Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 750

Cover Renegade Immortal 1

750. ประทับตราทาส

คนที่ยืนอยู่ปลายกระบี่พลันพุ่งเข้าสู่ท้องฟ้า สายลมอ่อนไหวพัดผ่านไปทำให้ร่างเขาสั่นเทา จากนั้นก็พังทลายและตกลงบนพื้น

กระบี่เล่มนั้นดูเหมือนจะร้องโศกเศร้า มันตกลงจากท้องฟ้าและแทงเข้าไปในยอดภูเขา มีระลอกเกิดขึ้นและก้อนหินลูกใหญ่ของภูเขาก็ตกลงมา

ก้อนหินจำนวนมากแตกสลายรอบๆกระบี่ พริบตาเดียวนั้นกระบี่ก็เปลี่ยนไปเป็นรูปปั้นหิน ด้านข้างมันมีรูปปั้นที่เป็นเจ้าของปรากฏขึ้นมาด้วย

ขณะที่ก้อนหินรวบรวมกันนั้น ค่อยๆบังเกิดร่างของผู้ติดตามที่เคยอยู่ตรงปลายกระบี่ด้วย

รูปปั้นหินพวกนี้หยาบกร้านมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกมันก็ค่อยๆคมชัดขึ้นและชัดขึ้นราวกับกำลังได้รับจิตวิญญาณ

ผนึกจากรูปปั้นหินได้จดจำอยู่ในใจหวังหลิน ในแววตารูปปั้นมีแสงทรงอำนาจของผนึกเรืองรองขึ้นมาราวกับรูปปั้นนั้นกำลังมีชีวิต ดวงตาของมันเริ่มแสดงสติปัญญา

“ชนรุ่นหลังที่มีสายโลหิตของข้า ปลดปล่อยกฏเกณฑ์และปลุกข้าให้ตื่น…หากเจ้าไม่มีพลังเพียงพอ เมื่อนั้นจงจำไว้ว่านี่สำหรับชนรุ่นหลัง…”

ขณะที่ประโยคนั้นปรากฏ ตราประทับที่จดจำไว้ในใจหวังหลินพลันต้องการครอบครองร่างหวังหลินขึ้นมา

โชคดีที่ความเจ็บปวดแสนสาหัสจากร่างกายหวังหลินได้กระตุ้นความคิดเขาและทำให้เขาหลุดจากภวังค์ หวังหลินก้าวถอยหลังทันทีและหลับตาด้วยความเงียบขรึม

ในเวลาเดียวกันพลังที่กำลังเผาไหม้ร่างกายเติมเต็มอยู่ทั่วร่างและแพร่กระจายตราประทับในใจเขา

เมื่อหวังหลินเงียบขรึม เขาก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความตกตะลึง หวังหลินสูดหายใจลึกและถอยอีกหลายก้าว รูปปั้นหินนี้ประหลาดเกินไปแต่ก็ต้องขอบคุณการบ่มเพาะเซียนมาพันปีของเขา หวังหลินจึงสามารถเอาอะไรได้บางอย่าง

เห็นได้ชัดว่าผนึกของรูปปั้นคือวิชาเทพและเป็นรูปแบบการสืบทอด ทว่าสิ่งที่สืบทอดลงมาไม่ใช่พลังอำนาจแต่เป็นประทับตราทาสที่คงอยู่ไว้เพื่อสายเลือดรุ่นสุดท้าย!

แต่อย่างไรเสีย ไม่มีวิชาใดในโลกสามารถหนีพ้นกรอบของกาลเวลาไปได้ วิชาเทพนี้อาจจะทรงพลังยิ่งมาก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็อ่อนแรงลงและอ่อนแรงลง

อีกทั้งแม้ร่างหวังหลินไม่ได้ถูกเผาไหม้อยู่ คงยากที่จะทำให้เขาตื่นขึ้นเต็มที่ อย่างไรก็ตามสิ่งที่หวังหลินงุนงงก็คือการสลายของตราประทับนั้นไม่ใช่เพราะพลังการเผาไหม้ แม้ว่าพลังการเผาไหม้จะช่วยผลักดันให้มันแตกสลาย ต้นตอของการแตกสลายคือตราประทับของมันเอง

ลี่หยวนมองรูปปั้นหินและเอ่ยเสียงเบา “ท่านก็รู้สึกถึงมันใช่ไหม…”

