บทที่ 76 หันหลัง
ตอนที่เฉินผิงอันเดินไปใกล้สะพานหินโค้ง เขากลืนน้ำลาย รู้สึกไม่กล้าเดินหน้าต่อ หลังจากความคิดในหัวต่อสู้กันได้พักหนึ่งก็เดินเลียบธารน้ำตอนบนขึ้นไป พอถึงช่วงที่ลำธารหุบเข้าแคบที่สุดก็ออกตัววิ่ง แล้วกระโดดข้ามลำธาร จากนั้นถึงเดินไปทางหินหลังควาย เฉินผิงอันไม่รู้ว่าเพราะตัวเองเดินอ้อมจึงพลาดเจอกับหร่วนซิ่วพอดี เด็กสาวชุดเขียวหิ้วเหล้าต้มดอกท้อกาหนึ่งวิ่งผ่านสะพาน ไปซื้อเหล้าในเมืองครั้งนี้ ตอนเด็กสาวเดินผ่านร้านยาสุ่ย นางรีบก้มหน้าก้มตาสาวเท้าเดินผ่าน กลัวว่าจะถูกขนมหลากสีละลานตาล่อลวงวิญญาณของตัวเองไป เพราะว่านางจะเริ่มเก็บเงินเป็นของตัวเองแล้ว
เฉินผิงอันไปที่บ้านของหลิวเสี้ยนหยางก่อนรอบหนึ่ง เขาจุดตะเกียงน้ำมัน ถือตะเกียงเดินไปทั่วทั้งในและนอกห้องหนึ่งรอบ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีของชิ้นใดขาดหายไปถึงได้ดับไฟลงกลอนประตู ย้อนกลับไปที่ตรอกหนีผิง เดินผ่านบ้านหลังเก่าที่หลังคาเป็นรูโหว่ เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจ ภาระบนบ่ายังคงอยู่ แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ตอนที่ออกไปจากตรอกหนีผิง นับว่าเบาลงมากแล้ว เฉินผิงอันอดที่จะอารมณ์ดีไม่ได้ ความรู้สึกของคนที่มีเงินอยู่ในกระเป๋า ไม่เลวเลยทีเดียว!
ชีวิตนี้เฉินผิงอันเคยเห็นแค่เม็ดเงินเศษเล็กเศษน้อย เงินก้อนที่หนักอึ้ง ยังไม่เคยเห็นเลยสักครั้งเดียว นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทองคำที่เห็นได้ยากพอๆ กับเทพเซียนเลย
เฉินผิงอันกลับมาถึงบ้านบรรพบุรุษของตัวเอง พอเปิดประตูห้องก็วิ่งกลับไปดูให้แน่ใจว่าตัวเองลงกลอนประตูหน้าบ้านดีแล้วหรือไม่ เมื่อกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งจึงจุดตะเกียงน้ำมันอย่างระมัดระวัง เปลวเพลิงสีเหลืองหม่นสาดส่องผนังดินสีเหลืองเย็นชา เฉินผิงอันหยิบถุงเงินสามถุงออกมาจากในไหตรงมุมกำแพง เงินอิ๋งชุน เงินก้งหย่าง เงินยาเซิ่ง แบ่งออกเป็นบรรจุเงินเหรียญทองแดงแก่นทองยี่สิบห้าเหรียญ ยี่สิบหกเหรียญ และยี่สิบแปดเหรียญ
เหรียญทองแดงทั้งหมดเจ็ดสิบเก้าเหรียญ
สำหรับเหรียญทองแดงซึ่งมีที่มาไม่ธรรมดาเหล่านี้ หนิงเหยาเคยอธิบายให้ฟังคร่าวๆ ว่าพวกมันคือส่วนขยายของการใช้จ่ายเงินบนโลกมนุษย์ สาเหตุที่มีค่าควรเมืองก็เพราะเป็นวัตถุดิบที่หาได้ยาก แน่นอนว่าสาเหตุที่สำคัญที่สุดยังเป็นเพราะคนต่างถิ่นที่จะเข้ามาในเมืองจำเป็นต้องใช้เหรียญทองแดงเป็นวัตถุแทนตัว ส่วนที่มาของกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของนี้มีมาตั้งแต่ในยุคอดีตอันห่างไกล หนิงเหยาไม่ใช่คนของแจกันสมบัติทวีปบูรพา จึงไม่อาจอธิบายได้
