ตอนที่ 108 คว้าโอกาส
หลัวเฟิงกลั้นลมหายใจ…
ตระกูลใหญ่ที่ใช้ทั้งเส้นสายและเงินสินบนนับหมื่นๆ ล้านยังไม่สามารถแม้แต่จะคว้าได้ซักตำแหน่งฝึกเดียว? แถมยังมีอุปกรณ์ในตำนานถูกขุดขึ้นมาใช้ในการฝึกด้วย?
“ซากโบราณคดี มันมีของพวกนั้นจริงๆ เหรอครับ?” หลัวเฟิงอดถามเสียไม่ได้
“แน่นอน” หยางฮุยยิ้ม “มีมากกว่าหนึ่งซะอีก คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักมันหรอก แม้แต่พวกนักสู้ยังไม่ค่อยรู้จักมันเลย มีเฉพาะบุคคลสำคัญและพวกเบอร์ต้นๆ ของโลกเท่านั้นที่จะได้รู้ความลับนี้”
หยางฮุยรู้สึกมั่นใจมานานแล้วว่าหลัวเฟิงจะต้องกายเป็นเทพสงครามในวันหนึ่ง
ฉะนั้นแล้ว เขาจึงไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้กับหลัวเฟิง
“คุณหยางฮุย ท่านประธาน ค่ายอันดับหนึ่งนี้สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็วงั้นหรือครับ?” หลัวเฟิงถามต่อ
“อย่างไม่มีข้อกังขาเลยล่ะ!” ประธานโจวเจิ้งหย่งกล่าวอย่างมั่นใจ “ระดับสมรรถภาพร่างกาย เทคนิค วิชาดาบ ประสบการณ์ต่อสู้ และอื่นๆ ของนายมันจะไม่เกี่ยวข้องเลยล่ะ! อัตราการเติบโตของนายภายในค่ายจะเพิ่มขึ้นมากกว่าจากที่นายฝึกหนักด้วยตัวเองหลายเท่า! อย่างที่บอก เรามีอุปกรณ์ที่ดีที่สุดพร้อมหมดทุกอย่าง อุปกรณ์ที่มีอยู่โดยเฉพาะที่มาจากซากโบราณคดี จะเป็นประโยชน์ในการเติบโตมากๆ เลยล่ะ”
“เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว?” หลัวเฟิงเริ่มคิดถึงตัวเอง
อัตราการเติบโตของสมรรถภาพร่างกายของเขาตอนนี้ก็ไวมากอยู่แล้ว…
ถ้าเขาเข้าค่ายฝึกอันดับหนึ่งของโลกและได้ความช่วยเหลือจากอุปกรณ์ชั้นเลิศ ไม่แน่ เขาอาจจะกลายเป็นนักสู้ระดับเทพสงครามขั้นสูงในเวลาอันรวดเร็วก็เป็นได้
ถ้าเรายังอยู่ในนครเจียงหนาน เราคงจะต้องระแววเรื่องอีแร้งกับแมงป่องพิษตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนี้คงแย่แน่ ทำไมเราไม่ไปร่วมกับทางสุดยอดค่ายฝึกล่ะ และมันยังเป็นศูนย์กลางของสำนักงานใหญ่สำนักขีดสุดอีก อีแร้งกับแมงป่องพิษคงเข้าไปสืบหาที่นั่นไม่ได้แน่
หลัวเฟิงตัดสินใจได้ในทันที
การได้เข้าร่วมกับสุดยอดค่ายฝึกนั้นมันเยี่ยมมาก! ที่นั่นมีอัจฉริยะจากทั่วโลกเข้าร่วม การได้แข่งขันกับเหล่าอัจฉริยะพวกนั้นเป็นอะไรที่สุดเหวี่ยงจริงๆ
“ขออีกหนึ่งคำถามครับ”
หยางฮุยและโจวเจิ้งหย่งมองหน้าหลัวเฟิง
“ผมจะกลับออกมาได้เมื่อไหร่หลังจากที่เข้าร่วมค่ายฝึกไปแล้วครับ?” หลัวเฟิงเอ่ยถาม
