Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 780

Cover Renegade Immortal 1

780. จางกงเล่ย

‘ขอบเขตจวี่! คนแบบไหนกันถึงได้ถูกผนึกไว้ในวังวนห้าสี? เขาได้ขอบเขตจวี่มาได้อย่างไร?’ หวังหลินไม่อาจสงบจิตใจลงได้

แม้จะดูนิ่งๆแต่ในใจกลับมีคลื่นยักษ์กำลังโหมกระหน่ำ

‘สูงสุดของขอบเขตจวี่คือขั้นวิญญาณแรกกำเนิด คนที่ข้าเคยเจอจากดาวเบญจธาตุ คนผู้นั้นก็มีขอบเขตจวี่และพูดว่าได้รับมาจากสหายที่ตายไปแล้ว นอกจากนั้นครั้งนี้ยังเป็นครั้งที่สองที่ข้าเผชิญกับขอบเขตจวี่!’ หวังหลินเริ่มขบคิดขณะผ่านชิ้นส่วนหลายแห่งผ่านเข้าไปใจกลางแดนสวรรค์

‘เป็นไปได้ว่า…มีหนทางในการทำให้ขอบเขตจวี่พัฒนาขึ้นจริงๆ…’ จิตใจเต้นรัว ลำคอแห้งปาก หลายร้อยปีที่เขามีขอบเขตจวี่เมื่อตอนนั้นได้ทำให้เขาเข้าใจลึกซึ้งถึงพลังอำนาจน่าเหลือเชื่อของมัน

‘จวี่ เต๋า ฉี…’ หวังหลินเริ่มคิด เขารู้น้อยเกินไปจึงไม่สามารถวิเคราะห์ทั้งหมดได้ พลันถอนหายใจและไม่คิดถึงมันอีกและเพ่งความคิดไปที่ตำหนักของสะสมแทน

การเหาะเหินผ่านความว่างเปล่าเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อมาก ขอบเขตของมันกว้างใหญ่และเซียนส่วนมากใช้เวลาไปกับชิ้นส่วนแดนสวรรค์ที่ตนเองอยู่ ทว่าครึ่งเดือนผ่านไปหวังหลินและลี่หยวนก็เคลื่อนผ่านความว่างเปล่าจนเห็นลำแสงหลายเส้นอยู่ไกลลิบ

คราแรกหวังหลินไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก แต่หลังจากผ่านครบหนึ่งเดือนพวกเขาก็ค่อยๆเห็นเหล่าเซียนมากยิ่งขึ้น

ส่วนใหญ่เป็นเซียนขั้นเทวะ นานๆครั้งถึงจะเห็นเซียนขั้นมายาหยิน

พวกเขามากันเป็นกลุ่มก้อนไม่สองก็สามคน หรือบางทีก็รวมกันเป็นกลุ่มตระกูลของตนตอนที่ผ่านหวังหลินไป เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้หวังหลินและลี่หยวนสนใจ

เซียนทั้งหมดมีสีหน้าท่าทางแตกต่างกันแต่ก็มีแววตาตื่นเต้นเล็กน้อยปนอยู่ด้วย

เซียนที่เคลื่อนไปเหล่านี้ต่างก็เห็นหวังหลินและลี่หยวนเช่นกัน เมื่อบางคนในกลุ่มพวกนั้นสังเกตได้ว่าระดับบ่มเพาะของหวังหลินเหนือกว่าขั้นเทวะ สายตาแต่ละคนเผยความระมัดระวังตัวและอ้อมกันไปเพราะไม่ต้องการทำให้เกิดปัญหา

“พี่ซิ่ว มีบางอย่างผิดปกติ หรือจะมีเหตุการณ์ใหญ่จะเกิดขึ้น!?” ลี่หยวนเริ่มขบคิด เขาเห็นเซียนหลายคนมากเกินไประหว่างทาง

นี่มันเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติอย่างมากในความว่างเปล่านี้!

ยิ่งไปกว่านั้นขณะที่ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปหาใจกลาง พวกเขาก็ยิ่งเห็นเซียนมากขึ้นราวกับเซียนทั้งหมดในแดนสวรรค์อัสนีกำลังรวมกันไปที่ชิ้นส่วนแห่งเดียว

“พวกเขาไม่ได้มุ่งหน้าไปตำแหน่งเดียวกัน!” ดวงตาหวังหลินส่องสว่างขึ้น “มันมีสี่ทิศทาง!”