“พี่ซิ่วสบายใจได้ ประทับตรานั่นจะไม่ผูกมัดท่านและจะสลายไป…เพราะมันประทับไปบนคนอื่นไปแล้ว บรรพชนของข้ามาที่นี่เมื่อครั้งอดีตและทำลายกฏเกณฑ์ด้วยวิธีการของเขาจนมาถึงยอดภูเขาแห่งนี้ ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็กลายเป็นทาสเพื่อเทพตนนี้…ลูกหลานรุ่นถัดไปของบรรพชนของข้าต่างก็มีตราประทับทาสด้วยเช่นกัน…” ลี่หยวนมองรูปปั้นราวกับกำลังพึมพำแต่ก็พูดกับหวังหลินด้วยในเวลาเดียวกัน

ลี่หยวนเอ่ยเสียงเบา “รูปปั้นเทพไม่อาจถูกทำลายได้…” เขาเลื่อนมือขวาขึ้นมาและกดลงบนรูปปั้น พลังปราณสวรรค์ในร่างกายทะลักออกมาและเกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วนบนรูปปั้น รอยร้าวนั้นปีนขึ้นไปจนทั่วรูปปั้นราวกับตะขาบ

พริบตาเดียวรูปปั้นหินก็แตกสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยมากมาย

ทว่าขณะที่มันแตกสลาย เศษเสี้ยวเหล่านั้นกลับคืนมาใหม่และก่อรูปกลับมาในพริบตา

“พี่ซิ่ว ท่านเห็น…” ลี่หยวนหันกลับมามองหวังหลิน

หวังหลินใบหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับพยักหน้า

ลี่หยวนถอนหายใจอย่างขมขื่น “เมื่อนานมาแล้ว ตระกูลลี่ของข้ามีชื่อเสียงโด่งดังในดาราจักรทุกชั้นฟ้าว่าเป็นหนึ่งในหกตระกูลเซียนโบราณ ตระกูลเซียนฝึกฝนเต๋าแห่งกฏเกณฑ์ ทุกรุ่นจะมีคนที่สามารถทะลวงผ่านเซียนขั้นแรกไปถึงเซียนขั้นที่สองได้”

“ตระกูลลี่เมื่อตอนนั้นถือว่าสุดยอด!”

“แต่ว่าหลังจากเหล่าบรรพชนของตระกูลข้าเข้ามาที่นี่ ชนรุ่นหลังไม่มีใครสามารถทะลวงผ่านระดับแรกไปได้เลย ขั้นเทวะระดับปลายสูงสุดเป็นขีดจำกัดแล้ว…ราวกับว่าศักยภาพของสมาชิกในตระกูลค่อยๆถูกดูดออกไปตั้งแต่เกิด…”

“แม้กระทั่งอายุขัยของเราก็ค่อยๆหายไปด้วย ในเซียนที่เป็นขอบเขตเดียวกัน อายุขัยตระกูลลี่มีเพียงแค่สามในสิบส่วนเทียบกับคนอื่นเท่านั้น…ทั้งหมดก็เพราะประทับตราทาส!” หลี่หยวนหันกลับมาจ้องรูปปั้นด้วยความเกลียดชังฝังลึก ความเกลียดชังถูกแทนที่ด้วยความโศกเศร้าก่อนหน้านี้ในทันทีและใบหน้าลี่หยวนก็เริ่มดิ้นรน

หวังหลินยืนอยู่ข้างๆขบคิดอย่างเงียบๆ

ไม่นานนักดูเหมือนว่าร่างของลี่หยวนกำลังยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน เสื้อผ้าเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งตัว ทันใดนั้นเหมือนเขาแก่ขึ้นมากในทันที แขนขวาทำสัญลักษณ์หลายอย่างและวางเอาไว้ระหว่างคิ้ว แต่ละสัญลักษณ์พวกนั้นสร้างขึ้นมาด้วยกฏเกณฑ์มากมาย ขณะที่ประทับตรงระหว่างคิ้ว ดวงตาเขาก็กระจ่างชัดอย่างช้าๆ

ลี่หยวนพ่นอากาศเหม็นออกจากปากและเอ่ยอย่างขมขื่น “พี่ซิ่ว ตอนที่ข้าอารมณ์สะเทือนมากไป ข้าจะควบคุมตราประทับทาสได้ยากขึ้น”

“ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาเป็นเพราะประทับตราทาสนี้จึงทำให้ตระกูลลี่ค่อยๆมีสถานะน้อยลง เหล่าคนในตระกูลตายทีละคน ระดับบ่มเพาะก็ติดอยู่ที่ระดับแรก พวกเขาค่อยๆสูญเสียความรุ่งเรืองในอดีต…”

“จนเมื่อหมื่นปีก่อน ตระกูลลี่ของข้ามีอัจฉริยะคนหนึ่งหาที่เปรียบไม่ได้ เขามีพรสวรรค์มากมายกว่าบรรพชนทั้งหมด เขาเข้าใจกฏเกณฑ์ได้ลึกล้ำ หากเป็นก่อนที่ตระกูลลี่จะถูกประทับตราทาส เขาคงกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลลี่ของข้า!”

