ตอนที่ 94 สวีซิน
“ทำไมหัวหน้าถึงได้โทรมาตอนนี้นะ?”
สายลมหนาวยังคงหวีดหวิวและหิมะยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย แต่ความคิดมากมายยังคงโหมลุกอยู่ในใจของหลัวเฟิง หลังจากสูดหายใจเข้าเต็มปอด เขาก็พูดแผ่วเบา “โทรกลับ!”
ปี๊บ…ปี๊บ…ปี๊บ…
“สวัสดี หลัวเฟิง” เสียงหัวหน้าเกาเฟิงดังลอดออกมา
“หัวหน้า มีอะไรหรือครับ?” หลัวเฟิงกล่าวพลางหัวเราะ
เสียงของเกาเฟิงต่ำลงทันที “ฉันแน่ใจว่านายคงเห็นค่าหัวจำนวนมหาศาลนั่นแล้ว 1 แสนล้านเชียวนะ มากพอจะทำให้พวกนักสู้บ้าคลั่งกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อมีการแจ้งว่า…ฆาตกรน่าจะเป็นเทพสงครามหรือไม่ก็นักอ่านจิต! ไม่ว่ายังไง นายอย่าเผยตัวเด็ดขาด ไม่งั้นนายเจอปัญหาใหญ่แน่…เนื่องจากทีมค้อนอัคคีของเรากับทีมเขี้ยวพยัคฆ์ขัดแย้งกันอยู่ และพานย่าหนึ่งใน 4 คนของทีมนั้นยังมาตายในเหตุนี้ด้วย นายจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้ง่ายมากๆ ถ้ามีคนรู้ว่านายเป็นนักอ่านจิต นายจะตกเป็นเป้าหมายของผู้คนนับแสนแน่ ยังไงก็ดูแลตัวเองให้ดี สิ่งที่ไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา”
“เข้าใจแล้วครับ แต่ผมไม่ได้เป็นคนทำเรื่องนั้นนี่นา เพราะงั้นผมคงไม่ต้องกลัวอะไร แต่จะว่าไปหัวหน้า ฆาตกรคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ เขาฆ่าทั้ง 4 คนนั้นโดยไม่มีใครทันติดต่อบอก 2 สามีภรรยานั่นเลย เขาจะต้องเป็นผู้ทรงพลังแน่ๆ” หลัวเฟิงแสร้งชมเชย
“ใช่…เขาแข็งแกร่งจริงๆ” เกาเฟิงชมเชยเช่นกัน
หลัวเฟิงกล่าวต่อ “และเพราะพานย่าตายแล้ว นี่จึงเป็นข่าวดีด้วย ทีมค้อนอัคคีของเราจะได้ไม่ต้องมีปัญหาอะไรอีกในอนาคต”
“จริง นี่เป็นประโยชน์กับเราทีเดียว ฉันอยากจะย้ำกับนายอีกซักครั้งนะ ระวังตัว ระวังตัวให้มากๆ! เรื่องนี้ล้อเล่นไม่ได้เลย ฉันจะไปเตือนพวกเฉินกู่และคนอื่นๆ ด้วย ไม่ต้องกังวล…ถ้าใครบังอาจเปิดเผยเรื่องนี้ฉันไม่เอาไว้แน่ โอ้ใช่…เมื่อไหร่นายจะกลับมาที่หัวเมือง? ชิ้นส่วนต่างๆ ที่ได้มาพวกเรายังเก็บเอาไว้อยู่ กะว่ารอนายมาถึงแล้วค่อยตกลงขายแบ่งกัน”
หลัวเฟิงยิ้ม “ผมจะอยู่ที่นี่ต่ออีกซักหน่อย แต่เพราะหัวหน้าทีมเขี้ยวพยัคฆ์ตายแล้ว ผมก็คงไม่มีธุระอะไรแล้ว อีก 2 วันผมก็จะกลับแล้วล่ะครับ”
“โอเค แล้วเจอกัน” เกาเฟิงกล่าวลา
“แล้วเจอกันครับ”
หลัวเฟิงวางสายแล้วก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียดทันที
ฟังจากโทรศัพท์ ดูเหมือนว่าหัวหน้าเกาเฟิงจะกล่าวเตือนเขาด้วยความร้อนใจ แต่หลังจากได้ยินที่หัวหน้าพูด เขาก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที แต่ทว่า มีสิ่งหนึ่งที่ฉุกคิดขึ้นมาได้หลังจากพิจารณาดู…สมาชิกอีก 4 คนของทีมอาจกำลังสงสัยเขาอยู่ก็ได้
ทว่าทั้งสี่คนนั้นก็ไม่มีหลักฐานที่เพียงพออยู่ดี! แต่ก็คงจะไว้ใจอะไรไม่ได้ซะทีเดียว
“ทางที่ดีที่สุดสำหรับเราที่จะเชื่อใจพวกเขาได้คือพวกเขาจะต้องไม่โทรหาเรา ถ้าพวกเขาไม่โทรมา พวกเขาก็จะไม่สามารถหาหลักฐานอะไรได้”
