783. วิชาของจักรพรรดิเทพ
ร่างนั้นหายไปและสายหมอกเปลี่ยนกลายเป็นขั้นบันไดเบื้องหน้าหวังหลิน ขั้นบันไดนี้นำทางขึ้นไปด้านบนเกินกว่าระยะการมองเห็น
หวังหลินสูดหายใจลึกและเผยสายตามุ่งมั่น ขณะที่เดินขึ้นไปทีละก้าว บันไดข้างหลังก็ค่อยๆหายไป
ขณะนั้นชายชราสามคนด้านนอกตำหนักกำลังพูดคุยกัน ลำแสงสว่างเจิดจ้าพลันออกมาจากตำหนักของสะสมและส่องสว่างมากขึ้นและมากขึ้น
ดวงตาของชายชราตระกูลเฉินตกลงบนแสงและเอ่ยน้ำเสียงสงบ “โอกาสของสหายเซียนซิ่วกำลังเริ่มขึ้น ไม่รู้ว่าเขาจะได้รับวิชาเทพแบบไหนกันในชั้นสี่!”
เซียนนามว่าลิ่ว ผู้สูญเสียร่างกายพลันพยักหน้าและเอ่ยขึ้นมา “ระดับบ่มเพาะสัมพันธ์กับโชค แม้ว่าจะไม่มากมาย เมื่อถึงเวลาหนึ่งมันก็ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ข้าเดาว่าเขาสามารถได้รับวิชาเทพดีดีข้างใน”
เซียนคนสุดท้ายนามว่าซ่งไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมา เขาจ้องตำหนักพร้อมด้วยดวงตาส่องสว่างและเอ่ยน้ำเสียงต่ำ “มีบางอย่างผิดปกติ!”
อีกสองคนตกตะลึงพลันมองมาที่ตำหนักของสะสม สีหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปทันที
บนยอดของตำหนักของสะสม หลังจากเกิดลำแสงเส้นแรกก็มีอีกสี่ลำแสงพุ่งขึ้นเข้าไปบนท้องฟ้า เกิดระลอกคลื่นแพร่กระจายออกมา มองจากพื้นดินแล้วฉากเหตุการณ์นี้ช่างดูยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่ง
“ลำแสงห้าเส้น คนผู้นั้นเข้าไปในชั้นที่ห้าได้จริงๆ!” เซียนลิ่วมองไปที่ลำแสงห้าเส้นและเผยสีหน้าไม่เชื่อสายตาตนเอง
“ดูเหมือนเราจะประเมินสหายเซียนซิ่วต่ำไป เขาเป็นขั้นรูปธรรมหยางระดับสูงสุดและอาจจะอีกครึ่งก้าวสู่ขั้นส่องสวรรค์ด้วยซ้ำ เขาถึงกับเข้าไปในชั้นที่ห้าได้!”
