Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 781

Cover Renegade Immortal 1

781. คุณสมบัติ

หวังหลินเหาะเหินเข้าไปในความว่างเปล่าโดยมีลี่หยวนติดตามด้านหลังอย่างใกล้ชิด ภายใต้สายตาของเซียนนับไม่ถ้วน สองร่างค่อยๆเลือนหายไป

ระหว่างทางลี่หยวนอยากจะถามอยู่หลายครั้งแต่เขาก็อดทนเอาไว้แล้วไม่กล่าวถึงเรื่องจางกงเล่ยอีกเลย ด้วยสติปัญญาของลี่หยวนเขาจึงรู้ว่าไม่ควรถามทุกอย่างที่ต้องการเพราะทุกคนต่างก็มีความลับของตนเอง

หนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้ใจกลางมากขึ้นก็ยิ่งเห็นผู้คนมากขึ้นและมากขึ้น ในที่สุดวันนี้พวกเขาก็มาถึงใจกลางแดนสวรรค์อัสนี

หลังจากมาถึงที่นี่พวกเขาก็ไม่สามารถเห็นเซียนคนใดได้อีก สถานที่แห่งนี้มืดมิดและไม่สามารถมองเห็นคนอื่นๆได้

หวังหลินยืนอยู่ในความว่างเปล่ามองไปรอบๆอย่างระมัดระวังตัว ในความทรงจำของสมาชิกตระกูลเหยา ชิ้นส่วนที่ถูกผนึกซึ่งมีตำหนักของสะสมคือที่แห่งนี้แน่นอน!

หวังหลินถามขึ้นมา “น้องลี่ ที่นี่เจ้าเห็นอะไรผิดปกติไหม?”

ขณะหวังหลินหยุดลงลี่หยวนก็เริ่มขยับฝ่ามือพลันมองดูพื้นที่ หลังจากนั้นสายตาก็เคร่งเครียด พยักหน้าให้และเอ่ยออกมา “มีระลอกคลื่นกฏเกณฑ์อยู่ที่นี่ แม้ว่ามันจะเบาบางแต่ข้ารู้สึกมันได้ด้วยหัวใจแห่งกฏเกณฑ์ มันคล้ายกับกฏเกณฑ์เทพแต่เป็นสิ่งที่แตกต่าง”

ขณะเอ่ยขึ้นมาก็กดฝ่ามือซ้ายลง กฏเกณฑ์หนึ่งลอยออกไปและแบ่งตัวเป็นสิบแปดชุดเข้าสู่ความว่างเปล่า พลันเค้าโครงกระพริบขึ้นมาและหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ดวงตาหวังหลินส่องสว่าง ขณะที่เค้าโครงนั้นปรากฏ เขาได้เห็นชิ้นส่วนครึ่งโปรงใสอันเลือนลางปรากฏในความว่างเปล่า

มีตำหนักหอคอยอยู่บนชิ้นส่วนแดนสวรรค์ ทว่าเพราะมันหายไปทันทีจึงไม่สามารถสังเกตรายละเอียดได้มากกว่านี้

ลี่หยวนเอ่ย “พี่ซิ่ว ข้าต้องใช้เวลาสักพัก!” เมื่อไหร่ก็ตามที่เขากำลังทำลายกฏเกณฑ์จะเกิดกลิ่นอายความมั่นใจขึ้นรอบตัว

หลังกล่าวจบก็นั่งลงในความว่างเปล่านั้น ฝ่ามือซ้ายเคลื่อนไหวสร้างผนึกอย่างต่อเนื่องปลดปล่อยกฏเกณฑ์ที่ผสมรวมเข้าด้วยกัน บางครั้งก็กดนิ้วลงระหว่างคิ้วและเส้นสีดำลอยออกมา เส้นสีดำห่อหุ้มรอบกฏเกณฑ์อันซับซ้อนและลอยเข้าไปในความว่างเปล่า

เงาชิ้นส่วนแดนสวรรค์แห่งนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้งและหายไปในวินาทีถัดมา ช่องว่างที่เกิดขึ้นนี้เร็วเกินจะจับอะไรได้ทัน

หวังหลินไม่ได้กระวนกระวายนัก เขาเพ่งสมาธิไปบนชิ้นส่วนตอนที่มันปรากฏขึ้นมาแทน

ขณะลี่หยวนวางกฏเกณฑ์เพิ่มขึ้น ชิ้นส่วนก็ค่อยๆปรากฏถี่ขึ้นเรื่อยๆ หวังหลินค่อยได้ภาพของชิ้นส่วนนี้ดีขึ้นอย่างช้าๆ

