Skip to content

Sword of Coming 16

บทที่ 16 เพ้อเจ้อ

เด็กสาวไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร กลับเป็นนักพรตหนุ่มที่อดไม่ไหวหัวเราะเสียงดังลั่น

นักพรตเต๋าพลันตระหนักได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง

“ใบอ่อนของต้นเชิงเกล็ดมังกรบ่อน้ำมรกต (ต้นเชิงคือชื่อพันธ์ชนิดหนึ่งของต้นหลิว) อ้อ ที่นี่เรียกว่าหลิวสามวสันต์ ช่วงเวลาการเก็บใบของมันไม่ถูกต้อง ช้าไปเจ็ดแปดวัน ยังมีหญ้ามังกรเหินห่อนี้อีก ชาวบ้านเรียกว่าเอวดรุณี ตอนที่เอามาบดเป็นผงก็ทำส่งเดชเกินไป แล้วก็ดอกกองกระดาษนี่ด้วย ร้านตระกูลหยางนี่ใช้ไม่ได้เอาซะเลย บอกแล้วว่าเอาสามตำลึง ทำไมถึงขาดไปสลึงหนึ่ง?”

นักพรตหนุ่มพูดรัวชี้ให้เห็นถึงปัญหามากมาย แทบจะไม่มีอะไรที่เขาพอใจสักอย่าง ให้ความรู้สึกเหมือนเขามีความแค้นส่วนตัวอะไรกับร้านยาตระกูลหยาง สุดท้ายก็ให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงว่า

“จิตเมตตาของเถ้าแก่ร้านนี้คงถูกสุนัขกินไปแล้ว แต่ยาสมุนไพรบนโต๊ะพวกนี้ หากเอามาต้มเพื่อช่วยชีวิตคนก็ถือว่าเพียงพอแล้ว แน่นอนว่าหลักๆ แล้วต้องยกความชอบให้กับพื้นฐานร่างกายที่ดีเยี่ยมของแม่นางหนิงเหยา ส่วนร้านตระกูลหยางนั้นมีส่วนมากสุดก็แค่ครึ่งเหรียญอีแปะเท่านั้น”

นักพรตหนุ่มตบศีรษะตัวเอง ก่อนจะคลี่กระดาษเปล่าสีขาวแผ่นหนึ่งออก ยกพู่กันเขียนตัวอักษรลงไปพลางเอ่ยสั่งความไปด้วย “เกือบลืมไปเลย นักพรตผู้ต่ำต้อยจะเขียนเทียบยาอีกชุดหนึ่งให้เจ้า นี่คืองานที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก เฉินผิงอันเจ้าห้ามทำแบบสุกเอาเผากินเด็ดขาด

เทียบยาของข้าชุดนี้ใช้ได้ทั้งรักษาอาการบาดเจ็บ ขณะเดียวกันก็ช่วยทำให้รากฐานมั่นคง บำรุงพลัง คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้สำนักการทหารไม่พ่ายแพ้ คือเคล็ดลับชั้นยอดสำหรับกลยุทธ์ใช้สงครามหล่อเลี้ยงสงคราม (คือการนำกำลังคน กำลังทรัพย์ซึ่งได้มาระหว่างการต่อสู้มาช่วยหล่อเลี้ยงให้สงครามดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง) อีกทั้งยังมีข้อดีที่ฤทธิ์ยาอ่อนโยน ไม่ทำร้ายคนกิน อย่างมากสุดก็แค่ใช้เวลานาน หรืออาจต้องหาซื้อวัตถุดิบมากหน่อย จึงเป็นปัญหาในเรื่องเงินทองเท่านั้น