เซียนเฉินเอ่ยขึ้นมา “ถ้าเขาอยู่ในขั้นส่องสวรรค์ มันคงเป็นไม่ได้ที่จะเข้ามาในแดนสวรรค์อัสนี เว้นแต่ว่า…”
ก่อนที่จะเอ่ยจบนั้น ลำแสงปรากฏขึ้นมาจากตำหนักของสะสม คราวนี้เป็นลำแสงสองสายและพวกมันเรียงกันพร้อมกับอีกห้าเส้นก่อนหน้านี้
ลำแสงศักดิ์สิทธิ์เจ็ดเส้นพุ่งเข้าไปในท้องฟ้า ฉากตระการตานี้ทำให้ทั้งสามคนตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง
เซียนชรานามว่าซ่งจ้องไปที่ท้องฟ้าพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง สายตาตกตะลึง “เป็นไปไม่ได้ ลำแสงเจ็ดเส้นหมายความว่าชั้นที่เจ็ด เป็นไปไม่ได้…”
ขณะที่เซียนลิ่วจ้องลำแสงเจ็ดเส้นนั้น ความคิดเขาก็เบลอไปหมด
ส่วนเซียนเฉินนั้น ปฏิกิริยาของเขารุนแรงกว่า สายตาเต็มไปด้วยอาการตกตะลึงและพึมพำขึ้นมา “ระดับบ่มเพาะอะไรกันที่จะเข้าไปในชั้นที่เจ็ดได้…ซิ่วมู่คนนั้นไม่ได้มีระดับบ่มเพาะเช่นนั้น หรือเป็นไปได้ว่า…เขามีโชคที่จะเข้าไปในชั้นที่เจ็ดโดยไม่ต้องผ่านการทดสอบ…”
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังรู้สึกตกตะลึง ลำแสงอีกสองสายก็พุ่งออกไป ตอนนี้มีลำแสงเก้าสายกำลังพุ่งเข้าไปบนท้องฟ้า สำหรับทั้งสามคนนั้น ลำแสงพวกนี้ดุจสายฟ้าที่กำลังดังสนั่นในสองหู
สามคนนั้นไม่อาจกล่าวอะไรได้สักคำ พวกเขาจ้องท้องฟ้าด้วยสายตาว่างเปล่า
หากเป็นลำแสงห้าเส้น พวกเขาพอเข้าไปใจได้ว่าซิ่วมู่อาจจะซ่อนระดับบ่มเพาะของตัวเอง แม้ว่าจะน่าตกตะลึงมันก็เป็นที่ยอมรับได้ ทว่าหลังจากมีลำแสงเจ็ดเส้นปรากฏขึ้นมา นั่นก็ทำให้ตกตะลึงพอแล้ว พวกเขาปฏิเสธที่เชื่อว่าซิ่วมู่กำลังซ่อนระดับบ่มเพาะ
ลำแสงเส้นที่เก้าสามารถอธิบายได้อย่างเดียวว่ามีโชคมหาศาล ไม่มีคำอธิบายอื่น
ผลกระทบของลำแสงเก้าเส้นนำพาให้พวกเขานิ่งอึ้งมากมายเกินไป กล่าวได้ว่าตอนที่เหล่าบรรพชนของตระกูลของพวกเขาเข้ามาที่นี่ยามแดนสวรรค์เปิดขึ้น พวกเขาทำได้แค่เข้าไปในชั้นที่แปดเท่านั้น
ไม่มีใครสามารถเข้าไปในชั้นที่เก้าได้เลยสักคน
หลังจากหวังหลินเดินไปได้สักพัก ในที่สุดเขาก็มาถึงขั้นสุดท้าย บันไดด้านล่างเขาส่องสว่างเจิดจ้าและตำหนักแห่งหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้า
ตำหนักแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่นักและมีกรอบไม้มากกว่าสิบชิ้นบนแต่ละข้าง แต่ละกรอบมีหินหยกสวรรค์หนึ่งชิ้นส่องแสงสว่างเรืองรอง
กำแพงตรงด้านหน้าเขามีภาพวาดแขวนเอาไว้ ในรูปวาดมีต้นไม้อยู่หนึ่งต้น ครึ่งนึงของต้นไม้มีใบสีเหลือง มีเด็กชายคนหนึ่งใต้ต้นไม้ดูเหมือนกำลังบ่มเพาะ