ตำหนักขนาดใหญ่ตรงใจกลางชิ้นส่วนเสมือนกับหนามแท่งยาวสี่แห่ง พวกมันคล้ายกับเขากระทิงสองคู่ที่กำลังชูขึ้นไปบนท้องฟ้า

มีคนอยู่สี่คนกำลังนั่งอยู่บนยอดเขาทั้งสี่ ทุกคนนิ่งเงียบไม่ไหวติงและยังไม่ใส่ใจอันใดตอนที่หวังหลินมองเข้ามา

รูม่านตาหวังหลินหดเล็กลงและสายตากระพริบเย็นชา

ลี่หยวนกล่าว “พี่ซิ่ว หากท่านต้องการทำลายกฏเกณฑ์นี้อย่างสมบูรณ์ มันจะต้องใช้เวลาหลายเดือน หากแค่ต้องการส่งท่านเข้าไปข้างใน ด้วยความเร็วของท่านผสานกับกฏเกณฑ์ของข้า มีโอกาสสำเร็จถึงแปดในสิบส่วน!”

หวังหลินก้าวไปข้างหน้าและมาถึงปลายขอบของชิ้นส่วนแดนสวรรค์ “เช่นนั้นก็ส่งข้าเข้าไปข้างใน! น้องลี่ซ่อนตัวเองให้ดีเพราะที่นี่มันอันตราย อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับข้าด้วย เมื่อข้าไ้ด้วิชาเทพมา เราจะจากไปทันที!”

ลี่หยวนไม่ต้องการเสียเวลาอันใด ฝ่ามือชี้ระหว่างคิ้วและส่งเส้นสีดำหลายเส้นออกไปตัดขวางเกิดตราประทับ จากนั้นก็สร้างกฏเกณฑ์นับไม่ถ้วนเข้าสู่ตราประทับพลันส่งคลื่นแสงสีดำออกมา

ดวงตาลี่หยวนส่องสว่างพลันชี้ไปข้างหน้า “หัวใจแห่งกฏเกณฑ์ ระเบิด!”

เมื่อตราประทับร่อนลงในความว่างเปล่า ชิ้นส่วนพลันปรากฏขึ้นมาทันที คราวนี้มันกระพริบต่อเนื่อง มันหายไป ปรากฏตัว จากนั้นก็หายไปอีกครั้ง

วงโคจรรวดเร็วนี้ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีสีสันยิ่ง

ส่วนตราประทับนั้นยังส่งลำแสงสีดำออกมา ชิ้นส่วนแดนสวรรค์เริ่มเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง มันกระจายออกไปและก่อเกิดเป็นทางเดินวงกลม

ทว่าทางเดินนี้ไม่เสถียรและดูเหมือนจะแตกสลายได้ตลอดเวลา

“เข้า!” จังหวะที่ลี่หยวนตะโกน หวังหลินพุ่งออกไปดุจลำแสงสายฟ้าและพุ่งเข้าไปในทางเดินวงกลม

ขณะที่เข้าไปได้แล้วมันก็แตกสลาย จากนั้นชิ้นส่วนก็หายไปในความว่างเปล่าพร้อมกับหวังหลิน

‘ข้าหวังว่าพี่ซิ่วจะได้ของดีดี!’ ลี่หยวนขบคิดก่อนจะใช้ฝ่ามือสร้างกฏเกณฑ์ขึ้นมา ร่างกายค่อยๆเลือนหายไปและไม่มีกลิ่นอายรั่วไหลออกมา

รอบด้านกลับคืนสู่ความสงบนิ่ง

ร่างหวังหลินปรากฏตัวบนชิ้นส่วนดุจสายฟ้า พลันแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมา ด้านหลังไม่ใช่ความว่างเปล่าอีกแล้วแต่เป็นม่านกฏเกณฑ์ซึ่งใช้กั้นระหว่างสถานที่แห่งนี้จากส่วนที่เหลือของแดนสวรรค์และทำให้มันเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับสี่ตระกูลใหญ่

หวังหลินใช้สัมผัสวิญญาณจับจ้องไปยังตำหนักตรงกลาง ชั่ววินาทีนี้หนึ่งในสี่คนบนตำหนักลืมตาขึ้นมา จ้องออกไปไกลด้วยความหนาวเย็นและหายตัวไป

หวังหลินเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งและพุ่งตรงไปที่ตำหนัก ระลอกคลื่นพลังดั้งเดิมปรากฏเบื้องหน้าและมีคนผู้หนึ่งเดินออกมา เขาเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีดำ ใบหน้าเย็นเยียบ ปรากฏตัวออกมาไม่นานก็สร้างผนึกขึ้นและประทับลง

“ข้าเฝ้ามองดูเจ้ามานานแล้ว ละเมิดพื้นที่ต้องห้าม เท่ากับตาย!”