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่…” ลี่หยวนขมวดคิ้วมองเหล่าเซียนที่กำลังเหาะเหินผ่านไป

หวังหลินขบคิดเล็กน้อย เขาพาลี่หยวนเหาะเหินเร็วยิ่งขึ้นโดยไม่กล่าวอะไรอีก

ขณะนั้นปราณกระบี่มากกว่าสิบสายเหาะเหินข้ามผ่านความว่างเปล่า พลังดั้งเดิมมหาศาลออกมาจากปราณกระบี่พวกนั้นทำให้เซียนทั้งหมดรอบด้านไม่กล้าขวางทาง

ปราณกระบี่สิบสายปลดปล่อยแรงกดดันทรงอำนาจ แม้กระทั่งตระกูลที่มีจำนวนเซียนมากมายยังต้องถอยหนีทันทีเมื่อเห็นปราณกระบี่ทั้งสิบนี้

คงไม่จำเป็นต้องพูดถึงเซียนตัวคนเดียว ขณะที่พวกเขาเห็นปราณกระบี่ ต่างก็หยุดชะงักและไม่กล้ามเข้าไปในทางนั้น

พริบตาเดียวเซียนเกือบทั้งหมดเบื้องหน้าหวังหลินมองไปยังปราณกระบี่สิบสายและจากนั้นก็หลีกทางให้

หวังหลินมองไปที่ปราณกระบี่พวกนั้นด้วยสายตาเยือกเย็นสงบนิ่ง

ปราณกระบี่เหล่านี้ไม่ได้หยุดชะงักและตรงข้ามผ่านความว่างเปล่าไป ทว่าขณะที่พวกมันกำลังจะเลือนหายไป หนึ่งในนั้นพลันหันมาและลอยเข้าหาหวังหลิน

ขณะเดียวกันปราณกระบี่ทั้งหมดก็หยุดชะงัก เปลี่ยนเป็นเซียนชายหญิงปะปนกัน ทั้งหมดต่างมีระดับบ่มเพาะเหนือขั้นเทวะ ส่วนใหญ่เป็นขั้นมายาหยินและมีน้อยคนที่เป็นขั้นรูปธรรมหยาง

หลังจากเผยตัวตนออกมา พวกเขาทั้งหมดก็มองไปยังปราณกระบี่ที่กำลังลอยหาหวังหลิน สายตาแต่ละคนเต็มไปด้วยความสงสัย

ไม่ใช่เพียงแค่พวกเขาเท่านั้นแต่เซียนรอบด้านทั้งหมดต่างก็มองปราณกระบี่เส้นนั้นและมันก็เคลื่อนติดตามกันไป

สีหน้าลี่หยวนเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยพลันยกแขนซ้ายขึ้นเตรียมใช้ค่ายกล

หวังหลินยังคงมีท่าทางนิ่งเฉยอย่างยิ่งพลางพยักหน้าเล็กน้อยใส่ปราณกระบี่ที่กำลังลอยเข้ามา

ปราณกระบี่หยุดห่างจากหวังหลินสองร้อยฟุต ลำแสงหายไปและเผยเป็ฯร่างคนชายอายุสามสิบปี ใบหน้าขาวเนียนไร้ขุมขนและหล่อเหลาเล็กน้อย ทว่าดวงตาฟินิกซ์คู่นั้นทำให้ทุกอย่างสั่นไหวเพราะส่งสัมผัสฉบับหญิงสาวออกมา

เขายืนตัวตรงสวมชุดคลุมสีม่วงทอง คำนับฝ่ามือให้หวังหลินและกล่าวด้วยคำพูดคำจาที่เคารพเป็นอย่างยิ่ง “ผู้น้อยจางกงเล่ยขอคารวะผู้อาวุโส!”