มุมซ้ายล่างของภาพวาดมีลายมือเขียนไว้ด้วยน้ำหมึก
“เรียกขานสายลม อัญเชิญสายฝน คลังเวทย์ พสุธาถล่มขุนเขาพังทลาย จันทรามืดมิด นภากระจ่างใส”
หวังหลินขบคิดอย่างเงียบๆชั่วครู่ขณะจ้องภาพวาดนั้น เขาไม่สามารถหาสิ่งอื่นน่าสนใจเกี่ยวกับภาพวาดได้แต่พบบรรทัดที่น่าสนใจมาก
‘เรียกขานสายลม อัญเชิญสายฝน น่าจะเป็นสองวิชา คลังเวทย์น่าจะเป็นหนึ่งวิชาด้วย ส่วนครึ่งหลังส่วนแรก ‘พสุธาถล่มขุนเขาพังทลาย’ น่าจะเหมือนกัน แต่อะไรคือความหมายของจันทรามืดมิด นภากระจ่างใส…’
หวังหลินไม่อาจมองทะลุความหมายที่ซ่อนไว้เบื้องหลังได้ ดังนั้นจึงถอนสายตาออกมาและสังเกตในห้อง ห้องแห่งนี้เรียบง่ายมาก ไม่มีแม้กระทั่งโต๊ะสักตัวเดียว ทว่าบนพื้นมีแผ่นหินจมลงไป ชัดเจนว่ามีคนที่บ่มเพาะบนแผ่นหินนี้มานานจนทำให้มันเป็นแบบนี้
หวังหลินก้าวเดินมาข้างหน้าและเฝ้ามองแผ่นหินอย่างระมัดระวัง มันดูธรรมดายิ่ง ไม่มีอะไรพิเศษ แต่เมื่อเขาพยายามสัมผัสมันก็ต้องประหลาดใจ เพราะฝ่ามือเขาพุ่งผ่านแผ่นหินเข้าไป
หวังหลินขมวดคิ้วเล็กน้อยและจากนั้นมองกรอบไม้รอบตัว วินาทีหลังจากนั้นสีหน้าท่าทางก็มืดมน
ความยินดีก่อนหน้านี้หายไปอย่างสิ้นเชิง
แม้จะมีหินหยกสวรรค์ในกรอบไม้พวกนี้ แต่ก็เช่นเดียวกับแผ่นหิน พวกมันทั้งหมดเป็นภาพมายาและไม่มีอยู่จริง
ขณะที่สังเกตการณ์ หวังหลินยิ้มบิดเบี้ยวเมื่อพบว่าเขาสามารถเห็นของที่นี่ได้เท่านั้นแต่ไม่สามารถสัมผัสพวกมันได้ ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างเป็นภาพมายา
‘หากรู้แบบนี้ข้าคงไปที่ชั้นสี่เสียก็ดี อย่างน้อยมันก็ไม่เป็นแบบนี้’ หวังหลินขมวดคิ้ว สายตากวาดผ่านในห้องก่อนจะตกลงบนภาพวาดเบื้องหน้า
หลังขบคิดอยู่สักพัก ดวงตาหวังหลินส่องสว่างขึ้นและนั่งลงบนพื้น จ้องภาพวาดอย่างเงียบงัน
‘ชั้นที่เก้าซึ่งเป็นสถานที่ที่ขุนนางเทพเข้ามาได้ ไม่อาจเป็นของง่ายดาย บางทีฉากเหตุการณ์นี้เป็นภาพมายาในสายตาข้าและขุนนางเทพสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ง่ายๆ หากเป็นเช่นนั้น ภาพวาดนี่กลับน่าประหลาดไปเล็กน้อย’
หวังหลินกำลังมองภาพวาดอย่างละเอียด
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆและหวังหลินค่อยๆสงบนิ่งลง เขาไม่ยอมกลับไปมือเปล่าในชั้นที่เก้า หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์แล้ว เขาเชื่อว่าภาพวาดนี้คือกุญแจสำคัญ
หวังหลินปลดปล่อยความคิดทั้งหมดและซึมซับในภาพวาดเพื่อหาว่ามีเบาะแสอะไรอยู่ภายใน
เขาค่อยๆสงบนิ่งและความคิดจมอยู่ในภาพวาด ขณะเวลาผ่านไปหวังหลินก็ค่อยๆหลับตาลง