ต้องใช้ไฟแรงตอนไหน ใช้ไฟอ่อนตอนไหน ข้าเขียนไว้บนกระดาษอย่างละเอียดแล้ว หรือแม้แต่ต้มยาเวลาไหนก็ต้องพิถีพิถันอย่างมาก สรุปก็คือช่วงเวลาหลังจากนี้ เฉินผิงอันเจ้าคงต้องลำบากแล้ว เป็นผู้ชายนี่นะ เดิมทีก็ควรต้องเป็นคนที่แบกความรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะมีประโยคที่ว่า ‘ชายชาตรีต้องยันฟ้าค้ำดินได้’ ได้อย่างไร? แล้วก็ห้ามปฏิเสธความรับผิดชอบ เดี๋ยวสตรีจะดูหมิ่นเอาได้…”

พอพูดถึงคำว่า ‘ยันฟ้าค้ำดิน’ นักพรตหนุ่มก็ส่ายหน้าเบาๆ อย่างที่แทบจะมองไม่เห็น

เทียบยาชุดนี้ยาวแค่ครึ่งหน้ากระดาษเท่านั้น ทว่าวิธีการต้มยากลับยาวถึงสองหน้ากระดาษ ตัวอักษรที่ใช้คืออักษรเสี่ยวข่ายปกติทั่วไป แต่กลับเขียนอย่างบรรจง เป็นระเบียบเรียบร้อย

เฉินผิงอันร้อนใจเล็กน้อย จึงถามว่า “ท่านนักพรตจะไม่ดูแลเรื่องหลังจากนี้แล้วหรือ? เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของคนเช่นนี้ ท่านนักพรตควรจะจัดการด้วยตัวเองถึงจะมั่นคงกว่าหรือเปล่า?”

นักพรตหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “นักพรตผู้ต่ำต้อยอย่างข้าต้องไปจากเมืองแห่งนี้แล้ว ที่แคว้นหนันเจี้ยนจะมีการจัดงานพิธีของสำนักสายเดียวกับข้า ข้าจึงอยากจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเองสักหน่อย”

เฉินผิงอันยิ่งร้อนรน “แต่ข้าอ่านหนังสือไม่ออกนะ ท่านนักพรต!”

นักพรตหนุ่มอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร แม่นางหนิงเหยาอ่านออก ก่อนจะต้มยา เจ้าก็ถามจากนางเอาแล้วกัน”

เด็กสาวพยักหน้ารับ

เฉินผิงอันยังอยากจะพูดต่อ แต่นักพรตหนุ่มกลับนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน จึงหยิบตราประทับหยกขนาดเล็กกะทัดรัดชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เป่าลมใส่ด้านที่ใช้ประทับตราเบาๆ หนึ่งครั้งแล้วกดลงไปบนกระดาษเทียบยาแรงๆ พอยกตราประทับขึ้นมาจากหน้ากระดาษก็เก็บมันลงไปในชายแขนเสื้ออีกครั้งด้วยท่าทางพึงพอใจ แล้วจึงส่งกระดาษทั้งหมดสามแผ่นให้แก่เฉินผิงอัน

“เก็บรักษาไว้ดีๆ ตำราส่วนใหญ่ในเมืองแห่งนี้ล้วนเป็นของส่วนตัวที่เก็บอยู่ในตระกูลของใครของมัน คิดจะหาซื้อย่อมไม่ง่าย หากเจ้าอยากรู้ตัวหนังสือก็สามารถเริ่มเรียนจากเทียบยาฉบับนี้ของข้าได้”

นักพรตหนุ่มหันไปยิ้มให้เด็กสาว “จอกแหนดอกหนึ่งล่องลอยสู่มหาสมุทรกว้างใหญ่ ชั่วชีวิตย่อมมีโอกาสพบเจอกันได้ทุกที่ แม่นางเหยา ถ้าอย่างนั้นไว้เราพบกันใหม่คราวหน้านะ?”

