765. ดาวโลหิต
ดาวโลหิตเป็นดาวเคราะห์ที่เต็มไปด้วยแสงสีแดงโลหิต ดาวดวงนี้ไม่ได้ตั้งอยู่ภายในอิทธิพลของกลุ่มดาวเทียนหยุนและอยู่ห่างไกลเล็กน้อย
ความจริงแล้วมีเซียนทรงพลังไม่มากนักที่มีพลังพอจะใช้งานทั้งดาวเคราะห์เซียน ซึ่งถ้ำเซียนแต่ละคนจึงเลือกที่จะอยู่ใกล้กันที่สุด แม้แต่คนที่เป็นสหายที่ดีต่อกันก็เหมือนกัน
อีกทั้งพวกเขาไม่ได้ลดความระมัดระวังตัวต่อกันอีก เซียนเฒ่าพวกนี้ฝึกฝนมานานหลายปีจึงรู้ดีเป็นพิเศษ
เช่นเดียวกัน เซียนที่ทรงพลังพอจะใช้ทั้งดาวเคราะห์ต่างก็ไม่จำเป็นต้องมีการปกป้องจากดาวเทียนหยุน ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะเลือกสถานที่ห่างไกล
ส่วนสำคัญที่สุดในการเลือกตำแหน่งถ้ำของแต่ละคนคือมันอยู่นอกเหนือระยะสัมผัสวิญญาณของคนอื่น ไม่เช่นนั้นทุกการเคลื่อนไหวจะถูกรับรู้ไปเสียหมด
บรรพชนโลหิตเป็นเซียนที่มีความลับมากมาย ดังนั้นจึงระมัดระวังตัวอย่างยิ่งตอนที่เลือกถ้ำเซียนที่นี่
แผนที่ที่เทียนหยุนให้หวังหลิน ดาวโลหิตอยู่ห่างไกลมากอีกทั้งยังไม่มีถิ่นฐานของเซียนทรงพลังอยู่ใกล้ๆเลยแม้แต่ดาวเดียว
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่หวังหลินเลือกจะใช้ร่างดั้งเดิมโจมตี
ร่างดั้งเดิมหวังหลินมุ่งหน้าเข้าหาดาวโลหิตด้วยสีหน้าเย็นเยียบพร้อมกับสายธารก้อนหินด้านหลัง อวกาศช่างกว้างใหญ่เกินไป ร่างดั้งเดิมหวังหลินดูเหมือนจะเล็กน้อยไปถนัดตา
ระหว่างทางเขาไม่ได้หยุดชะงักเลย หวังหลินพุ่งเข้าหาดาวโลหิตไม่หยุดพร้อมกับจิตสังหารเย็นเยียบ
หลายเดือนถัดมายามที่เขาเผชิญกับเซียนคนอื่นๆ พวกเขาทั้งหมดต่างตกตะลึงและไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม
พวกเขาไม่รู้อะไรเรื่องเทพโบราณ อีกทั้งท่ามกลางดาราจักรสี่แห่ง มีอยู่น้อยคนนักที่รู้เรื่องการคงอยู่ของพวกเขา ซึ่งก็มาจากการอ่านบันทึกโบราณเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าเทพโบราณตามบันทึกมักจะเป็นช่วงวัยผู้ใหญ่ที่มีหกดาวหรือมากกว่านั้น ร่างกายแต่ละตนใหญ่กว่าดาวเคราะห์เซียนหลายดวงรวมกัน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเหล่าเทพโบราณ