แม้แต่ตอนหลับตา ภาพวาดนั้นยังปรากฏอยู่ในความคิด ราวกับเขาได้เข้าไปในภาพวาดเสียแล้ว หลังเวลาผ่านไปสักพักหวังหลินก็ลืมตาและพึมพำ “มีบางอย่างผิดปกติ…มีม่านกั้นบางๆป้องกันข้าไม่ให้เข้าไปในภาพวาดได้จริงๆ”
หลังขบคิดอยู่สักพักดวงตาก็หรี่แคบ สายตาจ้องไปบนเด็กชายที่อยู่ใต้ต้นไม้ในภาพวาด
หวังหลินจำได้ชัดเจนว่าเด็กชายพึ่งจะฝึกฝน ไม่แม้แต่จะสร้างผนึกด้วยฝ่ามืออันใด ทว่าในตอนนี้แขนของเด็กชายได้สร้างผนึกหนึ่งอย่าง
การค้นพบนี้ทำให้ความคิดหวังหลินสั่นเทาและเริ่มสังเกตภาพวาดอย่างละเอียด
เวลาผ่านไปอีกครั้ง เจ็ดวันผ่านไปในพริบตา กุญแจสำคัญที่หวังหลินพบก็คือทุกสองถึงสามชั่วโมง ฝ่ามือของเด็กชายจะเปลี่ยนไป ทว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปอย่างลกึลับ ยากที่จะสังเกตเห็นเว้นแต่เขาจะใส่ใจมัน
ช่วงระยะเวลาเจ็ดวันนี้ หวังหลินจดจำผนึกทั้งหมดที่เด็กชายสร้างขึ้นมาได้ ในวันที่แปดหวังหลินนั่งลงและเริ่มสร้างผนึก ตอนที่ผนึกปรากฏขึ้นมานั้น ทั้งตำหนักก็เริ่มสั่นไหว หวังหลินหยุดทันทีและมองไปรอบด้านอย่างระมัดระวังก่อนที่จะสร้างผนึกขึ้นต่อไป
เหมือนกับก่อนหน้านี้ ตอนที่ผนึกปรากฏขึ้นมา ทั้งตำหนักก็สั่นไหวราวกับกำลังหดลง
การค้นพบครั้งนี้ทำให้หวังหลินตกตำลึงอย่างมหาศาล ฝ่ามือเคลื่อนไหวเร็วขึ้นอีก แต่หลังจากสั่นไปไม่กี่ครั้ง ตำหนักก็หยุดสั่น หวังหลินจ้องมองภาพวาดและฝ่ามือเคลื่อนไหวเร็วขึ้น เขารู้สึกว่าร่างกายกำลังหายไปและความคิดเลื่อนเข้าไปในภาพวาดนั้น
เมื่อหวังหลินสร้างผนึกสุดท้าย เขาก็รู้สึกเกิดเสียงตู้มในหัว ร่างกายฟุบลงบนพื้น วิญญาณดั้งเดิมรู้สึกสั่นไหวและตาลาย
เมื่อวิสัยทัศน์แจ่มชัด จิตใจสั่นเทาจ้องไปยังรอบด้าน
รอบด้านเขาเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ด้านหลังมีต้นไม้ใหญ่ตั้งตระหง่าน ครึ่งนึงของต้นไม้เป็นสีเหลือง เมื่อสายลมพัดผ่านจะมีใบไม้ส่ายไปไหมจนเกิดเสียงกรอบแกรบ
หวังหลินก้มศีรษะลงและพบว่าตัวเองกำลังสวมชุดเต๋า เขาเข้ามาในภาพวาดและกลายเป็นเด็กชายคนนั้น
ฉากเหตุการณ์นี้น่าประหลาดเกินไป หวังหลินยืนขึ้นมาและมองไปที่ท้องฟ้า ในมุมบนขวาของท้องฟ้ามีขีดเขียนเป็นคำด้วยน้ำหมึกสีดำ คำพวกนั้นคือประโยคที่เขาเห็นจากข้างนอก
“เรียกขานสายลม อัญเชิญสายฝน คลังเวทย์ พสุธาถล่มขุนเขาพังทลาย จันทรามืดมิด นภากระจ่างใส”
ขณะที่หวังหลินมองไปที่เส้นนั้น มันก็เปลี่ยนกลายเป็นหยดน้ำหมึกและตกลงมาเหมือนสายฝนไปยังพื้นรอบด้าน ความว่างเปล่ารอบตัวเขามลายหายไปและถูกแทนที่ด้วยเสียงอึกทึก