เด็กสาวชุดดำตอบรับด้วยสีหน้าจริงจัง “นักพรตลู่ ไว้เจอกันใหม่! พระคุณยิ่งใหญ่เพียงคำขอบคุณย่อมไม่พอ วันหน้าขอแค่เป็นเรื่องที่ข้าน้อยช่วยได้ ท่านแค่ส่งกระบี่บินเหน็บจดหมายไปที่ภูเขาห้อยหัว แต่ท่านนักพรตโปรดจำไว้ว่าอย่าลืมระบุคำว่า ‘ลู่เฉิน’ ลงไป หาไม่แล้วคนของภูเขาห้อยหัวจะไม่อนุญาตให้กระบี่บินเข้าไปในตัวภูเขาได้”

พอได้ยินชื่อของภูเขาห้อยหัว นักพรตหนุ่มกลับมีท่าทางตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เขาทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สาวน้อยกลับส่ายหน้าเบาๆ เขาที่รู้ความนัยจึงไม่ซักไซ้เอาคำตอบ เรื่องบางเรื่อง สำหรับเด็กหนุ่มในห้องนี้แล้ว ไม่รู้เลยจะดีเสียกว่า

นักพรตหนุ่มเดินออกจากห้องเป็นคนแรก ไม่ลืมดึงมือของเด็กหนุ่มไปด้วย “เฉินผิงอัน ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”

เฉินผิงอันวางห่อกระดาษลงบนเตียง บอกกับเด็กสาวชุดดำว่านี่คืออาภรณ์ชุดใหม่ของนาง

พอคนทั้งสองเดินตามกันออกมาที่ลานบ้าน นักพรตหนุ่มก็ถามเบาๆ ว่า “ด้วยความทรงจำของเจ้า เชื่อว่าเพียงไม่นานจะต้องจำตัวอักษรที่อยู่บนเทียบยาฉบับแรกได้ บวกกับข้างบ้านเจ้ายังมีปัญญาชนที่ได้เล่าเรียนหนังสืออยู่อีกคน คำว่า ‘อ่านหนังสือไม่ออก’ คงไม่ใช่เหตุผลแท้จริงที่เจ้าห้ามไม่ให้นักพรตอย่างข้าจากไป”

เฉินผิงอันตอบกลับ “ด้วยความสามารถของท่านนักพรต จะต้องรู้ถึงสาเหตุอยู่แล้ว”

นักพรตหนุ่มหลุดหัวเราะพรืด “เจ้ารู้สึกว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ เลยกลัวว่าจะไม่มีคนดูแลแม่นางน้อยคนนี้ใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ในเมื่อข้าเปิดประตูต้อนรับนางแล้ว ก็ย่อมต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด”

นักพรตหนุ่มยืนอยู่ข้างรถเข็น ประกบนิ้วสองข้างเข้าด้วยกันแล้วตวัดเบาๆ อย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต กระบี่ยาวฝักขาวที่ถูกปราชญ์ลัทธิขงจื๊อฉีจิ้งชุนผสานปราณกระบี่ด้วยอักษรสองตัวลงไปก็ลอบบินเข้าไปในห้อง น่าจะเป็นเพราะเด็กสาวชุดดำไม่อยากให้เฉินผิงอันตกใจ จึงอนุญาตให้กระบี่บินเล่มนี้กระทำเกินสถานะของตัวเองได้

นักพรตหนุ่มครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ยามที่เขาใคร่ครวญถึงปัญหาจะต้องใช้นิ้วข้างหนึ่งเคาะลงบนกวานดอกบัวเหนือศีรษะของตัวเองโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายถึงพูดว่า

“ก่อนจะมาที่นี่ เคยได้ยินศิษย์พี่คนหนึ่งบอกว่า เวลาจะทำอะไรต้องมีเหตุผล เป็นคนก็ต้องมีไมตรีจิต…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นักพรตผู้ต่ำต้อยก็ไม่ควรจะคร่ำครึตายตัวเกินไป แม้จะบอกว่ามนุษย์โลกล้วนมีวาสนาต่างกัน แต่ในเมื่อเดิมทีหลักคำสอนอันเป็นรากฐานของสำนักข้าก็แตกต่างจากกฎเกณฑ์ของสำนักเต๋าทั่วไปอยู่แล้ว…