เฉินผิงอันหยิบเหรียญทองแดงสามชนิดออกมาวางบนโต๊ะอย่างละเหรียญ บนเหรียญอิ๋งชุนปั๊มสี่อักษรมงคลอย่าง “ปีใหม่มหามงคล” สลักลวดลายเมฆมงคลพลิ้วไหว มีเทพสวมเสื้อเกราะองค์หนึ่งกำลังตีกลอง
ส่วนด้านหน้าของเงินยาเซิ่งมีห้าอสรพิษ งู ตะขาบ แมงป่อง ตุ๊กแกและคางคก ด้านหลังนอกจากหลอมสี่อักษรว่า “ขับไล่เสนียดจัญไร” ยังมีรูปเต่าและงูรัดพันอยู่บนกระบี่
ด้านหน้าของเงินก้งหย่างคือสี่อักษรว่า “ใจศรัทธาบรรลุผล” ด้านหลังมีคำว่า “เทพเซียนอยู่เบื้องบน” ไม่มีรูปภาพที่ประณีตงดงามใดๆ ลักษณะเรียบง่ายที่สุด
เฉินผิงอันหยิบเงินอิ๋งชุนเหรียญหนึ่งขึ้นมาพลิกดูซ้ำไปซ้ำมา เด็กหนุ่มไม่อาจจิตนาการได้เลยว่าเหรียญทองแดงเล็กๆ แค่เหรียญเดียวนี้จะสามารถซื้อเขาเจินจูทั้งลูกได้ เฉินผิงอันรู้ว่าเนินเขาขนาดเล็กที่อาจารย์หร่วนพูดถึงนี้ ครั้งแรกที่ผู้เฒ่าเหยาพาเขาขึ้นเขาไปหาดินครั้งแรกก็ได้ปีนไปถึงยอดเขาเจินจูแล้ว คุณสมบัติของดินมีทั้งน้ำหนักเบาและมาก สารบำรุงข้างในมีหลากหลายชนิด ที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้นก็คือจำเป็นต้องวิเคราะห์ดินบางชนิดว่าเป็นดินที่เกิดมาก็ใกล้ชิดกับธาตุชนิดไหนในธาตุน้ำไฟทองไม้ มีความพิถีพิถันสูงมาก เฉินผิงอันเรียนความรู้ด้านการ “กินดิน” จากผู้เฒ่าเหยามาได้แค่เจ็ดแปดส่วนเท่านั้น
ตอนที่อยู่เบื้องหน้าเขาเจินจูที่ไม่สะดุดตาลูกนั้น ผู้เฒ่าเหยากระทืบเท้า หลังจากนั้นก้มหน้าพูดกับเฉินผิงอันที่ก้มหมอบอยู่กับพื้นดินว่า รสชาติดินของที่แห่งนี้ครบถ้วนมากที่สุด น่าเสียดายที่สถานที่เล็กเกินไป พอๆ กับคนที่หดตัวอยู่ในมุมกำแพง ยื่นหัวออกมาก็ชนเพดาน ยืดขาออกมาก็ชนผนัง สถานที่แบบนี้คำโบราณเรียกว่า “เปลือกหอยหลัวซือ” (หอยชนิดหนึ่งเปลือกเป็นเกลียววนขึ้นด้านบนคล้ายคลึงกับหอยขมของบ้านเรา)
เฉินผิงอันวางเงินอิ๋งชุนลงเบาๆ หยิบเงินยาเซิ่งขึ้นมา เพียงแต่ว่าไม่นานก็รีบวางลง สีหน้าของเด็กหนุ่มหม่นหมองเล็กน้อย
วันที่ห้าเดือนห้า ห้าอสรพิษพร้อมใจกันเผยกาย ทว่าเด็กหนุ่มกลับถือกำเนิดในวันนี้พอดี ซ่งจี๋ซินบ้านข้างๆ เคยพูดว่าข้างนอกมีสถานที่หลายแห่งที่มองเด็กซึ่งเกิดในวันนี้ว่าไม่เป็นมงคล บางแห่งยังถึงกับมีประเพณีจับเด็กกดน้ำตายด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันส่ายหน้า หยิบเหรียญก้งหย่างเหรียญสุดท้ายขึ้นมา พิศมองอักษรแปดตัวง่ายๆ ที่อยู่ตรงข้ามกัน
เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ตอนนั้นครั้งแรกที่ได้พบแม่นางหนิงกับฝูหนันหัวและไช่จินเจี่ยน จำได้ว่าตอนที่พวกเขาผ่านประตูใหญ่ของเมืองเล็กเข้ามา ทุกคนจำเป็นต้องมอบเหรียญทองแดงให้แก่คนเฝ้าประตูหนึ่งถึง ถ้าอย่างนั้นสุดท้ายแล้วเงินเหรียญทองแดงพวกนี้ไปตกอยู่ในมือใคร? เข้ากระเป๋าส่วนตัวของฮ่องเต้ต้าหลีงั้นหรือ?