กลิ่นอายของเทพโบราณสี่ดาวไม่ค่อยชัดนัก ท่ามกลางเหล่าเซียน เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเชื่อมโยมหวังหลินกับเทพโบราณที่สูญพันธุ์มานานในอดีต เว้นแต่จะเคยเจอด้วยตัวเอง
นี่คือหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมหวังหลินจึงตัดสินใจเผยร่างที่แท้จริงของตัวเองออกมา
เหตุผลหลายอย่างเหล่านี้เป็นแค่จุดประสงค์รอง เหตุผลจริงๆที่หวังหลินมาที่นี่คือการแก้แค้นส่วนตัว! ร่างอวตารได้รับบาดเจ็บสาหัสและอยู่ในอาการย่ำแย่ แม้กระทั่งเส้นใยระหว่างร่างเดิมและร่างอวตารซึ่งไม่อาจทำลายได้ก็ยังอ่อนแอ กระทั่งรู้สึกได้ว่ามันสามารถแตกสลายได้ทุกขณะ
เมื่อการเชื่อมต่อหายไป นั่นหมายความว่าต่างอวตารเสียชีวิต
จิตสังหารทรงพลังเติมเต็มอยู่ในหัวใจ ร่างอวตารที่เขาฝึกฝนด้วยความระมัดระวังมานานหลายปีความจริงแล้วไม่ได้เป็นร่างกายหลักหรือร่างกายรองสำหรับเขา ร่างดั้งเดิมคือเขาและร่างอวตารก็คือเขาด้วยเช่นกัน
หากร่างอวตารตาย นั่นหมายความว่าเขาถูกสังหารทั้งคู่!
หากร่างดั้งเดิมเลือกจะซ่อนตัวและรอคอยจนกระทั่งระดับบ่มเพาะสูงส่งแล้วจึงปรากฏตัวอีกครั้ง เมื่อนั้นเขาไม่ใช่หวังหลิน
ถึงเวลาที่เขาต้องทำบางอย่างแม้ผลที่ได้รับจะเสียเปรียบ!
“โอกาสที่จะถูกค้นเจอว่าเป็นเทพโบราณนับว่าต่ำมาก แต่ว่าแม้ข้าจะถูกพบเจอ ก็แล้วอะไรเล่า!?” ดวงตาเยือกเย็นและเคลื่อนไหวเร็วขึ้นไปอีก
แม้หวังหลินไม่สามารถใช้วิชาส่วนใหญ่ที่สืบทอดมาจากความทรงจำเทพโบราณได้ แต่ก็มีวิชาช่วยชีวิตหลายอย่างที่เขาสามารถใช้ได้ตั้งแต่ตอนเกือบเป็นเทพโบราณสี่ดาว
วิชาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือวิชาที่เหล่าเทพโบราณใช้เพื่อปกป้องวัยเยาว์ของตนเอง วิชาแปลงวิญญาณ
เข้าสู่ดาวเคราะห์ไม่ใช่เพื่อการดูดซับพลังปราณ แต่เป็นการเปลี่ยนรอบด้านของตนเองให้อยู่ในพลังปราณและเข้าสู่สภาวะหลับไหล ซึ่งจะไม่มีใครสามารถตรวจพบได้เว้นแต่จะเผชิญกับเทพโบราณตนอื่น
มันคือวิชาของเทพโบราณ สูงส่งกว่าวิชาที่เหล่าเซียนใช้หลายระดับมาก