แขนขวากระพริบขึ้นและส่งพลังอัดแน่นเข้ามา หวังหลินล่าถอยทันทีและโบกแขนขวา พลังดั้งเดิมแต่ละคนปะทะกันจนเกิดเสียงดังสนั่นกระจายไปทั่วชิ้นส่วน

สายตาของชายชุดำนั้นเย็นเยียบ เขารับรู้ว่าระดับบ่มเพาะของหวังหลินเท่าเดียวกับตนเองมาพักนึงแล้วซึ่งเป็นขั้นรูปธรรมหยาง พร้อมกันนั้นก้าวมาข้างหน้า ฝ่ามือสร้างผนึกและพึมพำบางอย่าง พลังแข็งแกร่งพลันตกลงมาจากฟากฟ้าทันที

หลังจากนั้นไม่นานบังเกิดสายฟ้าสวรรค์หนึ่งสายขึ้นในท้องฟ้าและตกลงใส่หวังหลิน

“นี่คือแดนสวรรค์อัสนี และตำหนักของสะสมเป็นของแดนสวรรค์ ทำไมสี่ตระกูลใหญ่ถึงเข้ามาได้แต่ข้าเข้ามาไม่ได้!?” หวังหลินพ่นลมหายใจเย็นและพุ่งตัวออกไป สายฟ้าสวรรค์กำลังตกลงมาจากฟากฟ้าแต่หวังหลินไม่ได้หลบเลย วิญญาณดั้งเดิมโผล่ออกมาและกลืนกินสายฟ้านั้นเข้าไป

สายฟ้าครอบคลุมร่างกายในทันทีทำให้เขาดูน่าประหลาดอย่างยิ่ง

ชายชุดดำตกตะลึง ใบหน้ามืดมน เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่คิดเรื่องหวังหลินจะกลืนกินสายฟ้าสวรรค์ได้ตรงๆ ขณะนั้นดวงตาหวังหลินส่องสว่าง อ้าปากและพ่นเมล็ดทรายออกมาหนึ่งเม็ด เมล็ดทรายขยายขนาดกลายเป็นตราประทับทันที มันส่งแรงกดดันรุนแรงกดลงใส่ชายชุดดำ

“เพราะเจ้าไม่มีคุณสมบัติ!” ชายชุดดำเยาะเย้ย พลันใช้ฝ่ามือสร้างผนึก ทว่าขณะนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเมื่อวิชาของเขาไม่มีผลอะไรต่อตราประทับที่กำลังตกลงมา

ตราประทับกระแทกเข้าใส่ทันทีด้วยแรงโน้มถ่วง แรงกดดันส่งออกมาทำให้ชายชุดดำไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ตราประทับกระแทกลงใส่ในเสี้ยวพริบตา

ดวงตาของชายชุดดำเผยอาการตกใจ พลันกัดปลายลิ้นและพ่นโลหิตออกมา ร่างกายเรืองแสงโลหิตทันที ขณะที่ตรประทับกำลังกระแทกลง เขาก็หลุดออกจากแรงกดดัน ปรากฏตัวห่างออกไปพันฟุต

ใบหน้าซีดเผือด เผยสายตาดุดันก่อนจะหันกลับไปและจากไปโดยไร้คำพูด

หวังหลินยกแขนขวาคว้าตราประทับและไล่ตามไป

ทั้งสองคนพุ่งเข้าหาตำหนักใจกลางถัดกันไป

ชายชุดดำเหาะเหินไปข้างตำหนักและรีบตะโกนขึ้นมา “ยังไม่ลงมือกันอีกหรือ!?”

