Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 859

Cover Renegade Immortal 1

859. มาถึง

อารามเทพอัสนีกำลังประทานฉายาเทพ 108 คน! สี่เขตแดนจึงกลายเป็นสนามแข่งขันอันโหดร้าย!

นี่นับเป็นครั้งแรกที่มีการมอบตำแหน่งฉายาเทพให้นับตั้งแต่ที่แดนสวรรค์ล่มสลายมา ทั้งยังมีขุนนางเทพฉิงชุ่ยผู้สั่งสอนวิชาเทพอีก นอกเหนือจากนี้ยังมีสัญญาจากสองตระกูลโบราณและตระกูลลึกลับจากยุคแรกเริ่มมอบสิทธิ์การใช้สระเทพ

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้จึงผลักดันการแข่งขันตำแหน่งเทพขึ้นถึงจุดสูงสุด!

อารามเทพอัสนีใช้การแข่งขันตำแหน่งเทพเพื่อนำพาเจตนาการต่อสู้ของทั้งดาราจักรทุกชั้นฟ้าให้ถึงจุดสูงสุดก่อนที่การต่อสู้กับดาราจักรพันธมิตรเซียนจะเริ่มขึ้น!

ตระกูลเซียนนับไม่ถ้วนจากทั้งสี่เขตแดนได้ส่งคนออกไปหาพื้นที่ที่ได้เตรียมเอาไว้ จากนั้นผู้ส่งสาส์นของอารามเทพอัสนีจะเป็นคนตัดสิน คนจำนวน 108 คนจากแต่ละเขตจะถูกส่งไปที่อารามเทพอัสนีเพื่อการแข่งขันสุดท้าย!

เขตทิศใต้ หนึ่งในสามดาวหลัก ดาวปฐพีเพลิง อวกาศห่างออกไปจากดาวนับหมื่นลี้ถูกห่อหุ้มไปด้วยแสงสว่างไสว

พื้นที่ระยะนับพันลี้คือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเซียนนับไม่ถ้วน ที่นี่คือสนามต่อสู้สำหรับเขตทิศใต้

ห่างออกไปนับพันลี้มีก้อนหินสีฟ้ามากมายลอยเคว้งคว้าง แต่ละก้อนมีอย่างน้อยหนึ่งคนนั่งอยู่ ก้อนหินสีฟ้าแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่

ก้อนหินสีฟ้าถูกเตรียมเอาไว้เพื่อสำหรับคนที่ต้องการเฝ้าชมการแข่งขัน ในตอนนี้มีเซียนไม่น้อยกว่าหมื่นคนแพร่กระจายไปทั่วก้อนหินสีฟ้า!

ระดับบ่มเพาะแต่ละคนแตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่เป็นเซียนในขั้นแรก นอกจากสมาชิกตระกูลที่มาพร้อมกับคนแข่งขันแล้ว พวกเขายังมาเพื่อรับชมวิชาเทพคนอื่นๆด้วย

ท่ามกลางก้อนหินสีฟ้ามากมายยังมีก้อนหินสีแดงอีกเป็นจำนวนมาก แต่ละก้อนมีเซียนหนึ่งคนนั่งอยู่ด้วยแววตาเปล่งประกายการต่อสู้ คนพวกนี้คือคนที่ได้รับสิทธิ์การต่อสู้เพื่อตำแหน่งฉายาเทพในเขตทิศใต้!

ก้อนหินสีแดงมีราวๆ 300 ถึง 400 ก้อน คนจำนวน 108 คนจะถูกเลือกให้เข้าไปในอารามเทพอัสนีจากคนเหล่านี้

ณ ตอนนี้ภายในสนามรบนั้นคือพื้นที่กว้างหลายพันลี้ เซียนสองคนกำลังต่อสู้กัน วิชามากมายเต็มไปทั่วบริเวณ ทั้งสองฝ่ายมีฝีมือเสมอ ผู้ชมทั้งหมดเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะการต่อสู้ถัดไปจะยิ่งเข้มข้มกว่า

แน่นอนว่ายังมีเซียนหลายคนที่เพียงแค่ชำเลืองคราเดียวก็ถอนสายตา เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้รอบนี้ไม่พอให้สนใจ

จางกงเล่ยคือหนึ่งในนั้น!