“สิ่งเดียวที่ข้าต้องกังวลก็คือต้าเสิน! อย่างไรเสียด้วยร่างเทพโบราณแปดดาวของเขาก็จะถูกพวกเซียนทรงพลังเหล่านั้นจดจำได้ในไม่นานที่ปรากฏตัว แม้เขาจำเป็นต้นเหตุให้ก่อความวุ่นวายในดาราจักรพันธมิตรเซียน มีอะไรเกี่ยวกับข้าเล่า!? ข้าหวังหลิน ไม่ใช่พ่อพระ!” ดวงตายิ่งหนาวเย็นขึ้น
บนดาวโลหิตมีข้ารับใช้โลหิตหลายคน คนเหล่านี้ถูกบรรพชนโลหิตควบคุมและประทับตราไว้ในดวงวิญญาณ หากบรรพชนโลหิตมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็มีชีวิต หากบรรพชนโลหิตตาย พวกเขาก็ตาย
ผู้คนส่วนใหญ่ถูกบังคับลักพาตัวมาจากดาวเคราะห์ใกล้ๆ เขาถูกริดรอนอิสระและถูกบังคับให้ทำงาน นอกจากนี้ยังรวบรวมวัยเยาว์ที่มีพรสวรรค์เพื่อมอบเม็ดยาโลหิตและดูแลเป็นอย่างดีให้กลายเป็นองครักษ์โลหิตเพื่อปกป้องดาวโลหิตแห่งนี้
บรรพชนโลหิตเป็นคนเยือกเย็นอย่างมาก มีเพียงลูกสาวของตนเองเท่านั้นที่เขาจะแสดงความเมตตาที่หาได้ยากยิ่ง
ต้องกล่าวว่านอกจากบรรพชนโลหิตและลูกสาวแล้ว สิ่งมีชีวิตอื่นๆทั้งหมดต่างก็เป็นทาสรับใช้ ชีวิตและความตายของแต่ละคนถูกควบคุมเพียงแค่คิด
ซื่อฉินกำลังนั่งกังวลอยู่บนแท่นพิธีด้านนอกศาลาโลหิต นางมองกลับไปที่ศาลาโลหิตเป็นพักๆ ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ต้องห้ามที่ซึ่งนางไม่อนุญาตให้เข้าไป
แสงโลหิตหลายเส้นโผล่ออกมาจากระยะไกลและเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ผู้อาวุโสสี่คนปรากฏตัวเบื้องหน้าซื่อฉิน ทั้งสี่ต่างปลดปล่อยพลังตั้งเดิมออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดต่างเป็นเซียนแข็งแกร่งที่บรรลุระดับสองไปแล้ว
ชายชราหนึ่งในนั้นก้มศีรษะลงต่ำและเอ่ยออกมา “นายหญิง ทาสโลหิตอีกกลุ่มตายแล้ว…”
ซื่อฉินกัดริมฝีปากและขบคิดอย่างเงียบๆ
หลายเดือนที่ผ่านมาทาสโลหิตและองครักษ์โลหิตจำนวนมากต่างก็ระเบิดตายอย่างลึกลับ ถึงวันนี้มันตายมาได้มากกว่าเจ็ดในสิบส่วนแล้ว
เรื่องนี้ทำให้ซื่อฉินเต็มไปด้วยความทุกข์ มีเพียงเรื่องเดียวที่อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้คือบรรพชนโลหิต!
ชายชราหนึ่งในนั้นเงยศีรษะขึ้นมาจ้องซื่อฉินและเอ่ยถาม “นายหญิง ท่านบรรพชนโลหิตไปที่ไหนกันแน่?”