เฉินผิงอันถอนหายใจ ไม่คิดถึงปัญหาที่ต่อให้ขบคิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออกอีกต่อไป เริ่มดีดรางลูกคิดดังป้อกๆ แป้กๆ อยู่ในใจตัวเอง อาจารย์หร่วนบอกว่าภูเขาเล็กๆ อย่างเขาเจินจูแห่งนี้ต้องการแค่เหรียญอิ๋งชุนเพียงเหรียญเดียว ภูเขาระดับกลางอย่างเขาเสวียนหลี่และเขาเหลียนเติง น่าจะใช้เงินประมาณสิบถึงสิบห้าเหรียญทองแดง เทือกเขาคูเฉวียนและภูเขาลูกใหญ่ที่รวมภูเขาเซียงฮั่วเข้าไปด้วย กลับต้องจ่ายยี่สิบห้าถึงสามสิบเหรียญ
อันที่จริงเพียงแค่ครุ่นคิดเล็กน้อย เฉินผิงอันก็เข้าใจความนัยที่อาจารย์หร่วนต้องการจะสื่อได้แล้ว
อันดับแรก ราชวงศ์ต้าหลีให้ความสำคัญกับอาจารย์หร่วนมาก ถึงได้ยอมยกภูเขาให้เขาโดยไม่คิดเงินถึงสามลูก อันดับต่อมา ในเมื่ออาจารย์หร่วนต้องการเปิดภูเขาตั้งสำนัก ก็เห็นได้ชัดว่าทางที่ดีที่สุดภูเขาทั้งสามลูกควรจะอยู่ติดกัน หาไม่แล้วหากตะวันออกมีลูกหนึ่ง ตะวันตกมีอีกลูกหนึ่ง ย่อมไม่เข้าที และนี่ก็คือความฉลาดของราชสำนัก พวกเขารู้ว่าอาจารย์หร่วนไม่มีทางเลือกภูเขาสามลูกที่มีราคามากที่สุด ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นว่าตัวเองใจกว้างอย่างมาก สุดท้ายเขาเฉินผิงอันก็จำเป็นต้องเลือกภูเขาตามอาจารย์หร่วน แน่นอนว่าเฉินผิงอันรู้สึกว่า ใช่ว่าตนจะทำอย่างนั้นไม่ได้ เลือกภูเขาขนาดเล็กและกลางที่พื้นที่ไม่มากนักสักลูกสองลูกอยู่ตามที่ต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นภูเขาเจินจูนี้ ก็ถือว่าเหมาะสมอย่างมาก เนินเขาน้อยที่ไม่มีใครให้ความสนใจ แต่เฉินผิงอันกลับให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ ต่อให้ภูเขาจะเล็กแค่ไหน แต่นั่นก็คือภูเขาทั้งลูกเชียวนะ แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้องจ่ายด้วยเงินเหรียญทองแดงเพียงเหรียญเดียวเท่านั้น เฉินผิงอันรู้สึกว่าต้องเก็บเนินเขาเล็กแห่งนี้เข้ากระเป๋าตัวเองเพื่อความสบายใจให้ได้!