อีกสามคนบนตำหนักลืมตาขึ้นมา พริบตานั้นก็ปรากฏตัวข้างชายชุดดำและมองหวังหลินที่กำลังเข้ามาด้วยสายตาเย็นเยียบ

คนที่เหลือสามคนเป็นขั้นรูปธรรมหยางทั้งหมด ตอนนี้มีเซียนขั้นรูปธรรมหยางสี่คนกำลังยืนอยู่ที่นี่ กลิ่นอายทรงพลังแต่ละคนจับจ้องไปบนหวังหลิน

แพร่กระจายจิตสังหารหนาแน่น

หวังหลินดวงตาเย็นเยียบและเอ่ยขึ้น “ตำหนักของสะสมไม่ได้เป็นของสี่ตระกูลใหญ่ ปล่อยข้าผ่านไปและเราไม่ต้องต่อสู้กัน หากไม่ได้ แม้ข้าจะพ่ายแพ้ ครึ่งนึงพวกเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี!”

หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นมา “คนภายนอกไม่มีคุณสมบัติที่เข้าไปในตำหนัก เว้นแต่ว่าเจ้าจะเป็นขั้นส่องสวรรค์!” พวกเขามองเห็นระดับบ่มเพาะของหวังหลินและเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขาตกตะลึงมากมาย ทว่าเมื่อทั้งสี่คนร่วมมือกัน พวกเขาจึงไม่กังวลเรื่องหวังหลินเลย

ขณะที่กลิ่นอายของชายชรามั่นคง เขาพ่นลมหายใจเย็นออกมาก่อนจะก้าวมาข้างหน้าพร้อมตบกระเป๋า กระบี่เหินสีแดงพุ่งออกมา เพียงแค่เขาชี้มันก็ลอยพุ่งใส่หวังหลิน

ที่เหลืออีกสามคนพุ่งออกไปด้วยเช่นกัน หนึ่งในนั้นสร้างผนึกก่อเกิดสายลมกรรโชกและเกิดพายุทอร์นาโดในวินาทีถัดมา ที่เหลืออีกสองคนมองหน้ากันเองและต่างก็สร้างผนึก

หวังหลินล่าถอยทันที ยกแขนขวาขึ้น ตราประทับกระแทกลงไปอย่างโหดเหี้ยม เซียนสองคนต่างใช้วิชาสร้างรูปแบบหยินหยางขึ้นมา รูปแบบนั้นหมุนวงกลมก่อเกิดพลังงานลี้ลับและพุ่งใส่หวังหลิน

สองคนที่สร้างรูปแบบหยินหยางพลันลอยขึ้นสู่อากาศ ชี้นิ้วแต่ละคนออกมา รูปแบบหยินหยางจึงประจันหน้ากับตราประทับ ทั้งสองคนกระตุ้นวิชาเพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันตราประทับไม่ให้ตกลงมา

ส่วนอีกสองคนที่เหลือพุ่งเข้าหาหวังหลินดุสายฟ้า แต่ละคนมีวิชาและสมบัติวิเศษในมือพร้อมกับจิตสังหารเต็มเปี่ยม

ขณะหวังหลินล่าถอย ทุกย่างก้าวทำให้เกิดระลอกคลื่นจำนวนมากราวกับร่างกายกำลังผสานเข้ากับโลก หลังจากล่าถอยไปหลายก้าว เขาพลันหยุดลงและก้าวไปข้างหน้า

เพียงก้าวนี้ ร่างหวังหลินก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งด้านหลังชายชุดดำ อีกฝ่ายตกตะลึงอย่างยิ่ง หันตัวกลับมาและใช้กระบี่แดงเหาะเหินเข้าหาหวังหลิน

หวังหลินชี้มาข้างหน้าและตะโกนด้วยสายตานิ่งเฉย “หยุด!”

ชายชราและกระบี่เหินแข็งค้างในเสี้ยววินาที หวังหลินไม่สนใจกระบี่เหินและก้าวเท้ามาถึงข้างหน้าชายชุดดำโดยไม่ลังเล ชี้ระหว่างคิ้วของอีกฝ่ายส่งพลังดั้งเดิมออกไป

ร่างกายของชายชุดดำแตกสลายทันทีและวิญญาณลอยออกมา เขาตื่นตระหนกและกำลังจะหนี ทว่าแส้แห่งเวรกรรมพลันปรากฏ ฟาดเข้าใส่ดวงวิญญาณดั้งเดิมจนทำให้ชายชุดดำกรีดร้องโหยหวน พลังดั้งเดิมจำนวนมากถูกปลดปล่อย

ในจังหวะนี้มีอีกคนพุ่งเข้ามาด้วยทอร์นาโดยักษ์ เห็นได้ชัดเจนว่าเขาต้องการขัดขวางการกระทำของหวังหลิน