ซื่อฉินเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสายตาเยือกเย็น “โอหัง นี่ใช่สิ่งที่เจ้าถามได้หรือ?!” กลับยิ่งทำให้ซื่อฉินเคร่งเครียด ก่อนหน้านี้ไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้ แต่ตอนนี้นั้นแม้แต่ซื่อฉินเองก็สงสัยว่าบรรพชนโลหิตกำลังจะตายอยู่หรือไม่…
ชายชราเยาะเย้ยพลางหันตัวกลับและเดินออกไป อารมณ์เขาย่ำแย่มากแต่ก็เผยร่องรอยโล่งอกไปด้วยเช่นกัน ร่างกายเขาถูกตราประทับของบรรพชนโลหิต แต่ตอนนี้มันไม่ได้สำคัญแล้ว
“นับตั้งแต่ที่ข้าถูกตราประทับของบรรพชนโลหิตเมื่อหกพันปีก่อน ข้าไม่สามารถออกไปนอกดาวโลหิตแม้แต่ครึ่งก้าวโดยไม่มีคำสั่งของบรรพชนโลหิต ตอนนี้แน่ชัดแล้วว่าบรรพชนโลหิตกำลังเผชิญกับโชคร้าย ข้า…หากข้ากำลังจะตาย อย่างน้อยข้าก็อยากกลับไปตายที่บ้านเกิดมากกว่าอยู่ที่นี่!” ดวงตาชายชราเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและมุ่งตรงไปที่อวกาศ
ผู้อาวุโสอีกสามคนต่างมองไปบนท้องฟ้าทั้งหมดและเฝ้าดูสหายแต่ละคนเลือนหายเข้าไปในท้องฟ้า หลังจากขบคิดอย่างเงียบๆ ทั้งสามคนมองหน้ากันเอง พลันเหาะเหินขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก
ซื่อฉินยืนขึ้นและร้องตะโกนด้วยสายตาเย็นเฉียบ “พวกเจ้ากล้าดีอย่างไร เจ้าไม่กลัวบรรพชนโลหิตจะกลับมาใช่ไหม…”
อย่างไรก็ตามก่อนที่นางจะได้พูดจบ ชายชราหนึ่งในนั้นก้มศีรษะมองมาที่นางอย่างเยือกเย็น “หนวกหู! เจ้าเป็นแค่ของเล่นของบรรพชนโลหิตเท่านั้น คิดจริงๆหรือว่าเจ้าจะเป็นนายหญิง?! ข้าและเซียนคนอื่นๆเคารพเจ้าเพราะบรรพชนโลหิต เมื่อไม่มีเขา เจ้ามีค่าอะไร!? ข้าอยู่บนดาวโลหิตมาเกือบหมื่นปีและเห็นหญิงสาวแบบเจ้าไม่น้อยกว่าสิบคน!”
หลังจากทิ้งคำพูดไว้แบบนี้ ชายชราคนนั้นก็หายตัวไปในท้องฟ้า
ร่างซื่อฉินสั่นสะท้านและเริ่มคิด
ตอนที่ชายชราชุดแดงลอยขึ้นไปในท้องฟ้า ทาสโลหิตที่ไม่ได้ตายต่างก็มองขึ้นไปและดิ้นรน ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกแต่ว่าหลังจากนั้นทาสโลหิตเกือบทั้งหมดก็เหาะเหินออกไป
ซื่อฉินมองทั้งหมดนี้และเผยสายตามุ่งมั่น นางปรากฏตัวเบื้องหน้าศาลาโลหิตและจำผนึกที่บรรพชนโลหิตใช้เปิดมันได้ นางลังเลชั่วครู่ก่อนจะกัดฟันแน่น
ขณะนั้นเองท้องฟ้าพลันมืดมิด แรงกดดันทรงพลังปกคลุมทั้งดาวโลหิตในทันที ซื่อฉินตกตะลึงและมองขึ้นไป แต่สิ่งที่เห็นทำให้นางใบหน้าซีดเผือด
“นี่…นี่มันอะไรกัน…”
ในอวกาศ ผู้อาวุโสชุดแดงสี่คนแรกต่างก็มองหน้ากันเอง ไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้เรื่องการตัดสินใจของแต่ละคน ทั้งหมดคำนับฝ่ามือให้กันและกำลังจะแยกออกห่าง ทันใดนั้นพวกเขามองออกไปไกล