ได้พบเจอถือว่ามีวาสนาต่อกัน และยังพอจะถือว่าเป็นวาสนาที่ดีช่วงหนึ่งด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้ข้าลอยตามน้ำ กระบอกเซียมซีและเซียมซีทั้งหนึ่งร้อยแปดอันไม่อาจมอบให้แก่เจ้าได้ ผลกรรมจะวุ่นวายเกินไป หากจัดระเบียบไม่ดี ตัดไม่ขาดก็จะเป็นปัญหาอีก ส่วนตราประทับชิ้นนั้นก็ค่อนข้างจะหนักไปเช่นกัน หากเมืองแห่งนี้ไม่มีตราผนึก ทุกอย่างย่อมเปิดเผยโล่งโจ้งอยู่ใต้แสงสุริยา ข้าไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนให้กับเจ้า เฮ้อ หรือต้องมอบเงินทองให้? แต่ทำแบบนั้นก็ไม่ละเมียดละไมเอาเสียเลย ออกจะหยาบเกินไปด้วยซ้ำ ข้าจะทำอย่างนั้นได้ยังไง…”

คาดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “นักพรตลู่ หากให้เงิน ถือว่าละเมียดละไมมากแล้ว ไม่หยาบเลยสักนิด!”

นักพรตหนุ่มเอ่ยเย้า “ของสองอย่างแรก เจ้าคงไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ย่อมต้องรู้ว่าความหมายของมันไม่ธรรมดา เหตุใดถึงไม่เอ่ยปากขอ?”

เด็กหนุ่มกล่าวช้าๆ ว่า “ถ้วยขาวที่สามารถบรรจุน้ำอย่างน้อยหนึ่งอ่างใหญ่ นักพรตเต๋าที่สามารถเผากระดาษยันต์ให้แก่บรรพบุรุษในยมโลก แม่นางท่าทางประหลาดที่บาดเจ็บสาหัส และเหรียญทองแดงที่ทำมาจากทองยี่สิบแปดเหรียญหนึ่งถุง ก่อนหน้านี้แค่เคยได้ยินผู้เฒ่าเหยาบอกว่าเมืองของพวกเราประหลาดมาก แต่ตอนนี้ข้าได้เห็นเองกับตาแล้ว หากเป็นช่วงก่อนหน้าที่จะได้พบชายหญิงต่างถิ่นสองคนนั้น ข้าย่อมหลบเลี่ยงพวกท่านทุกคนแน่นอน และวันนี้ก็ไม่มีทางเปิดประตูต้อนรับท่าน”

นักพรตหนุ่นเอนตัวพิงรถเข็น เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “การที่สตรีต่างถิ่นคนนั้นใช้นิ้วแตะหว่างคิ้วของเจ้า ถือเป็นการกระทำชั้นต่ำที่ใช้บังคับเปิดทวารของผู้อื่น พวกคนที่ฝึกวรยุทธิ์จะเรียกมันว่า ‘แตะดรรชนี’ มีการแยกฝีมือสูงต่ำ และจุดประสงค์ในการใช้ว่าดีหรือเลว ยกตัวอย่างเช่น เดิมทีประตูบ้านเจ้าไม่แน่นหนา แต่นางยังจงใจใช้เหล็กมาทุบตี แน่นอนว่าสามารถเปิดประตูเข้าไปได้ ทว่าแท้จริงแล้วกลับยิ่งเป็นการทำลายรากฐานของเจ้า ลองคิดตามดูนะ วันข้างหน้าเมื่อเจอกับลมฟ้าลมฝนหรือหิมะพัดกระหน่ำ คนที่เปิดประตูเผ่นไปนานแล้ว แต่เจ้าของบ้านอย่างเจ้าที่ยังต้องอยู่บ้านหลังนี้จะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย “ข้าพอจะทนรับความลำบากได้”