หลัวเฟิงขมวดคิ้ว
“แต่หัวหน้าโทรมาหาเราและดูเหมือนจะเป็นห่วงเรา…ถ้าเราไม่ทันระมัดระวัง ด้วยแรงกดดันจากเงิน 1 แสนล้าน เราอาจจะกระวนกระวายและพลั้งปากบอกทุกคนอย่างกับคนที่เราสนิทก็ได้”
หลังจากที่หลัวเฟิงคิดได้ดังนั้น เขาก็อดจะรู้สึกกลัวขึ้นมาทันทีไม่ได้! อันที่จริง เด็กหนุ่มมีอายุยังไม่ถึง 20 ด้วยซ้ำ เพิ่งฆ่าบุคคลสำคัญไปและถูกตั้ง ‘ค่าหัว’ ผู้คนส่วนใหญ่จะกระวนกระวายสุดๆ ญาติหรือเพื่อนสนิทของพวกเขาจะชักจูงพวกเขาได้ง่ายมาก และสุดท้ายพวกเขาก็จะยอมเปิดเผยทุกอย่างให้กับคนเหล่านั้นฟัง!
“การสอบถามเราต่างๆ นานา แบบนี้ทำให้เรายิ่งกังวลขึ้นไปอีก และความกังวลนี้มันทำให้คนเราประมาทได้ง่ายๆ ถ้าเราเปิดเผยความลับ ก็อาจจะถูกบันทึกเอาได้ ถ้าหัวหน้าใช้เครื่องบันทึกการสนทนาอยู่”
หลัวเฟิงสูดหายใจเข้าลึก
“ด้วยข้อมูลที่ว่าเรากำลังตามไล่ล่าทีมเขี้ยวพยัคฆ์และเราเป็นนักอ่านจิต ความจริงจากทางพ่อแม่ของหลี่เวยอีกที่ว่าเราเป็นหนึ่งในนักสู้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง…และสุดท้าย ตามเสียงบันทึก…”
มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่า? ด้วยหลักฐานมากขนาดนี้ สถานะของฆาตกรก็จะถูกยืนยันได้อย่าง 100%
หลัวเฟิงสูดหายใจเข้าลึก…ความจริงคือ ถ้าเขายอมรับความจริงด้วยปากของตัวเอง เขาจะต้องเจอกับปัญหาใหญ่แน่
โชคดีที่เขาต้องอยู่ภายใต้ความกดดันมาตั้งแต่เด็ก เขาทำงานและทำงานจนกลายเป็นนักสู้ หลังจากผ่านความกดดันมายาวนาน มันทำให้เขาสามารถรับมือกับเรื่องที่หนักๆ ได้มากกว่าคนอายุ 20 เสียอีก
…………
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ และหิมะก็เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุให้ทุกสิ่งที่มองเห็นด้านนอกกลายเป็นสีขาวโพลน ในขณะเดียวกันอุณหภูมิก็ลดต่ำลงอย่างน่าหวั่นใจ เวลาผ่านไปย่างเข้าสู่ช่วงกลางดึก
ในห้องเล็กๆ สภาพเหมือนรังหนู
หลัวเฟิงนั่งขัดสมาธิ “เราได้รับโทรศัพท์ 2 สายในวันนี้! สายหนึ่งจากหัวหน้าและอีกสายหนึ่งจากเว่ยชิง หัวหน้าดูเหมือนจะเป็นกังวลมากขณะที่เว่ยชิงดูอาการเหมือนจะตกใจ”
ตอนช่วงบ่ายๆ สิ่งที่เว่ยชิงพูดตอนที่เขาโทรมาคือ… “ให้ตายสิ เจ้าบ้า หัวหน้าเพิ่งจะบอกพวกเราให้ระมัดระวังอย่าเปิดเผยสถานะนักอ่านจิตของนาย นายคงไม่ได้ฆ่า 4 คนนั้นใช่ไหม?”
การโทรของเว่ยชิงและเกาเฟิงมันยิ่งเพิ่มความสงสัยของหลัวเฟิง
แน่นอน…แค่สงสัยเท่านั้น! บางทีหัวหน้าอาจจะมีน้ำใจจริงๆ และเว่ยชิงก็อาจจะเป็นห่วงเขาในฐานะน้องชายจริงๆ ก็เป็นได้
“มนุษย์เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก เพราะจิตใจมนุษย์เป็นอะไรที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ด้วยอำนาจเงิน พี่ชายอาจเปลี่ยนเป็นคนอื่น คู่รักก็อาจแยกทาง พ่อแม่กับลูกก็อาจตัดสายสัมพันธ์…เราเคยเห็นเรื่องหล่านี้บ่อยครั้งจากอินเตอร์เน็ต! และคงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก เงิน 1 แสนล้านก้อนนี้เป็นอะไรที่มหาศาลมากเสียด้วย!”