ทะเลที่สร้างขึ้นจากกองหินกำลังหวีดหวิวผ่านอวกาศเข้าหาดาวโลหิต มียักษ์สูงมากกว่าพันฟุตยืนตระหง่านเบื้องบนแม่น้ำสายยาว ดวงตาของมันเยือกเย็นและเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ชายชราชุดแดงสี่คนขมวดสายตาและรีบมองหน้ากันเองอย่างรวดเร็ว พวกเขาเหาะเหินออกห่างไปในทิศทางที่แตกต่างกัน เมินเฉยยักษ์ที่กำลังเข้ามาหาอย่างสิ้นเชิง
“บรรพชนโลหิต ถึงเวลาของเจ้าแล้ว!!” คำพูดเดียวกันนี้ปรากฏขึ้นแทบในจังหวะเดียวกันกับความคิดของชายชราทั้งสี่คน
เบื้องหลังชายชราทั้งสี่เป็นกลุ่มทาสโลหิตจำนวนมาก ตอนที่พวกเขาเข้ามาในอวกาศต่างก็ตกตะลึงเจ้ายักษ์ตนนั้น แต่ทั้งหมดก็รีบหนีไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครอยู่เพื่อป้องกันดาวโลหิตและต่างก็เผยสีหน้าเยาะเย้ย
บางส่วนที่หนีไปได้ไม่ไกลยังคงอยู่ใกล้เคียงดาวโลหิต พวกเขาต้องการดูวันตายของดาวโลหิตให้เห็นกับตาตัวเอง
ด้วยไหวพริบของหวังหลินเขาจึงสามารถรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกทาสโลหิตเหล่านั้นได้ หวังหลินไม่ได้หยุดแต่พุ่งเข้าหาดาวโลหิตพร้อมกับก้อนหินจำนวนมาก
ตอนที่เขาเข้าใกล้ดาวโลหิตมากที่สุด เขาขึ้นไปเหนือแม่น้ำก้อนหิน มือแต่ละข้างคว้าก้อนหินขนาดร้อยฟุตและโยนเข้าใส่ดาวโลหิต
ก้อนหินสองก้อนกระแทกใส่ดาวโลหิตดุจดุกกาบาตจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ขณะที่ก้อนหินเข้าใกล้ดาวเคราะห์ ม่านแสงโลหิตปรากฏขึ้นมาทำให้ก้อนหินทั้งสองแตกสลายไป
ดวงตาหวังหลินเยือกเย็นยิ่งขึ้นกว่าเดิม เขาสะบัดแขนโยนก้อนหินใส่ดาวโลหิตไม่มีหยุด
ท้ายที่สุดหวังหลินยืดแขนตรงและใช้พลังปราณของตัวเองดึงแม่น้ำก้อนหินทั้งหมดเข้าหาดาวโลหิต
ก้อนหินนับไม่ถ้วนกระแทกใส่ลงไป แม้ว่าม่านแสงโลหิตจะแข็งแกร่ง แต่เมื่อไม่มีบรรพชนโลหิตควบคุมมันก็ถึงขีดจำกัด เผชิญหน้ากับพลังเทพโบราณของหวังหลินเข้าไป ม่านแสงโลหิตจึงแตกสลายไปหลังจากเวลาผ่านเพียงครึ่งก้านธูป
หินจำนวนมากตกลงใส่ดาวโลหิต ทุกครั้งที่ก้อนหินตกลงมา ทั้งดวงดาวจะสั่นเทาและเกิดคลื่นกระแทกวงกลมมองเห็นด้วยตาเปล่าและแพร่กระจายไปทุกทิศทาง
ใบหน้าซื่อฉินซีดเผือด พื้นดินสั่นสะเทือนและพลังทำลายล้างได้ทำให้ความคิดนางสั่นสะท้าน นางเห็นก้อนหินขนาดใหญ่พวกนั้นตกลงมาจากท้องฟ้า แต่ละก้อนทำให้พื้นดินสั่นเทารุนแรง
นางไม่อาจจินตนาการได้ว่าเป็นพลังและวิชาอะไรถึงสามารถทำเช่นนี้ได้