“แม้ว่าระดับบ่มเพาะของบรรพชนคนนี้จะติดอยู่ที่ขั้นเทวะระดับปลายสูงสุด การควบคุมกฏเกณฑ์ของเขาทำให้แม้แต่เซียนระดับสองยังต้องไม่ไปตอแยเขา ในการจะทำลายประทับตราทาสของตระกูลลี่นั้นเขาได้ใช้อายุขัยที่มีอยู่อย่างจำกัดและออกไปจากดาราจักรทุกชั้นฟ้า ท่องออกไปเพื่อหากฏเกณฑ์ที่แกร่งกล้าหวังว่าจะมีวิธีทำลายตราประทับ”

“ในดาราจักรพันธมิตรเซียน เขาแลกเปลี่ยนกฏเกณฑ์ของตนเองกับม้วนคัมภีร์หนึ่งของเซียนผู้แข็งแกร่ง ในดาราจักรฝุ่นเมฆาภายใต้แดนสวรรค์วายุ เขาแลกเปลี่ยนสิ่งของช่วยชีวิตของตระกูลกับเข็มทิศชิ้นหนึ่ง”

“ก่อนที่อายุขัยของเขาจะจบลง เขากลับมาที่ดาราจักรทุกชั้นฟ้าและกลับมาที่ตระกูลลี่ สมาชิกตระกูลลี่ที่เหลืออีกครึ่งต่างก็อาสามอบอายุขัยของตนเองให้และใช้วิญญาณพวกเขาเพื่อเลียนแบบวิญญาณเทพจนสร้างกระบี่เหล็กขึ้นมา!”

“เขาใช้กระบี่เหล็กเพื่อรวบรวมวิญญาณ จากนั้นควบแน่นเข้ากับเข็มทิศ ท้ายที่สุดผนึกด้วยกันกับม้วนคัมภีร์ เมื่ออายุขัยของบรรพชนกำลังหมดลง แดนสวรรค์อัสนีก็เปิดขึ้น เขานำสมบัติทั้งสามชิ้นไปพร้อมกับความหวังของตระกูลลี่ทั้งหมดเข้าไปในแดนสวรรค์อัสนี”

“โชคร้าย ไม่มีใครได้ข่าวจากบรรพชนอีกเลย ตั้งแต่วันนั้นตระกูลลี่ของข้าก็ตกอยู่ในความสิ้นหวังและสถานะตกต่ำถึงขีดสุด สมาชิกตระกูลตายทีละคน ประทับตราทาสดุจคำสาปที่คงอยู่มาในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีกและตระกูลลี่ของข้าก็ไม่เคยหนีพ้น…ในวันนี้ รวมกับข้าแล้ว ตระกูลลี่เหลือคนอยู่เพียงสามคนเท่านั้น…”

น้ำเสียงของลี่หยวนเต็มไปด้วยความเศร้าโศก เขาหันกลับมาเอ่ยด้วยความมืดมน “จนกระทั่งเมื่อพันปีก่อนที่พ่อของข้าเห็นกระบี่เหล็กบนดาวเคราะห์เซียนอันห่างไกล! หากเป็นแค่นั้นมันคงไม่มีอะไรนักเพราะนั่นมันก็นานมากแล้วและเราไม่มีทางตัดสินได้ว่ามันเป็นสิ่งของที่เป็นของบรรพชนของเรา”

“แต่กระบี่เหล็กเล่มนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยดวงวิญญาณของเหล่าตระกูลข้าไปครึ่งนึง พ่อของข้ามองเห็นความโกรธเกรี้ยวและความแค้นใจของบรรพดาสมาชิกตระกูลเพียงแค่ชำเลืองมองเท่านั้น”

ลี่หยวนยื่นมือขวาออกไปก่อเกิดเป็นแสงกระพริบวาบหนึ่งครั้งและปรากฏวังวนขึ้นมา วังวนนี้หมุนเป็นวงกลม เก้อหงปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว

ร่างของนางถูกลากออกมาจากวังวนและโยนไปที่เท้าของรูปปั้นหินด้วยความหวาดกลัว

“ตระกูลที่เป็นเจ้าของกระบี่เหล็กเล่มนั้นมีแซ่เก้อ!” สายตาลี่หยวนโหดเหี้ยมอำมหิตและเต็มไปด้วยความคลั่งแค้น

“หากเป็นวันเก่าก่อนตอนที่ตระกูลลี่ยังคงแข็งแกร่ง การทำลายตระกูลเก้อเพียงแค่พลิกฝ่ามือ แต่ว่าตอนนี้ระดับบ่มเพาะของตระกูลยังติดอยู่ที่ขั้นเทวะระดับปลายสูงสุด และแม้จะมีกฏเกณฑ์เป็นตัวช่วย เราก็ไม่สามารถเอาชนะตระกูลเก้อซึ่งมีเซียนระดับสองถึงสองคน”

“หลายปีต่อมา ข้าปิดบังตัวและเข้าไปในตระกูลเก้อ ข้าค้นพบเรื่องราวทุกอย่าง…” ลี่หยวนมองไปบนท้องฟ้าด้วยความขมขื่น

“ตระกูลเก้อรู้เรื่องตัวตนของข้าตั้งนานมาแล้ว..แต่พวกเขากลับไม่พูดถึงเรื่องอดีตและส่งข้าไปแดนสวรรค์อัสนีพร้อมกับเก้อหงและสมบัติสามชิ้น”

“แม้พวกเขาจะไม่ได้พูดสิ่งใด ข้าก็เดาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้นได้!” ลี่หยวนจ้องเก้อหงด้วยสายตาดุร้ายและเอ่ยขึ้นมา “วันนี้ข้าจะมาจบสิ้นความต้องการของท่านบรรพชนของข้า แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นข้าต้องใช้โลหิตของเจ้าระงับความสิ้นหวังของตระกูลลี่ที่ทุกข์ทนทรมานมาหมื่นปี!”

ลี่หยวนยื่นมือขวาออกมาคว้าเก้อหงทันที แขนเขากุมหน้าผากนางที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง นางอยากจะเอ่ยอะไรสักอย่างแต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดออกไป

หวังหลินขมวดคิ้ว “สหายเซียนลี่ เรื่องระหว่างตระกูลลี่และตระกูลเก้อไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า ทำไมท่านถึงพาข้ามาที่นี่?”

ลี่หยวนหันกลับมาหาหวังหลินและเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “ข้าเห็นการต่อสู้กับพี่ซิ่วกับเซียนขั้นมายาหยินผ่านกฏเกณฑ์ของข้าแล้ว มีวิชาหนึ่งของพี่ซิ่วที่มีประโยชน์อย่างยิ่งกับข้า พี่ซิ่วสบายใจได้ ข้าจะไม่ขอให้ท่านช่วยเปล่า หลังจากเรื่องนี้จบลง ข้าจะยกกฏเกณฑ์สิบแปดดอกพลัมพร้อมกับกฏเกณฑ์ทำลายล้างของตระกูลข้าเป็นค่าตอบแทน! ตอนนี้ข้าขอให้ท่านไม่ใจร้อน ข้าต้องเซ่นสังเวยให้กับวิญญาณของตระกูลข้าก่อน!”

สายตาลี่หยวนเต็มไปด้วยความเกลียดชังฝังลึก พลังปราณทะลักออกมาจากร่างกายและพุ่งเข้าหาเก้อหงดุจมังกรพิโรธ นางเผยท่าทางเจ็บปวดแต่ดวงตากระจ่างใสชัดเจน นางดิ้นรนมองกลับไปที่รูปปั้นหินและหลังจากมองเพียงครั้งเดียวนางก็เข้าใจบางอย่างทันที นางอ้าปากจะพูดบางอย่างแต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีโอกาสนั้น

ร่างกายของนางระเบิดกลายเป็นหมอกโลหิตและปกคลุมรูปปั้นหิน วิญญาณของนางถูกรูปปั้นดูดซับและเลือนหายไป

ลี่หยวนขบคิดขณะมองลงที่มือของตนเองด้วยท่าทางงุนงงสับสน หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็ถอนหายใจและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเก่าแก่ “ท่านบรรพชน ลี่หยวน สมาชิกคนหนึ่งในตระกูลจะขอจบเรื่องที่ท่านเริ่มขึ้นมา…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version