ร่างลวงตาหลายคนปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า เขาไม่สามารถเห็นใบหน้าแต่ละคนได้ชัดเจน แต่ในไม่นานที่พวกเขาปรากฏตัว ทุกคนต่างก็นั่งลง ท้ายที่สุดหวังหลินก็ถูกล้อมด้วยคนเหล่านี้
เสียงสนทนาเงียบๆดังออกมาจากทุกทิศทาง แต่ขณะที่หวังหลินได้ยินเสียงพวกเขา ก็มิอาจได้ยินชัดนึกว่ากำลังพูดเรื่องอะไรกัน
วินาทีหลังจากนั้นเสียงทั้งหมดก็หายไปเมื่อมีร่างหนึ่งเดินออกมา ร่างคนผู้นี้เลือนลางด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเขาปรากฏตัวกลับมีแรงกดดันแผ่ไปทั่วพื้นที่
เขาลอยตัวกลางอากาศและนั่งลง น้ำเสียงชัดแจ๋วดังออกมาดูเหมือนกำลังยิ้ม
“วันนี้ ปรมาจารย์อิสระจะวาดภาพการเปิดตำหนักของสะสม ขุนนางรึนไป๋เชิญช้ามาชม ข้าจึงใคร่ขอเชิญทุกท่านสหายเทพของข้าพร่ำฟังการสั่งสอนเต๋าจนกว่าการวาดภาพจะแล้วเสร็จ นี่คือเต๋าที่ข้าได้รู้มา!”
ขณะที่คนผู้นั้นเอ่ยขึ้น เขาก็ยกแขนขวาและเกิดเสียงสายลมคำราม สายลมนี้กลายเป็นสีดำและปกคลุมท้องฟ้า ขณะที่มันกวาดผ่านน่านฟ้าไปมันก็กลายเป็นมังกรดำเก้าตัว เสียงคำรามของมังกรและกลิ่นอายแข็งแกร่งแต่ละตัวทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี สายลมดำกวาดผ่านบริเวณไปพร้อมกับมังกรดำเก้าตัวพ่นสายลมหนาวเหน็บออกมา พลังอำนาจเหนือจินตนาการเช่นนั้นได้ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับชีวิตของตัวเองดุจเปลวเทียน หากถูกสายลมนี้ตีเข้าใส่ก็คงจะตายทันที!
ราวกับชีวิตของทุกสิ่งในโลกขึ้นอยู่กับสายลมนี้ พลังอำนาจที่อยู่ภายในสายลมนั้นเหนือล้ำกว่าจินตนาการของหวังหลิน
“นี่คือเรียกขานสายลม! มันสามารถดับไฟชีวิตทุกอย่างได้!”
ความคิดหวังหลินสั่นไหวรุนแรงเนื่องจากเกิดความเจ็บปวดมิอาจจินตนาการได้ปรากฏขึ้นมา ราวกับมันต้องการฉีกกระชากเขาให้ออกจากกัน วิญญาณหวังหลินแตกสลายและกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที
ชั่วขณะนั้นพลังอ่อนโยนก็ออกมาจากความว่างเปล่าและห่อหุ้มรอบดวงวิญญาณของหวังหลิน น้ำเสียงแจ่มใสหัวเราะออกมา “วิชาของจักรพรรดิเทพช่างอัศจรรย์ วิชานี้ชื่อว่าเรียกขานสายลม ขุนนางผู้นี้จะเขียนมันลงบนภาพวาดของปรมาจารย์อิสระ ภาพวาดนี้จะถูกเก็บไว้ในชั้นที่เก้าของตำหนักของสะสม จะมีใครสักคนรู้แจ้งวิชานี้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคของคนผู้นั้นเสียแล้ว!”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ดวงวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินดูเหมือนจะกลายเป็นน้ำหมึกและถูกใช้มันเขียนเป็นคำสามคำ
“เรียกขานสายลม!”