“ค่ายฝึกหัวกะทิใช้เวลาฝึก 5 ปี! ภายใน 5 ปีนี้ นายจะได้กลับบ้านแค่ช่วงเดือนมกราและกุมภาเท่านั้น” หยางฮุยตอบ “แน่นอน ถ้านายกลายเป็นเทพสงครามภายใน 5 ปีนี้ นายสามารถจบหลักสูตรก่อนได้เลย”
หลัวเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย
กลายเป็นเทพสงครามแล้วจบหลักสูตร! ถ้าไม่กลายเป็นเทพสงคราม ก็จะต้องอยู่ที่นั่นถึง 5 ปี
“แต่ถึงจะมีนักเรียนจำนวนมาก” โจวเจิ้งหย่งหัวเราะ “ที่ได้กลายเป็นเทพสงคราม แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของพวกเขาอย่างแท้จริง จนกว่า…พวกเขาจะสามารถล่าสัตว์ประหลาดระดับจ่าฝูงและนำกลับมาที่ค่ายได้ ไม่งั้นพวกเขาจะต้องพยายามทำไปเรื่อยๆ จนครบ 5 ปี”
ระดับของพวกเขาจะถูกประเมินจากบันทึกการต่อสู้! ถึงแม้นักเรียนบางคนจะเป็นเทพสงคราม แต่ถ้าพวกเขาไม่สามารถล่าสัตว์ประหลาดระดับจ่าฝูงได้ พวกเขาก็จะไม่ถูกประเมินว่าเป็นเทพสงคราม! ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้องอยู่ที่ค่ายจนกระทั่งครบ 5 ปี
“หลัวเฟิง ขนาดเทพสงครามเองยังฝันอยากจะเข้าไปในค่ายฝึกเลย ฉะนั้น ถึงแม้ว่านายจะกลายเป็นเทพสงครามแล้วก็เถอะ นายควรจะอยู่ที่นั่นต่อไปเรื่อยๆ นะ” หยางฮุยเตือนให้คิด แล้วเขาก็หัวเราะ “แน่นอน ถ้านายได้เข้าไปที่นั่นแล้ว เดี๋ยวนายก็จะเห็นเองแหละว่ามันดีต่อตัวนายขนาดไหน”
หลัวเฟิงพยักหน้ารู้สึกตัวสั่น…ดูเหมือนว่าค่ายฝึกหัวกะทิจะเป็นอะไรที่น่าดึงดูดไม่ใช่เล่นเลย
“คุณหยางฮุย แล้วบททดสอบระดับ B คืออะไรครับ? หลัวเฟิงถามอีก
“เป็นบททดสอบนาย” หยางฮุยกล่าวจริงจัง “บททดสอบระดับ B …มันยากสุดๆ! นายน่าจะควบคุมตัวเองได้ดีมาก เพราะนายสำเร็จขั้นที่ 3 ของวิชาดาบสายฟ้า 9 ขั้นแล้ว แต่โอกาสที่นายจะผ่านบททดสอบระดับ B…”
พอเขาพูดเช่นนั้น หยางฮุยก็ถึงกับส่ายหน้า ชัดเจนว่า…เขายังไม่ค่อยมั่นใจในหลัวเฟิงมากนัก
“อันที่จริง นายจะต้องได้ทดสอบเพียงแค่บททดสอบระดับ A ธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ทว่า กองทัพจีนคว้าตำแหน่งฝึกไปแล้วหนึ่งที่หลังจากเข้ามาขอเจรจาที่สำนักงานใหญ่ ดังนั้น ถ้ายานต้องการเข้าร่วมนายจะต้องผ่านบททดสอบระดับ B ให้ได้” หยางฮุยไม่ปกปิดแต่อย่างใด “แน่นอน นายยังพอมีความหวังที่จะผ่านได้ ถ้านายไม่ยอมแพ้ ความหวังยังมีเสมอ”
“ครับ” หลัวเฟิงกล่าวอย่างมั่นใจ
ถ้าสถานการณ์แย่จริงๆ เขาก็แค่ใช้พลังจิตเข้าช่วยเสริมพลังก็เท่านั้น
เขามั่นใจว่าเขาจะผ่านบททดสอบระดับ B ได้อย่างไม่มีปัญหา!