“น่ากลัวเกินไป…” ซื่อฉินกัดฟันแน่น ความหวาดกลัวโหมกระหน่ำผ่านร่างนางดุจคลื่นยักษ์ นางมองศาลาโลหิตเบื้องหน้า พลางใช้ฝ่ามือสร้างผนึกเลียนแบบบรรพชนโลหิต
ตลอดหลายปีที่นางอยู่บนดาวโลหิต นางลอบจดจำสัญลักษณืมือที่บรรพชนโลหิตใช้ทุกครั้งที่เปิดศาลาและนางจดจำไว้ในใจอย่างมุ่งมั่น นางมักจะลอบฝึกฝนอยู่บ่อยๆแต่ไม่กล้าใช้กับศาลาโลหิตตามเป้าหมาย
ตอนนี้บรรพชนโลหิตกำลังตาย ดาวโลหิตตกอยู่ในความโกลาหลและกองกำลังต่างแดนกำลังรุกราน นางไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ฝ่ามือขยับเคลื่อนไหวรวดเร็วจนกระทั่งเกิดแสงกระพริบออกมาจากศาลาโลหิต ทางเดินสีแดงปรากฏขึ้นมา สายตาซื่อฉินเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ชั่วขณะนั้นท้องฟ้าพลันมืดขึ้นอีกครั้ง เงายักษ์ถูกทิ้งมาเหนือร่าง ซื่อฉินตกตะลึงและมองขึ้นไปโดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้ทำให้นางตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง
ในท้องฟ้ามียักษ์ร่างสูงพันฟุตกำลังเข้ามานางผ่านอวกาศ สายตาเย็นชาของมันจรดตรงไปบนซื่อฉิน
ร่างซื่อฉินสั่นเทา นางเห็นได้ว่าเบื้องหลังยักษ์ตนนั้นคือก้อนหินขนาดใหญ่กำลังกระแทกใส่บนพื้นดิน ความหวาดกลัวฝังลึกโผล่ออกมาในใจ
นางก้มศีรษะลงมองไปที่ศาลาโลหิตและพุ่งเข้าหาทางเดินโดยไม่ลังเล ทว่าขณะที่นางกำลังก้าวเข้าไป เสียงกรีดร้องโหยหวนและแหลมคมออกมาจากปาก
แสงสีแดงจากอุโมงค์ร่อนลงใส่นาง ทำให้ร่างกายเน่าเสียอย่างรวดเร็วด้วยตาเปล่า ควันสีเขียวออกมาจากร่างและกระทั่งวิญญาณดั้งเดิมก็พังทลาย
ในสายตาของหวังหลิน ร่างสตรีนั้นเปลี่ยนกลายเป็นควันสีเขียวและถูกทางเดินสีโลหิตดูดซับเข้าไป
หวังหลินมองศาลาโลหิตด้วยสายตาเย็นชา เขายื่นมือออกไปคว้าศาลาโลหิตพร้อมกับพื้นดินรอบๆมันร้อยฟุต
ณ ตอนนี้เองก้อนหินจากท้องฟ้าได้ตกลงมาใส่อย่างต่อเนื่อง ทั้งดาวโลหิตตกอยู่ในหายนะ หวังหลินถือศาลาโลหิตอยู่ในมือ ส่วนแขนอีกข้างกำหมัดกระหน่ำใส่พื้นปฐพี
ดาวโลหิตไม่เสถียรยิ่งกว่าเดิมพร้อมกับเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ระลอกคลื่นหลายชั้นกระจายออกมาพร้อมกับฝุ่นผงพัดปลิวขึ้นทุกที่ ชั่ววินาทีต่อมาหวังหลินก็เหาะเหินออกมาจากดาวโลหิตและหายตัวออกไปไกล
ไม่มีทาสโลหิตและองครักษ์โลหิตคนใดพยายามหยุดสิ่งนี้ ความจริงแล้วส่วนใหญ่ต่างก็คำนับฝ่ามือให้ทิศทางที่หวังหลินหายตัวไป
หลังหวังหลินจากไปไม่นานนัก สายตาของทาสแต่ละคนเต็มไปด้วยความงุนงงสับสน ราวกับโซ่ตรวนล่องหนได้รับการปลดปล่อย ทั้งหมดต่างแยกย้ายกันกลับบ้านที่พวกเขาไม่ได้เจอมานานแสนนาน