ตระกูลจางเป็นตระกูลใหญ่ จางกงเล่ยเป็นผู้เยาว์ที่ดีที่สุดของตระกูลจาง ความคาดหวังในตระกูลคือการเป็นยอดฝีมือสิบอันดับแรกของการแข่งขันทิศใต้!

‘สิบอันดับแรก…ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด มันก็อยู่ในมือแล้ว!’ จางกงเล่ยกวาดสายตาดุร้ายผ่านบริเวณและสายตาตกลงบนหินก้อนหนึ่ง บนหินก้อนนั้นมีเฉินกงฮู่นั่งหลับตาสนิท ดูเหมือนเขาจะสังเกตสายตาของจางกงเล่ยได้และลืมตาขึ้นมา

ทั้งสองยิ้มให้กันและถอนสายตา

เมื่อเฉินกงฮู่ถอนสายตาออกมา เขาก็มองออกไปไกลด้วยท่าทีเยือกเย็น เดิมทีเขาต้องการช่วยนายของตัวเองเมื่อพบว่าตระกูลเหยากำลังไล่ล่าเขา ทว่าบรรพชนตระกูลเฉินกงออกมาหยุดเขาด้วยตัวเอง

แม้เฉินกงอู่จะไม่เต็มใจ ท้ายที่สุดก็ต้องยอมจำนน ทว่าเขาก็อดไม่ได้ที่เยาะเย้ย ตระกูลเหยากำลังหาเรื่องใส่ตัวที่ไปตอแยนายเหนือหัวของเขา!

แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจะอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเฉินกงฮู่ นายเหนือหัวเขาก็ตอกกลับตระกูลเหยาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฆ่าเซียนจำนวนมากไปและได้ฉายาจ้าวปิศาจ

ในที่สุดการต่อสู้สั่นสะเทือนฟ้าดินในเขตเหนือได้ทำให้ชื่อ “ซิ่วมู่” ดังสะท้อนไปทั่วดาราจักรทุกชั้นฟ้า!

แม้ว่าทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นมาเป็นหน้าเป็นตา แต่มันแตกต่างจากความประทับใจของเฉินกงฮู่มาก เขาเงียบมาแล้วสักพัก พอนึกถึงเรื่องทุกอย่างก่อนหน้านี้ หัวใจเกิดความรู้สึกขมขื่น

ด้วยไหวพริบของเฉินกงฮู่ เขาจึงคาดเดาเอาไว้ว่า

‘ข้ากลัวว่าซิ่วมู่ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนที่ข้าจินตนาการเอาไว้…ข้ากลัวว่าระดับบ่มเพาะของเขาน้อยกว่าของเขา…ไม่ว่าเขาจะบากบั่นหมั่นเพียรแค่ไหนเขาก็เพิ่มระดับบ่มเพาะได้สูงสุดที่ขั้นรูปธรรมหยางเหมือนกับข้า’ จิตใจเฉินกงฮู่รู้สึกซับซ้อนยิ่งพลางถอนสายตาออกมาจากความว่างเปล่า

จางกงเล่ยก็รู้สึกซับซ้อนไปพร้อมๆกับเฉินกงฮู่ เขาเป็นคนฉลาดเหมือนกันและเมื่อข่าวคราวเรื่องหวังหลินถูกตระกูลเหยาไล่ล่าได้เข้าถึงหูเขา เขาก็ค่อยๆตระหนักรู้ความจริง หัวใจเต็มไปด้วยความขมขื่น

‘ซิ่วมู่…ข้าไม่คาดคิดว่าแม้กระทั่งข้า จางกงเล่ย จะมีวันที่ข้าโดนหลอก ไม่ใช่ว่าข้ามองระดับบ่มเพาะของเขาไม่ออก แต่มันไม่มีอะไรเลยต่างหากเพราะข้ามองเห็นระดับได้ง่ายๆ เขาต้องบังเอิญพบโชคดีจนบรรลุขั้นรูปธรรมหยางในแดนสวรรค์อัสนีและไม่ได้ซ่อนระดับบ่มเพาะเหมือนที่ข้าคิด!’