“สงสัยอะไรอีกไหม?” หยางฮุยถามยิ้มๆ
“ไม่แล้วครับ” หลัวเฟิงส่ายศีรษะ
“นายอยากเข้าทดสอบบททดสอบระดับ B รึเปล่าล่ะ? ถ้านายไม่ผ่าน นายก็ยังได้เข้าค่ายฝึกระดับพื้นฐานอยู่ดีนั่นแหละ!” หยางฮุยมองหน้าหลัวเฟิง
“ผมอยากลองดูครับ” หลัวเฟิงพยักหน้า
หยางฮุยพยักหน้าเล็กน้อยและมองไปที่เครื่องทดสอบพลังหมัด “ไป ลองชกให้ดูหน่อย”
นี่เป็นเพียงการทดสอบง่ายๆ ด้วยการดูจากสายตาของหยางฮุยและโจวเจิ้งหย่ง พวกเขาสามารถเห็นได้เลยว่าหลัวเฟิงสำเร็จวิชาดาบสายฟ้า 9 ขั้นไปถึงไหนแล้ว มันขึ้นอยู่กับตัวเลขบนหน้าจอ เมื่อเขาชกออกไป ทุกอย่างก็จะแสดงออกมาเอง
ด้วยกำลังเปล่าๆ 10,002 กิโลกรัม
ด้วยการระเบิดพลังทั้งหมด 28,061 กิโลกรัม
ผ่าน!
หยางฮุยไม่ต้องการแม้แต่ทดสอบความเร็วและปฏิกิริยาโต้ตอบของหลัวเฟิงเลย เพราะเขาแค่ต้องการดูว่าหลัวเฟิงสำเร็จวิชาดาบสายฟ้า 9 ขั้นไปถึงไหนแล้วเท่านั้น
…………..
หลัวเฟิงนั่งอยู่บนโซฟาและมองไปยังสัญญาที่อยู่ในมือของเขา
นี่คือสัญญาเข้าร่วมการฝึกพิเศษ
“สำนักขีดสุดไม่ค่อยเรื่องมากกับนักสู้ดีแฮะ” หลัวเฟิงไม่มีข้อขัดข้องใดๆ กับสัญญา เขาเซ็น 4 แผ่นรวดโดยไม่ต้องมัวกลับไปอ่านซ้ำ
“สัญญา 4 แผ่นนี้ แผ่นหนึ่งให้ไว้กับนาย อีก 3 แผ่นจะเก็บไว้ที่สำนักงานใหญ่” หยางฮุยยิ้มก่อนจะหยิบกล่องไม้สีดำขึ้นมา กล่องไม้สีดำนี้มีตราประทับ ซึ่งเป็นตราประทับของนักการทูต ลายเซ็นของหยางฮุยไม่ได้ส่งผลใดๆ มีแต่ตราประทับนี้เท่านั้นที่สำคัญที่สุด
ปึก! ตราประทับ ประทับลงบนสัญญา
“อย่าให้หายนะ” หยางฮุยส่งสัญญาให้หลัวเฟิงแผ่นหนึ่ง
“จูเก่อ บอกเหิงเซี่ยมานี่หน่อย” หยางฮุยสั่ง
“ครับ” จูเก่อเทาลงลิฟต์ไปทันที
ครู่ต่อมา ประตูลิฟต์ก็เปิดขึ้นอีกครั้ง จูเก่อเทามาพร้อมกับเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง เด็กวัยรุ่นคนนั้นมีผมสีออกเหลืองๆ เขารูปหล่อเอาการทีเดียว ดูๆ ไปแล้วเหมือนพวกดาราในวงการบันเทิงด้วยซ้ำ
