงเล็กที่หาได้ยาก

หวังหลินและหวังผิงซื้อบ้านพร้อมกับลานขนาดใหญ่แห่งหนึ่งทางเหนือของเมืองเวิ้งวารี หลังจากทำความสะอาดเล็กน้อยก็ตั้งรกรากลงที่นี่ บ้านหลังนี้ขนาดใหญ่มากและมีหลายห้อง ตอนที่เจ้าของคนเดิมขายมัน พวกเขาทิ้งสาวใช้ไว้บางส่วนด้วย

ขณะเดียวกันเกิดความปั่นป่วนขนาดใหญ่ขึ้นในตระกูลซุนสาขาเมืองเวิ้งวารีเนื่องจากคำพูดของหวังหลิน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version