ขณะที่เอ่ยขึ้นมา ทุกคนที่ได้ยินพลันตกตะลึงและสายตาทั้งหมดตกลงมาที่หวังหลิน

ตอนนี้แม้จะไม่ได้มีเซียนมากมายอยู่ที่นี่แต่มันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก สายตาทั้งหมดจ้องดูสีหน้าหวังหลินที่ไม่เปลี่ยนไปเลย เขายังสงบนิ่งดั่งสายน้ำ

จางกงเล่ยเป็นคนมีชื่อเสียงมาก ดังนั้นจึงมีเซียนบางส่วนจดจำเขาได้ทันทีแม้กระนั้นก็ยังมีคนสัมผัสถึงพลังดั้งเดิมที่ออกมาจากเขาไม่ได้ แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเขาจึงจดจำได้ทันทีว่าเป็นจางกงเล่ยจากเขตใต้

‘คนผู้นี้เป็นใคร? ระดับบ่มเพาะดูคล้ายคลึงกับจางกงเล่ย แต่กลับถูกจางกงเล่ยผู้มีชื่อเสียงของเขตใต้เรียกว่า ‘ผู้อาวุโส’ ได้อย่างไร!?’

‘ข้าได้ยินว่าจางกงเล่ยเป็นผู้ส่งสาส์นของอารามเทพอัสนีแล้ว การที่ถูกเรียกว่า ‘ผู้อาวุโส’ นั้นนั่นหมายความว่าคนผู้นี้เป็นผู้อาวุโสจากอารามเทพอัสนีหรืออย่างไร?’

ความคิดหลายอย่างผุดขึ้นมาจากจิตใจของเซียนรอบด้าน

ยิ่งไปกว่านั้นคนที่อยู่กลุ่มเดียวกับจางกงเล่ยก่อนหน้านี้ทั้งหมดต่างก็มองมาหยังหวังหลินด้วยสายตาเหลือเชื่อ พวกเขาแต่ละคนเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในตระกูลตนเองและเมื่อจางกงเล่ยเปลี่ยนทิศทางทันที เขากลับไม่พูดอะไรกันก่อน ตอนนี้เมื่อได้ยินจางกงเล่ยกล่าวว่าอีกฝ่ายเป็น ‘ผู้อาวุโส’ จึงทำใหทุกคนอยากรู้อยากเห็น

กล่าวได้ว่าจางกงเล่ยเป็นหนึ่งในคนที่มีระดับบ่มเพาะสูงที่สุดในกลุ่ม ทั้งยังรู้อีกว่าเป็นคนหยิ่งยะโสเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งไม่ใช่แค่แสดงออกมาจากภายนอกเพียงอย่างเดียวแต่มันออกมาจากภายในส่วนลึกของเขา

แม้กระทั่งผู้อาวุโสในตระกูลของตัวเองก็มักจะไม่เคารพอยู่บ่อยๆ ซึ่งหายากนักที่เขาจะเป็นคนเคารพอีกฝ่ายและเรียกว่า ‘ผู้อาวุโส’

จางกงเล่ยเคารพอย่างยิ่ง มันออกมาจากก้นบึ้งจิตใจและมีแต่ความจริงใจ ตอนที่เขาเห็นหวังหลินนั้นจึงเห็นได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นขั้นรูปธรรมหยางและรู้สึกเศร้าใจ

‘เขาเป็นคนที่คู่ควรจะเป็นผู้อาวุโสโดยแท้ ตอนนั้นเขาระงับระดับบ่มเพาะของตัวเองไปที่ขั้นเทวะ ข้าจึงไม่สามารถเห็นระดับบ่มเพาะที่เขาซ่อนไว้ได้เลย ตอนนี้เขาซ่อนระดับบ่มเพาะไปที่ขั้นรูปธรรมหยางอีกและข้าก็ยังไม่อาจเห็นระดับบ่มเพาะที่แท้จริงของเขาได้’ สายตาแห่งความเคารพยกย่องยิ่งมีมากขึ้นในสายตาจางกงเล่ย

หลังเขาจากไปเมื่อคราวก่อน เขารู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างยิ่งและอิจฉาเฉินกงฮู่มาก พอกลับถึงบ้านเขาก็ลังเลและคิดว่าควรจะทำแบบเดียวกับเฉินกงฮู่ดีหรือไม่และคว้าโอกาสทองนั้นเอาไว้

ตอนที่เขาได้ยินว่าเฉินกงฮู่ถูกตระกูลลงโทษและถูกอารามเทพอัสนีทิ้งไป เขากลับรู้สึกซับซ้อนยิ่ง หากเขาไม่พบเจอเรื่องราวก่อนหน้านี้เขาคงหัวเราะออกมาและมองข้ามเฉินกงฮู่ไป