ผ่านทางนาฬิกาสื่อสาร หลัวเฟิงเข้าอินเตอร์เน็ตแล้วเข้าดูกระดานสนทนา
ไม่นานเขาก็พบกับการสนทนาโต้ตอบกันอย่างบ้าคลั่งถึงเรื่องเงินค่าหัวก้อนนั้น
ยิ่งดึกยิ่งเหน็บหนาว…
หลัวเฟิงนอนขดตัวอยู่ที่มุมห้อง และหัวใจของเขาก็เริ่มที่จะหนาวเหน็บ…เขาเริ่มสงสัยหัวหน้าเกาเฟิงและเว่ยชิง ทัศนคติของเขาเริ่มเปลี่ยนไป ในอดีต เขาสนุกสนานและมุ่งไปข้างหน้า เหมือนกับนักสู้ทั่วๆ ไป เขาสามารถเผชิญหน้ากับความตายร่วมกับพี่น้องคนอื่นๆ ในทีมได้ เขาสามารถปกป้องคนอื่นๆ ในฐานะพี่น้องคนหนึ่งได้
แต่ขณะนี้…
“พวกเขาจะคิดว่าเราเป็นน้องชายรึเปล่า หรือพวกเขาวางแผนจะหักหลังเราเพื่อเงินก้อนโตนั้น? บางทีการขาดหลักฐานอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ยับยั้งพวกเขาไว้”
หลัวเฟิงหนาวเหน็บจับใจ
“เรากำลังคิดอะไรเนี่ย! เรากำลังสงสัยพวกเขามั่วๆ น่า”
หลัวเฟิงส่ายหัว ในที่สุดเขาก็ตระหนักรู้ว่า ขนาดทัศนคติของเขาก็ยังอดจะเปลี่ยนไม่ได้ภายใต้อำนาจเงินมหาศาลแบบนั้น… เขาก็ไม่อาจมั่นใจได้เหมือนกันว่าคนอื่นๆ จะไม่ถูกอำนาจของเงินมหาศาลก้อนนั้นครอบงำเอาได้ ยิ่งกว่านั้น เงิน 1 แสนล้านนี้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยน! ถึงแม้ว่าหลัวเฟิงจะรู้ว่าเขาไม่ควรสงสัย แต่เขาก็ไม่อาจห้ามใจให้คิดได้! จุดประสงค์แรกของ เวนีน่า พอลลินัส สำเร็จแล้ว…หลัวเฟิงเริ่มจมดิ่งลงภายใต้ความกดดันของเงินจำนวน 1 แสนล้านนั่นแล้ว
“ไม่เอาน่า…เราจะต้องไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก”
หลัวเฟิงก้มมองดูนาฬิกาสื่อสาร และไล่กดอ่านดูข้อความอื่นๆ บนหน้าจอ ทันใดนั้น พอเขาพลิกดูบัญชีรายชื่อ เขาก็ต้องนิ่งงั้นไปเมื่อชื่อหนึ่งปรากฏขึ้นให้เห็น…ชื่อนี้เป็นชื่อของเพื่อนสนิทของเขาที่เคยเล่นหัวกันมาตั้งแต่เด็ก ‘เว่ยเหวิน’
“อยากรู้จริงๆ ว่านายทำอะไรอยู่” หลัวเฟิงอดยิ้มออกมาไม่ได้ขณะที่คิดไปถึงเรื่องราวต่างๆ กับเว่ยเหวินเมื่อครั้งวันวาน
มีรายชื่อเพื่อนที่โรงเรียนมัธยมอยู่จำนวนหนึ่ง
มีเพื่อนที่สำนักด้วย
ชื่อพ่อแม่และน้องชายของเขาก็ด้วย
“พ่อ แม่ หลัวฮว๋า” สายตาหลัวเฟิงอ่อนโยน “ไม่ว่ายังไงทุกคนจะไม่มีปัญหา! เราจะต้องจัดการกับปัญหานี้ให้ได้”
ทันใดนั้น…หลัวเฟิงก็สะดุดกับชื่อหนึ่ง
สวีซิน!