“หลัวเฟิง นี่คือเหิงเซี่ย หนึ่งในนักสู้หนุ่มที่สำนักเราตัดสินใจส่งไปร่วมค่ายฝึกในปีนี้ เขาก็คือยอดอัจฉริยะเหมือนกัน” หยางฮุยยิ้ม
หลัวเฟิงเดินเข้าไปหาแล้วยิ้มพลางยื่นมือออกไป “หลัวเฟิง”
“เหิงเซี่ย” เหิงเซี่ยหน้าหล่อยื่นมือออกมาจับกับหลัวเฟิงแล้วเขย่าเล็กน้อย
“เหิงเซี่ย นี่คือรุ่นพี่ของนาย เขาจะไปที่สำนักงานใหญ่สากลกับนาย รุ่นพี่นายตั้งเป้าที่จะเข้าร่วมกับค่ายฝึกหัวกะทิ”
ขณะที่หยางฮุยกล่าวเช่นนั้น เดิมทีจากที่เหิงเซี่ยสีหน้าเรียบเฉย เขาก็พลันมีสีหน้าทึ่งไปทันที แน่นอน ในฐานะอัจฉริยะที่กำลังจะได้เข้าร่วมกับทางค่ายฝึกขั้นพื้นฐาน เขาก็รู้เรื่องเกี่ยวกับค่ายฝึกหัวกะทิเช่นกัน
คนที่สามารถเข้าร่วมกับค่ายฝึกขั้นพื้นฐานได้ คืออัจฉริยะ
ส่วนคนที่สามารถเข้าร่วมกับค่ายฝึกหัวกะทิได้นั่นคือ สุดยอดอัจฉริยะ…ปีศาจ!
“รุ่นพี่หลัวเฟิง ผมขอแนะนำตัวครับ ผมเหิงเซี่ย นักศึกษาปีหนึ่งมหาวิทยาลัยเจียงหนานครับ” เหิงเซี่ยรู้สึกสนใจอย่างเห็นได้ชัด อัจฉริยะย่อมรู้สึกถึงความกดดันเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสุดยอดอัจฉริยะกว่าได้
“มหาวิทยาลัยเจียงหนาน…มหาวิทยาลัยที่ดีสุดในเจียงหนานของเราน่ะเหรอ?” หลัวเฟิงยิ้มพลางกล่าวชม “นายเก่งจริงๆ รุ่นพี่ของนายคนนี้สอบตกกระทั่งชั้นมัธยม”
“อย่าล้อเล่นเลยรุ่นพี่…เขาก็เรียนกันถมเถไปน่ะครับ ยิ่งกว่านั้นยังมีมหาวิทยาลัยอีกตั้งหลายแห่งที่ดีกว่าที่เจียงหนานของเรา และทั่วประเทศจีนก็มีคนที่จะเข้าค่ายฝึกหัวกะทิ ได้เพียงแค่คนเดียวต่อ 5 ปีเท่านั้น!” เหิงเซี่ยกล่าว
เหิงเซี่ยที่อยู่ต่อหน้าหลัวเฟิงคนนี้ ดูจะไม่ภูมิใจในตัวเองเอาเสียเลย
อันที่จริง…ค่ายฝึกหัวกะทิจะยอมรับเอาเฉพาะอัจฉริยะของอัจฉริยะจากกองทัพ ตระกูลใหญ่ และแวดวงนักสู้เท่านั้น แล้วจะมีซักกี่คนที่ได้เข้าค่ายฝึกบ้าง? ถ้าเกิน 10 คนต่อ 5 ปีก็ถือว่ามหัศจรรย์สุดๆ แล้ว!
“หลัวเฟิง เหิงเซี่ย” หยางฮุยยิ้ม “พวกนายเดินทางไปที่สำนักงานใหญ่สากลกับฉันเลยละกัน! ไปเจอกันที่สนามบินก่อนบ่าย 2 โมงของวันที่ 28 มีนานี้นะ!”