ในเวลาเดียวกันพลังอันแข็งแกร่งก็ออกมาจากคำสามคำนั้น ดวงวิญญาณหวังหลินก่อตัวขึ้นมาใหม่และลอยออกไป วิสัยทัศน์กลายเป็นภาพเบลอ ล่องลอยออกจากภาพวาดและร่อนกลับไปในร่างกายที่ฟุบอยู่บนพื้น
หวังหลินลืมตาขึ้นมาพร้อมกับร่างกายสั่นเทา สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว คำพูดพวกนั้นยังคงดังก้องในหู
“นี่คือโชค…” หวังหลินสูดหายใจลึกและจากนั้นจ้องไปที่ภาพวาด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นรู้สึกจริงเป็นอย่างยิ่ง
“จักรพรรดิเทพ…ขุนนางเทพ…และปรมาจารย์อิสระ ผู้เป็นคนวาดภาพ…” ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าภาพวาดเบื้องหน้าถูกวาดโดยคนคนเดียวกันกับที่เขาเห็นในมิติเก็บของ!
หลังขบคิดอย่างเงียบๆสักพักหวังหลินก็ยืนขึ้นเดินออกไป ไม่มองแม้แต่หินหยกสวรรค์ด้านข้าง เทียบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้รับมา สิ่งอื่นบนชั้นเก้าซีดจางไปเลย
เมื่อเดินออกมาจากชั้นเก้า บันไดหลายชั้นปรากฏด้านล่างฝ่าเท้าของหวังหลิน สายตายังตกอยู่ในความภวังค์ราวกับยังไม่ฟื้นฟูจากฉากเหตุการณ์ในภาพวาด
หวังหลินพึมพำกับตัวเองขณะเดินลงบันได “วิชาเทพ เรียกขานสายลม!” เมื่อมาถึงด้านล่าง เขาก้าวเท้าและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากที่เวลาทั้งหมดได้ผ่านไป คนทั้งสามนอกตำหนักได้ฟื้นฟูจากอาการตกใจ ราวกับว่าพวกเขายังไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
ความอิจฉาค่อยๆเข้าสู่ในความคิดของแต่ละคน ท้ายที่สุดมันก็ทรงพลังจนเกือบจะแทนที่ตรรกะเหตุผลแต่ละคนได้
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะคาดเดาไปต่างๆนาๆว่าวิชาแบบไหนกันอยู่ในชั้นที่เก้า แต่ยิ่งพวกเขาคาดเดาก็ยิ่งเกิดความปรารถนารุนแรงขึ้น
ขณะนี้ประตูของตำหนักสะสมพลันส่องสว่างขึ้นและหวังหลินเดินออกมา เขายังตกอยู่ในอาการงุนงง เดินผ่านทั้งสามคนออกไปไกล
ทั้งสามคนสังเกตได้ว่าสภาวะปัจจุบันของหวังหลินมีบางอย่างผิดปกติ ทั้งสามคนมองหน้ากันเองและเห็นความโหดเหี้ยมและเด็ดขาดในสายตา
“ขออภัยด้วยสหายซิ่ว เทียบกับการเชิญเจ้าไปที่ตระกูลแล้ว ข้าอยากได้วิชาเทพจากชั้นเก้ามากกว่า ยิ่งเฉพาะสภาวะปัจจุบันของเจ้าแล้ว หากเจ้ามีสติ ข้าก็อาจจะลังเล แต่เมื่อเจ้าตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ นี่คือโอกาสจากสวรรค์!” ชายตระกูลเฉินเผยจิตสังหารออกมา
สามคนหยุดลังเลและพุ่งออกไป พวกเขานำสมบัติที่ทรงพลังที่สุดของตัวเองออกมาและพุ่งออกไปด้วยวิชาที่ทรงพลังที่สุดเข้าหาหวังหลิน!