พอเห็นว่าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะไม่เหมือนคนพูดเล่น นักพรตหนุ่มก็ฉุนจนกลายเป็นขำ “นี่ถือเป็นสาเหตุที่นางลงมือทำร้ายเจ้าในครั้งแรก หากกระดูกและเส้นเอ็นของเจ้าแข็งแกร่ง เลือดลมอุมดสมบูรณ์มากพอ มีชีวิตอยู่ได้ถึงสามสิบสี่สิบปีก็ไม่ใช่เรื่องยาก ภายหลังที่นางใช้ฝ่ามือตบลงบนหัวใจของเจ้าต่างหากที่เรียกว่าเป็นการเอาชีวิตอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่ทำลายพลังต้นกำเนิดของเรือนกายเจ้า ยังตัดขาดเส้นทางการเป็นอมตะของเจ้า…

จะพูดให้ชัดเจนก็คือ เดิมทีเจ้าเหลือชะตาวาสนาอีกเพียงเส้นเดียว แต่เมื่ออาศัยการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดินและชะตาที่พลิกย้อนกลับของที่แห่งนี้ ก็ใช่ว่าเจ้าจะไม่สามารถเดินไปบนมหามรรคาของการฝึกตนได้เสียเลย

นี่ก็เหมือนกับยามกระแสน้ำเชี่ยวกราก ในแม่น้ำต้องมีทั้งมังกร ปลา กุ้งปะปนกันนับไม่ถ้วน คนที่โชคดีหน่อยก็อาจได้ผลเก็บเกี่ยวมาก แต่ต่อให้เป็นคนที่โชคร้ายที่สุด คนอื่นจับได้มังกร จับได้ตะพาบก็จริง แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเขาจะไม่ได้อะไรเลย อย่างน้อยก็อาจจะได้ปลาหรือกุ้งตัวเล็กตัวน้อยมาบ้าง”

สีหน้าของเฉินผิงอันไม่มีความตกตะลึงหรือลนลาน เขาเพียงยืนอย่างสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น แล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะแสร้งทำเป็นสุขุมไม่สะทกสะท้านด้วย

นักพรตหนุ่มทั้งไม่ชื่นชมและไม่ดูหมิ่น เพียงถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวต่อว่า “เฉินผิงอัน การที่เจ้าอายุยังน้อยแต่มองความเป็นความตายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย เจ้ารู้สึกว่าหากมีชีวิตอยู่ย่อมดีที่สุด แต่หากหมดหนทาง สวรรค์ไม่ให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อจริงๆ ตายก็ตายไป ไม่น่ากลัวตรงไหน ใช่หรือไม่? เพราะว่าสำหรับเจ้าแล้ว บางทีการตายอาจเป็นโอกาสให้เจ้าได้มีหวังกลับมาเกิดใหม่ก็ได้?”

เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ

นักพรตหนุ่มพลันผรุสวาท “งั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ต่อให้เจ้าโชคดีได้พบเจอกับพ่อแม่ของเจ้าในยมโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่เมื่อพวกเขาเห็นเจ้า จะรู้สึกอย่างไร?”

นักพรตหนุ่มยิ่งพูดก็ยิ่งโมโหเดือด ยื่นนิ้วข้างหนึ่งจิ้มลงบนหัวของเด็กหนุ่มแรงๆ ราวกับต้องการเจาะให้สมองทึ่มทื่อนี้เกิดสติปัญญาเสียที