พวกเขาแลกเบอร์กันไว้เมื่อครั้งคุยกันที่ตลาดพันธมิตรใต้ดิน แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยโทรหาเธอกระทั่งเดี๋ยวนี้
“ต่อสายสวีซิน” หลัวเฟิงพูด
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาเริ่มกระวนกระวายเมื่อสั่งต่อสายไปแล้ว…อาจเป็นเพราะสถานะฆาตกรของเขาอาจจะถูกเปิดเผยในซักวันหนึ่ง เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น ครอบครัวสวีซินก็จะไม่ยอมให้เธอติดต่อกับเขาอีกต่อไป
“ฮัลโหล” เสียงสวีซินดังลอดออกมาจากนาฬิกาสื่อสาร “หลัวเฟิงรึเปล่า?”
“ใช่ ฉันเอง” หลัวเฟิงใจเต้น…
“พ่อนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่โทรมาได้ไงเนี่ย” สวีซินเย้า “นายกลับเข้าเมืองหรือยัง?”
“ฉันยังอยู่ในแดนเถื่อนและคืนนี้เบื่อๆ ก็เลย…” หลัวเฟิงพูดไปก็เขินไป
เบื่อตอนดึกๆ เนี่ยนะ?
มันฟังดูทะแม่งอย่างกับกำลังมองหาสาวขายบริการเพื่อมาแก้เบื่อในช่วงกลางดึก…
“แค่กๆ…” สวีซินไอเล็กน้อย “ไม่คิดว่านายจะขี้เล่นเป็นเหมือนกัน”
“ขี้เล่น? อืม…มหาลัยเป็นไงบ้าง คนไม่เคยเรียนมหาลัยอยากจะรู้น่ะ” หลัวเฟิงรีบเปลี่ยนเรื่องและสนทนาต่อไป…
อาจจะเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้โทรคุยกัน หรือบางทีพวกเขาทั้งคู่อาจจะรู้สึกเบื่อค่ำคืนอันเงียบเหงาเช่นนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงคุยกันค่อนข้างนานทีเดียว
กระทั่งเขาวางสาย เขาถึงรู้ตัวว่า…โทรคุยกันไปถึงชั่วโมงครึ่ง
“ไม่เคยรู้เลยนะเนี่ยว่านาฬิกานี้มันจะโทรได้ถึงชั่วโมงครึ่งแบบนี้”
หัวใจของหลัวเฟิงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข แน่นอน…การได้คุยกันคนที่ชอบถึงชั่วโมงครึ่งมันเป็นอะไรที่มีความสุขมากจริงๆ
ความหวาดกลัวเรื่องเงินค่าหัว 1 แสนล้านและความคิดด้านลบทั้งหมด…หายเกลี้ยงไปหมดแล้ว! ความกระวนกระวายและความเสียขวัญก่อนหน้าของเขามันมลายหายไปเมื่อเขาตกอยู่ในห้วงความรัก…สิ่งนี้ช่วยบรรเทาจิตใจของเขาเป็นอย่างดี
หลัวเฟิงเริ่มสงบเยือกเย็นลง
มันเป็นความสงบเยือกเย็นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความสงบนี้ช่วยเปลี่ยนมุมมองเขาไปอย่างสิ้นเชิง ในความเป็นจริงจะมีคนซักกี่คนที่จะเปลี่ยนอารมณ์ได้สุดขั้วเช่นนี้?
หัวใจของเขาสงบนิ่งดังผืนน้ำ!
“ความรู้สึกมันสุดยอดมากๆ”
หลัวเฟิงไม่เคยรู้สึกดีอย่างนี้มาก่อนจริงๆ และตอนนี้ เขาได้ถูกกระตุ้น…กระตุ้นให้เขาฝึกฝนเทคนิคของเขา!
ชิ้ง…!
เขาดึงดาบเงาพิฆาตออกจากฝักที่ด้านหลัง
ในกลางดึกแห่งคืนอันหนาวเหน็บ…ในขณะที่ทั่วโลกกำลังตะลึงพรึงเพริดไปกับเงินค่าหัวมหาศาล หลัวเฟิงกำลังกวัดแกว่งดาบเพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชา ‘ดาบสายฟ้า 9 ขั้น’ ในห้องอันเปล่าเปลี่ยวซึ่งถูกทิ้งร้างในแดนเถื่อนของเมืองหมายเลข 023 ด้วยความสงบนิ่งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การตวัดดาบแต่ละครั้งของเขาให้ความรู้สึกเบาสบายอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ฝึกเข้าไป…ฝึกเข้าไป…
พลังจิตของหลัวเฟิงแผ่กระจายออกโดยธรรมชาติและพลังจิตก็ช่วยตรวจสอบไปรอบๆ บริเวณเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนที่ได้เป็นอย่างดี
แสงวูบวาบจากคมดาบสีขาวราวกับหิมะด้านนอกเริ่มฉวัดเฉวียนไปทั่วห้องในบัดนั้น