ทว่าหลังจากพบเรื่องราวที่ทะเลสาปสายฟ้า เขากลับยอมรับเฉินกงฮู่ แม้จะรู้สึกเศร้าใจแต่เขาก็ยังชื่นชมเฉินกงฮู่

ลี่หยวนจ้องหวังหลินอย่างตกตะลึงและความคิดว่างเปล่า เขารู้จักชื่อจางกงเล่ยเป็นอย่างดี ท่ามกลางชนรุ่นเยาว์มี จางกงเล่ย เฉินกงอู่และถังหยานเฟิง สามคนนี้ถือว่าเป็นอัจฉริยะในเขตใต้

ทั้งสามถือเป็นอัจฉริยะที่บรรลุขั้นรูปธรรมหยางในช่วงเวลาอันนั้น

ทว่าการที่จางกงเล่ยเรียกซิ่วมู่ว่า ‘ผู้อาวุโส’ นั่นทำให้ความคิดลี่หยวนเบลอจนว่างเปล่า

หวังหลินขมวดคิ้วให้กับจางกงเล่ยและถามออกมา “เจ้ากำลังรีบไปไหนเร็วขนาดนี้?”

ตอนที่จางกงเล่ยเห็นหวังหลินขมวดคิ้ว จิตใจก็สั่นเทา เขากล่าวด้วยท่าทีเคารพยิ่ง “สี่ชิ้นส่วนแดนสวรรค์ของอารามเทพอัสนีได้ปลดปล่อยแรงผันผวนปราณสวรรค์อันรุนแรง ทว่าตำแหน่งนั้นถูกกฏเกณฑ์ผนึกเอาไว้ซึ่งไม่สามารถเปิดขึ้นมาภายในช่วงเวลาอันสั้นได้ แต่เห็นได้ชัดว่าเมื่อกฏเกณฑ์หนึ่งถูกทำลายลงไปจะมีสมบัติมหาศาลปรากฏขึ้น หลังผู้น้อยรู้เรื่องนี้จึงตัดสินใจไปที่นั่นเพื่อตรวจสอบ”

หวังหลินมองไปรอบด้าน ชัดเจนว่าเซียนรอบด้านต่างก็รู้เรื่องนี้ผ่านกรรมวิธีแตกต่างกันไป

“ป้องกันด้วยกฏเกณฑ์งั้นหรือ…” สายตาหวังหลินหรี่แคบ หลังจากลังเลเขาจึงสะบัดแขน “เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะได้อะไรดีดีกลับมา!”

จางกงเล่ยลังเลและกล่าวอย่างเคารพ “ผู้น้อยไม่มั่นใจ ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสจะมีเวลา…อีกทั้งผู้น้อยและเฉินกงฮู่ตกลงกันไว้แล้วว่าจะไปเจอกันบนชิ้นส่วนฝั่งซ้ายเพื่อร่วมกำลังกันนำสมบัติมา!”

หวังหลินขมวดคิ้วหนักขึ้น “ข้ามีเรื่องสำคัญอื่นต้องทำ! หากข้ามีเวลาจะไปดูแล้วกัน”

จางกงเล่ยพยักหน้าทันทีและเผยความตื่นเต้น นอกจากหวังหลิน มีเพียงสมาชิกจากตระกูลเขาไม่กี่คนและอารามเทพอัสนีเท่านั้นที่ทำให้เขาแสดงสีหน้าแบบนี้

จางกงเล่ยคิดขึ้น ‘เมื่อผู้อาวุโสพูดเช่นนี้ ครั้งนี้ข้าก็มั่นใจว่าจะได้สมบัติมาบ้าง!’ เขากล่าวอำลาอย่างนอบน้อมก่อนจะกลับไปหากลุ่มเซียนและเหาะเหินนำไป

สหายเซียนทั้งหมดของเขาต่างมองมาด้วยความสงสัยและติดตามไป จนกระทั่งจากไปได้ไกลแล้วสตรีหนึ่งในนั้นอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นเบาๆ “พี่ใหญ่จาง คนผู้นั้นเป็นใคร?”

จางกงเล่ยยิ้มบาง เอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่ยังเต็มไปด้วยความเคารพ “นั่นเป็นผู้อาวุโสที่ทรงพลังยิ่ง การที่ได้พบเขาคือโชคดีของข้า!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version