หวังหลินไม่ได้มองอีกคน พลันรอยสักอสูรบนหลังฝ่ามือขวาเคลื่อนไหวและก่อเกิดเป็นรูปร่าง พุ่งเข้าใส่เซียนที่มีทอร์นาโดอย่างดุร้าย

ในเวลาเดียวกันหวังหลินตบกระเป๋านำธงวิญญาณพันล้านดวงออกมาเปลี่ยนเป็นหมอกสีดำและพยายามกลืนกินชายชุดดำ ชายชุดดำกำลังจะต่อต้านแต่ทันใดนั้นเขาได้เห็นวิญญาณดั้งเดิมของบรรพชนโลหิตกำลังกระพริบอยู่ในธง ใบหน้าอันคุ้นเคยนั้นทำให้เขาตกตะลึงและสูญเสียสมาธิ ส่งผลให้ถูกหมอกสีดำล้อมรอบเอาไว้

ทั้งหมดเสร็จสิ้นอย่างสะอาดหมดจดและเรียบง่าย หลังจากเก็บรวบรวมวิญญาณดั้งเดิมของชายชุดดำเข้าไป หวังหลินโบกแขนเสื้อทำให้หมอกดำล้อมรอบบริเวณเอาไว้ เขาจ้องคนที่เหลืออีกสามคนและกล่าวเคร่งขรึม “ข้าต้องการเข้าไปในตำหนักของสะสม”

สองคนที่กำลังต่อต้านกับตราประทับกลับเกิดความคิดสั่นสะท้าน ก่อนที่เขาจะมีเวลาได้เอ่ยอะไร พลันได้ยินเสียงร้องขึ้นมา พวกเขาเห็นเซียนที่ใช้ทอร์นาโดกำลังล่าถอย กระดูกอสูรปลดปล่อยแสงชั่วร้ายพร้อมกับมีกลิ่นอายปิศาจและโหดร้ายเหนือจิตนาการกำลังย่างกรายเข้ามา

กลิ่นอายปิศาจทรงพลังยิ่งและชั่วพริบตาก็พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด แม้หวังหลินจะเป็นเจ้าของมันก็ยังรู้สึกตกใจ กลิ่นอายปิศาจนี้ช่างแข็งแกร่งเกิน

หากหวังหลินยังเกิดอาการนี้ คงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงอีกสามคน จังหวะที่กลิ่นอายปิศาจปรากฏ มันก็หายวับไปอย่างไร้ร่งอรอย ทว่าวิชาทอร์นาโดที่อีกฝ่ายใช้กลับกลายเป็นรูปปั้นหินทันที

ตอนที่สายตาของกระดูกอสูรตกมายังเขา สีหน้าของเซียนเปลี่ยนเป็นซีดเผือดและล่าถอยทันที ทว่าขณะนั้นกลิ่นอายปิศาจโหมกระหน่ำขึ้นมาอีกครั้ง

สายตาของเซียนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ฝ่ามือขวาเปลี่ยนเป็นสีเทาและแพร่กระจายรุนแรง ในจังหวะวิกฤตนั้นเขายกแขนซ้ายขึ้นมาและตัดแขนขวาออกไปโดยไม่ลังเล โลหิตพ่นกระจายออกไปทุกที เขาล่าถอยออกไปมากกว่าหมื่นฟุตและนั่งสมาธิลงทันที

แม้จะตัดแขนตัวเองออกไปแล้วแต่สีเทาไม่ได้หายไปไหนและแพร่กระจายจากแขนซ้ายแทน สายตาเต็มไปด้วยความผิดหวังและกัดฟันแน่น ขณะสีเทาแทบปกคลุมร่างกายเกือบมิด วิญญาณดั้งเดิมก็ลอยออกมาทิ้งร่างกายเอาไว้

ร่างกายทั้งร่างเปลี่ยนเป็นรูปปั้นหินไร้สัญญาณชีวิต สิ่งเดียวที่ลอยอยู่กลางอากาศคือวิญญาณดั้งเดิมอันอ่อนแอ

รอบด้านเงียบสนิทโดยสิ้นเชิง…

“ขอถามอีกครั้ง ข้ามีคุณสมบัติรึยัง?” สายตาหวังหลินตกลงไปที่เซียนอีกสองคนซึ่งกำลังต่อต้านกับตราประทับ น้ำเสียงเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version