‘แม้ตอนนี้เขายังอยู่ที่ขั้นรูปธรรมหยาง ข้าก็ยังเข้าใจเขาผิด!’ จางกงเล่ยถอนหายใจและเต็มไปด้วยความผิดหวัง

จางหยุนนั่งอยู่บนหินสีฟ้าก้อนหนึ่งด้านหลังจางกงเล่ย เมื่อนางเห็นเขาขมวดคิ้ว นางก็ถอนหายใจออกมา นางเข้าใจดีว่าลูกพี่ลูกน้องของตัวเองกำลังคิดเรื่องผู้อาวุโสคนนั้น…

ในช่วงระยะเวลานี้ชื่อของผู้อาวุโสกลายมาโด่งดังในดาราจักรทุกชั้นฟ้า ทุกครั้งที่นางนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแดนสวรรค์อัสนี นางจะรู้สึกตกใจ หากไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสเป็นผู้นำ นางคงตายไปแล้ว

ก้อนหินแดงอีกก้อนมีถังหยานเฟิงนั่งอยู่ เขาถอนหายใจเย็นโดยไม่ได้พูดอะไร

จางกงเล่ย เฉินกงฮู่และถังหยานเฟิงเป็นคนที่มีชื่อเสียงในแดนใต้ ทั้งสามคนมีชื่อเสียงเรียงนามว่าสามหายนะแห่งแดนใต้!

นอกจากเหล่าผู้ชมมากหน้าหลายตาจากตระกูลเซียน มีอีกหลายคนที่นี่ที่รับผิดชอบในการจัดการต่อสู้ สามคนในนั้นมาจากอารามเทพอัสนี

สองในสามคนสวมชุดคลุมสีเขียว ดวงตาเย็นเยียบเฝ้ามองทุกสิ่งอย่าง ส่วนอีกหนึ่งแก่ชรา สวมชุดคลุมสีม่วง ดวงตาหลับสนิทราวกับไม่สนใจสิ่งใดที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า

สองผู้ส่งสาส์นชุดคลุมสีเขียวจากอารามเทพอัสนีต่างก็เคารพผู้อาวุโสชุดม่วงเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งบรรพชนรอบแดนใต้ต่างก็เคารพเขา

นอกจากสามคนนี้ยังมีบรรพชนตระกูลเซียนในแดนใต้อีกหลายคน พวกเขาต่างกำลังนั่งอยู่บนก้อนหินสีขาว! ก้อนหินสีขาวมีน้อยกว่าสิบก้อน ทว่าแต่ละคนบนนั้นต่างเป็นคนมีชื่อเสียง!

อย่างไรก็ตามบรรพชนตระกูลเฉินกงและเล่ยหยุนจื่อไม่ได้อยู่ที่นี่

การต่อสู้ในลานประลองกำลังค่อยๆมาถึงจุดสิ้นสุด ตระกูลเซียนสองตระกูลเฝ้ามองดูสนามรบอย่างใกล้ชิด

วินาทีต่อมา ร่างนักสู้คนหนึ่งสั่นสะท้านขณะโดนวิชาเข้ากระแทกร่าง ใบหน้าซีดเผือด โลหิตไหลออกมาจากมุมปาก พอเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามไล่ตามหลังมา เขาก็ถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “ข้ายอมแพ้!”

เสียงหัวเราะดังออกมาจากคนที่กำลังไล่เขา เขากลับมาและเลิกไล่ตาม

เหงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในสนาม เป็นหนึ่งในผู้ส่งสาส์นชุดเขียวจากอารามเทพอัสนี เขากะพริบสายฟ้าวูบวาบปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับกวาดสายตาไปทั่วสนาม “ลี่เย่ ชนะ!”