“ครับ”
“ครับ”
หลัวเฟิงและเหิงเซี่ยรับคำ
“เอาล่ะ พวกนายกลับบ้านไปแจ้งครอบครัวด้วยว่า ต่อไปจะมีแค่ช่วงปีใหม่พวกนายถึงจะได้กลับมา” หยางฮุยกล่าว
หลัวเฟิงและเหิงเซี่ยต่างพากันเดินไปขึ้นลิฟต์แล้วออกจากที่นั่นไป
…………
ท้องฟ้ามืดมิด หนึ่งในมุมเมืองแห่งนครเจียงหนาน เมืองหยางโจว บ้านนับพันนับหมื่นหลังเปิดไฟสว่างไสว
รถยนต์ประจำของพันธมิตรใต้ดินคันหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ไปบนถนนอย่างช้าๆ หลัวเฟิงมองออกไปนอกหน้าต่างรถและเห็นตึกรามร้านค้าเรียงรายสลับกันไป “หยางโจว…เราอยู่ที่นี่มาหลายปี อีกไม่นานเราคงจะต้องจากมันไป ออกจากเมืองจีนไปสู่สำนักงานใหญ่สากล! 5 ปี? นานอะไรขนาดนี้! ยังดีที่เราติดต่อหาครอบครัวผ่านวีดีโอแชทได้ เรายังต้องมุ่งมั่นกับเรื่องยาอายุวัฒนะที่หลัวฮว๋ามุ่งหวังอยู่ แล้วก็…อาเหวิน ก่อนเราจะไป เราต้องไปหาเขาสักครั้ง”
อาเหวินเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่เล่นหัวกับเขามาตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์ของพวกเขาเทียบเท่ากับที่เขาและหลัวฮว๋ามีต่อกัน ตั้งแต่ที่หลัวเฟิงกลายเป็นนักสู้ อาเหวินยังคงไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ดังนั้น พวกเขาจึงมีโอกาสได้พบกันเฉพาะตอนช่วงปีใหม่เท่านั้น
“ยังต้องไปพบพี่ๆ ทีมค้อนอัคคีอีก! ถึงจะร่วมทีมกันไม่นาน แต่ยังไงก็ผ่านอะไรมาไม่น้อย”
ทันใดนั้น…คนๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในหัวใจของหลัวเฟิง…
สวีซิน! แล้วเขาจะทำยังไงกับเรื่องสวีซินดีล่ะ?
“สวีซิน…เรากำลังจะออกจากจีนไปที่สำนักงานใหญ่สากล เราจะเอายังไงดีเนี่ย?”
ความรู้สึกของหลัวเฟิงสับสนไปหมด ขณะที่เขามองไปที่ตึกรามบ้านช่องที่เปิดไฟสว่างไสว ความรู้สึกของเขาก็เต้นพล่าน ทั้งหวานทั้งเปรี้ยวประเดประดัง หลังจากที่สูดหายใจลึกเต็มที่ หลัวเฟิงก็ส่ายศีรษะ
“จะไปคิดยากทำไมเนี่ย เราก็แค่วีดีโอแชทหาเธอบ่อยๆ เมื่อเรามีพลังและอำนาจมากพอ…ตอนนั้นก็คงไม่มีใครมาห้ามความสัมพันธ์ของเรากับสวีซินได้อีกแล้ว โอ้ใช่…สวีซินอยู่ที่นี่นี่นา อืม…เหิงเซี่ยนั่นก็อยู่ที่มหาวิทยาลัยเจียงหนานเหมือนกัน”
หลัวเฟิงมีความประทับใจอันดีกับนักสู้อัจฉริยะเหิงเซี่ยคนนั้น ที่จะออกจากบ้านและไปอยู่ต่างแดนเป็นเวลานานเหมือนกับเขา
“อาเหวินอยู่ที่โรงเรียนเตรียมทหารอันดับ 2 ของเจียงหนานและสวีซินอยู่ที่มหาวิทยาลัยเจียงหนาน! พวกเขายังคงเรียนอยู่ ถึงตอนนั้น เราไปพบกับอาเหวินกับสวีซินเพื่อกล่าวลาพร้อมกันเลยดีกว่า”
ปี๊บ…!
รถยนต์ได้วิ่งเข้าสู่เขตหมิงเยว่ บ้านของเขาเอง…!