แล้วก็ใช่ว่าเฉินผิงอันจะไม่สนใจภูเขาที่แพงที่สุดอย่างเทือกเขาคูเฉวียน ภูเขาเสินซิ่วและภูเขาเซียงฮั่วที่อาจารย์หร่วนกล่าวถึง เขาคิดว่านอกจากภูเขาเหล่านี้ ตัวเองควรจะซื้อภูเขาลูกใหญ่ที่ด้อยกว่าพวกมัน แต่ไม่ด้อยกว่ามากเอาไว้ได้ ซึ่งคาดว่ามากสุดคงต้องจ่ายด้วยเหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งถึง จากนั้นก็ซื้อภูเขาลูกเล็กคล้ายคลึงกับภูเขาเจินจูเอาไว้ โดยให้อยู่ในวงเงินประมาณสิบเหรียญ ส่วนที่เหลือล้วนลงเดิมพันตามอาจารย์หร่วน หลังจากที่เขาเลือกภูเขาใหญ่สามลูกได้แล้ว เฉินผิงอันค่อยซื้อภูเขาลูกใกล้ ซื้อแล้วก็ซื้ออีก ซื้อให้ได้มากที่สุด!
ส่วนภูเขาลูกใหญ่ไม่ทราบชื่อที่มีแท่นสังหารมังกรลูกนั้น เฉินผิงอันตัดใจอย่างเด็ดเดี่ยว เตือนตัวเองว่าห้ามไปแตะต้องเด็ดขาด ต่อให้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ เบื้องหน้ามีโอกาสดียิ่งใหญ่วางอยู่ แต่เฉินผิงอันก็จะไม่มีทางซื้อ ตอนนี้แปดทิศทั่วเมืองเล็กล้วนมีแขกมาเยี่ยมเยือน ไม่ได้เป็นถ้ำสวรรค์หลีจูอะไรที่ห้ามไม่ให้คนนอกเข้าอย่างในอดีตอีกแล้ว ระยะทางบนภูเขาแค่ไม่กี่ร้อยลี้ ขนาดเฉินผิงอันยังเดินได้ แล้ววันหน้าจะขัดขวางฝีเท้าของคนอื่นได้อย่างไร แล้วนับประสาอะไรกับที่บนฟ้ายังมีเทพเซียนที่เหยียบอยู่บนกระบี่เล่มยาวบินไปบินมาอีกเล่า?
แต่ก่อนที่จะควักเงินซื้อภูเขา เฉินผิงอันตั้งใจว่าจะขึ้นเขาอีกรอบด้วยตัวเองเสียก่อน
จู่ๆ ต้องจ่ายเงินมากขนาดนี้ ผลกลับกลายเป็นไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองซื้ออะไร ต่อให้จะรู้อยู่แก่ใจว่านี่คือการค้าที่ได้กำไรอย่างแน่นอน แต่เฉินผิงอันก็ยังกระสับกระส่ายไม่สบายตัว
อันที่จริงนี่ก็คือความเคยชินที่เกิดจากความยากลำบาก
ตอนนี้เฉินผิงอันมีหินดีงูที่สียังไม่ซีดจางอยู่แปดก้อน หินดีงูก้อนที่เหลือซึ่งเก็บซ่อนไว้ในบ้านตัวเองและบ้านของหลิวเสี้ยนหยางมีจำนวนไม่น้อย ไม่รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะ “ข้ามหายนะ” จากในลำธารเล็กมาได้ตั้งแต่แรกหรือไม่ แม้ระดับความชุ่มชื้นและความสดของสีจะลดน้อยลงไปในระดับที่ไม่เท่ากัน มองดูแล้วไม่สบายตาเหมือนตอนที่ออกมาจากแม่น้ำใหม่ๆ แต่ก็ยังคงมี “ปราณวิญญาณ” แฝงอยู่ไม่มากก็น้อย ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเช่นนี้เหมือนครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้เห็นกู้ช่านในตรอกหนีผิง หรือไม่ก็หลี่เป่าผิงแห่งถนนฝูลวี่ รู้สึกว่าพวกเขาต้องเป็นเด็กที่ฉลาดเฉลียวมากแน่ๆ