ขณะที่การต่อสู้เกิดขึ้นด้านนอกดาวปฐพีเพลิง หวังหลินปรากฏร่างในความว่างเปล่าห่างออกไปนับแสนลี้

เขามองออกไปด้วยสายตาเยือกเย็น

‘ลี่หยวนบอกว่าการแข่งขันในเขตใต้ถูกตั้งไว้ที่ดาวปฐพีเพลิง! ผู้เข้าร่วมทุกคนจำเป็นต้องมีป้ายสิทธิ์คุณสมบัติจากเขตใต้เพื่อเข้าร่วม! หากใครไม่มีจะไม่อนุญาตให้เข้าไปและเมื่อมันเริ่มขึ้นมาแล้ว พื้นที่ภายในระยะแสนลี้จะถูกผนึก! หากมาสายก็จะไม่อนุญาตให้เข้าไป!’ หวังหลินพ่นลมหายใจเย็นและก้าวเท้า เกิดระลอกคลื่นใต้ฝ่าเท้าและหลังจากก้าวครั้งที่สอง ร่างกายก็หายไป

ภายในระยะแสนลี้จากดาวปฐพีเพลิง มีเซียนนั่งอยู่ระยะหมื่นลี้ ก่อตัวเป็นวงแหวนล้อมรอบดาวปฐพีเพลิงและป้องกันไม่ให้คนภายนอกเข้าไป

พลังปราณหลายเส้นสายโผล่ออกมาจากพวกเขาและเชื่อมต่อกันอย่างเหนียวแน่นก่อตัวเป็นเครือข่าย จังหวะที่ตำแหน่งคนผู้หนึ่งเปลี่ยนไปก็จะถูกอีกคนเข้าทดแทนในทันที

เหมิงหลินกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางดวงดาวด้วยความโกรธเกรี้ยวปะทุในใจ เขาเป็นคนจากตระกูลเหมิงแห่งดาวปฐพีเพลิง เขาต้องการใช้โอกาสนี้สังเกตการณ์วิชาเทพที่พวกเขาใช้ระหว่างการประลอง ทว่าเขากลับถูกส่งออกมาข้างนอกนี้จนโกรธเกรี้ยวยิ่ง

พอคิดถึงเพื่อนร่วมงานที่พบว่าเขาถูกส่งออกมาดูแลข้างนอกนี่กลับมีความสุขนความโชคร้ายของเขา เขาจึงมืดมนยิ่งและไม่อาจสงบจิตใจลงได้

“ถ้าข้าสามารถเห็นวิชาเทพมากมายที่ใช้ในการประลองฉายาเทพครั้งนี้ โดยเฉพาะกลุ่มสามหายนะแห่งแดนใต้นั่น ข้าคงได้รับประโยชน์ในการบ่มเพาะแน่!” เหมิงหลินถอนหายใจมืดมน เขาอยู่ในขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายเท่านั้นและไม่สามารถก้าวเข้าสู่ขั้นเทวะในขั้นตอนสุดท้ายได้ จากนั้นดวงตาพลันหดเล็กลงจ้องตรงออกไปไกล

ระลอกคลื่นหนึ่งพลันปรากฏห่างจากเหมิงหลินไปพันฟุต เมื่อระลอกคลื่นปรากฏ คนผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา

เขาสวมชุดสีขาว เส้นผมดำขลับพริ้วไสวไร้แรงลม โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นส่องประกายยอดเยี่ยม วินาทีที่เหมิงหลินสบสายตาเขา ราวกับมีประกายสายฟ้านับไม่ถ้วนระเบิดอยู่ในใจ วิญญาณดั้งเดิมแทบสูญสลายและพลังปราณรั่วไหลออกมาจากร่างกายโดยตรง

วินาทีนั้นเขาก็สิ้นสติ

ร่างหวังหลินกระพริบวูบวาบและเดินผ่านเหมิงหลินไป จนเมื่อหวังหลินห่างออกไปไกลเหมิงหลินจึงได้สติกลับมา เขามองกลับไปด้านหลังแต่ไม่เห็นอะไร

‘ประหลาด ทำไมข้าถึงมึนงงไปได้…’ เหมิงหลินเกาศีรษะและอดคิดถึงเหตุผลไม่ได้ หลังจากถอนหายใจออกมาเขาก็เริ่มบ่มเพาะ น่าประหลาดที่ครั้งนี้เขาทำสำเร็จและจมเข้าไปในการบ่มเพาะได้ด้วยเวลาสั้นๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version