“ป๋ายอู๋ฉางที่ถูกพูดถึงในเกร็ดพงศาวดารและในนิทานเรื่องประหลาดจะสวมหมวกทรงสูงสีขาว ทุกครั้งที่เขามารับดวงวิญญาณของคนตายในยมโลก คนตายจะสามารถมองเห็นตัวอักษรสี่ตัวที่เขียนไว้เหนือหมวกสีขาวว่า ‘ในที่สุดเจ้าก็มาจนได้’ อย่างชัดเจน! เฉินผิงอัน! ข้าถามเจ้า ตอนที่พ่อแม่พบเจ้าจะถามเจ้าเฉินผิงอันอย่างปิติยินดีว่า ‘ลูกชาย เจ้าเองก็มาแล้วหรือ’ หรือไง? พวกเขาจะยังไปเกิดใหม่ได้อย่างสบายใจงั้นหรือ? เจ้านึกจริงๆ หรือว่าบนโลกนี้จะมีคนที่โชคดีเทียมฟ้า สามารถเกิดเป็นบุตรธิดา เป็นสามีภรรยากันได้ทุกภพทุกชาติน่ะ? ข้าจะบอกเจ้าให้ชัดๆ เลยว่า เพ้อเจ้อ! ต่อให้เป็นพวกเจ้าลัทธิ เจ้าสำนักที่พูดคำเดียวก็ทำให้ภูเขาและแม่น้ำเปลี่ยนสีได้ก็ยังไม่มีความสามารถเลิศล้ำขนาดนี้ แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าเฉินผิงอัน เด็กยากจนที่ข้าวสามมื้อก็ยังมีให้กินได้ไม่ครบ สภาพการณ์ย่ำแย่เต็มทีคนนี้?!”

พูดมาถึงประโยคสุดท้าย ถ้อยคำของนักพรตหนุ่มก็ยิ่งรุนแรง สีหน้าก็ยิ่งเคร่งเครียด

เด็กหนุ่มอึ้งงัน ทำตัวไม่ถูก นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตนับแต่จำความได้ที่เด็กหนุ่มรู้สึกหวาดกลัวจนมือเท้าเยียบเฉียบ

เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งยอง เอามือสองข้างกุมหัว และเป็นครั้งแรกที่ไม่ได้เกาหัว

นักพรตหนุ่มก้มหน้าลงมองเรือนกายผอมแห้งนั้น “ช่างเถอะๆ เพื่อช่วยคน นักพรตผู้ต่ำต้อยอย่างข้าจึงติดค้างน้ำใจเจ้าหนึ่งครั้ง เดิมทีคิดว่าจะตีเนียนไม่พูดถึง หากยังเหลือส่วนที่ติดค้างก็ไว้ค่อยว่ากันชาติหน้า ตอนนี้มาคิดดูแล้วคงต้องใช้คืนให้เจ้าทั้งหมด วันหน้าก็ถือว่าพวกเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก

ข้าจะพูดกับเจ้าสามเรื่อง เจ้าจงจำให้ขึ้นใจ เรื่องแรกก็คือ หากอาการของแม่นางหนิงเหยาดีขึ้น จงพานางไปที่ริมน้ำฝั่งทิศใต้นอกเมือง ไปตามหาพ่อลูกแซ่หร่วน จำไว้ว่าต้องพานางไปด้วย หาไม่แล้วต่อให้เจ้าไปคนเดียวเป็นร้อยรอบก็เสียเที่ยวเปล่าๆ พอไปถึง ต่อให้ถูกเขาขับไล่ไสส่งอย่างไร เจ้าก็ต้องหน้าด้านเพื่อให้ตัวเองกลายเป็นลูกศิษย์ช่วยงานพวกเขาให้ได้ ขุดบ่อก็ดี หลอมกระบี่ตีเหล็กก็ช่าง สรุปคือต้องหาที่พักพิงที่ร่มเย็นให้แก่ตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะถือว่าแม่นางหนิงเหยาติดค้างน้ำใจเจ้า แล้วเจ้าก็ไม่ต้องรู้สึกว่าเอาเปรียบนางด้วย”

เรื่องที่สอง หลังจากวันที่ห้าเดือนห้า เจ้าต้องไปที่ธารน้ำเล็กใต้สะพานข้ามแม่น้ำบ่อยๆ จะไปเก็บหินก็ดี ไปจับปลาจับกุ้งอะไรก็ช่าง แล้วแต่เจ้า สรุปคือต้องไปบ่อยๆ เวลาหงุดหงิดไม่สบายใจก็ไป อารมณ์ดีก็ยิ่งต้องไป ส่วนจะได้ผลเก็บเกี่ยวอย่างไรนั้น ด้วยโชควาสนาเล็กน้อยของเจ้า คงมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ได้ แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเจ้า ‘ใช้ความอุตสาหะชดเชยความโง่เขลา’ แล้ว หากยังไม่ได้ผลพวงใดๆ กลับมาอีก เจ้าก็ยอมรับชะตากรรมซะเถอะ”

พอนักพรตหนุ่มบอกสองเรื่องจบก็เริ่มจับรถเข็น เห็นว่าเด็กหนุ่มยังนั่งนิ่งไม่ขยับ เอาแต่หันมามองหน้าตนก็ตวาดว่า “ลุกขึ้นมาช่วยกันสิ!”

พอลุกขึ้นได้ เด็กหนุ่มก็ไปช่วยอีกฝ่ายเข็นรถ ถามอย่างใคร่รู้ “ไหนบอกว่าจะพูดสามเรื่องไงล่ะ?”

นักพรตหนุ่มแค่นเสียงในลำคอ “บอกกับเจ้าไปตั้งนานแล้ว คิดเอาเอง!”

เด็กหนุ่มมึนงง

จากนั้นนักพรตเต๋าก็กำชับเรื่องอื่นอีกเล็กน้อย

“เหรียญทองแดงพวกนั้นมีราคาสูงมาก เก็บรักษาไว้ให้ดี”

“ช่วงเวลาหลังจากนี้ พยายามอย่าออกนอกบ้านบ่อยนัก”

“หัดยิ้มให้บ่อย วันๆ เอาแต่ปั้นหน้าเคร่ง หน้าตาก็ไม่หล่อเหลา เจ้าจะทำไปให้ใครดู?”

พอนักพรตหนุ่มบ่นจู้จี้แบบนี้ก็ทำให้เขาดูเหมือนผู้ปกครองคนหนึ่ง

หลังจากเอารถเข็นออกมานอกลานบ้าน เด็กหนุ่มก็บอกว่าเขาจะช่วยเข็นออกไปจากตรอกหนีผิง นักพรตหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธ

เดินตามกันอยู่ในตรอกเล็ก สุดท้ายนักพรตเต๋ากล่าวว่า “คงต้องพูดประโยคหนึ่งสักหน่อย ดูตามชะตาที่ข้านักพรตผู้ต่ำต้อยทำนายไว้ การที่พ่อแม่เจ้าด่วนจากไป หาใช่ความผิดของเจ้า”

นักพรตหนุ่มเงียบไปนาน จนกระทั่งรถเข็นใกล้จะพ้นไปจากตรอกหนีผิง เขาถึงพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่เพียงเท่านี้ การที่ชีวิตนี้ของเจ้าลำบากขนาดนี้ ยังเป็นเพราะผลจากการกระทำของพ่อแม่เจ้าด้วย”

เด็กหนุ่มเงียบงัน

สุดท้ายนักพรตหนุ่มยืนกรานไม่ให้เด็กหนุ่มไปส่ง และตัวเขาเองก็เข็นรถจากไปทางประตูทิศตะวันออกเพียงลำพัง

มองย้อนกลับมา เด็กหนุ่มยังคงยืนอยู่ตรงปากตรอก โบกมือมาให้ตนด้วยรอยยิ้มสดใส ไม่เหมือนกับคนที่ใกล้จะตายเลยแม้แต่น้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version