เฉินผิงอันเก็บเหรียญทองแดงแก่นทองทั้งสามถุงลงไปในไห พอนึกถึงว่าต้องลางานกับอาจารย์หร่วนเพื่อขึ้นเขาอีกครั้ง เฉินผิงอันก็ให้ปวดหัวเล็กน้อย
ผู้เฒ่าเหยาเป็นเช่นนี้ อาจารย์หร่วนก็เป็นเช่นเดียวกัน เฉินผิงอันสงสัยว่าตัวเองไม่มีดวงกับพวกผู้ใหญ่ใช่หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวาสนาการมีอาจารย์
เฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างตะกร้าสานที่วางไว้ตรงมุม จ้องมองแท่นสังหารมังกรที่อยู่ข้างในนั้น ยื่นมือออกไปลูบคลำเนื้อสัมผัสเนียนละเอียดของหินสีดำที่เย็นนิดๆ เขาอยากรู้มากกว่าก้อนหินที่ไม่สะดุดตานี้ไปมีความเกี่ยวข้องับเทพเซียนอย่างแม่นางหนิงที่ขี่กระบี่ได้อย่างไร ยิ่งคิดไม่ออกว่าแท่นสังหารมังกรจะสามารถลับกระบี่เล่มหนึ่งให้คมได้ถึงระดับไหนกันแน่
เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ควักใบไหวห้าใบออกมา ตอนนั้นแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายแดงเก็บใบไหวจากต้นไหวโบราณมาได้แปดใบ เฉินผิงอันมอบให้นางสามใบเป็นค่าตอบแทน เขาพลิกมองใบไหวอย่างละเอียด ใบไม้ที่มองดูเหมือนเล็กบาง แท้จริงแล้วกลับยืดหยุ่นทนทานอย่างมาก เสียดายก็แต่พวกมันไม่มีประกายแสงสีเขียวรุบรู่ที่ว่ายวนไปตามเส้นใยใบไม้อย่างปราดเปรียวอีกแล้ว เฉินผิงอันเดาเอาว่านี่กระมังที่เรียกว่าร่มใบแห่งโชคจากบรรพบุรุษ มีแค่จุดเชื่อมต่อบางส่วนเท่านั้นที่มีเศษจุดแสงสีเขียวเล็กๆ หยุดนิ่ง
เฉินผิงอันสอดใบไหวทั้งห้าไว้กลางตำราหมัดเขย่าขุนเขาอย่างระมัดระวัง
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ ก็ออกจากประตูไปเริ่มฝึกเดินนิ่งอยู่กลางลานบ้าน
เพื่อนบ้านฝั่งซ้ายและขวาต่างก็ทยอยกันย้ายออกไปแล้ว
เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็จมจ่อมอยู่กับการฝึกท่าหมัด ลืมตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง
กลิ่นอายแห่งหมัดไหลลื่นดุจธารน้ำ
แม่นางหนิงเหยาเคยบอกว่า ฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้ง เพิ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกวรยุทธเท่านั้น
เฉินผิงอันจะกล้าขี้เกียจได้อย่างไร
เขาไพล่นึกไปถึงจุดแดงตัวอักษรดำที่อยู่บนร่างหุ่นไม้โดยไม่ได้ตั้งใจ สิ่งเหล่านั้นก็คือตำแหน่งช่องโพรงแต่ละแห่งอันเป็นที่เข้าออกของปราณตามตำนาน
ทั่วร่างโปร่งโล่งสบาย ไอความร้อนแผ่เป็นระลอก ในร่างเหมือนมีมังกรเพลิงตัวหนึ่งว่ายวนไปมาอย่างรวดเร็ว จากศีรษะลงสู่เบื้องล่าง ปึกๆ ปักๆ ไม่ราบรื่นนัก ช่องโพรงเหล่านั้นคล้ายหน้าด่านที่สร้างขึ้นหยาบๆ ซึ่งเก่าโทรมเต็มที เส้นทางระหว่างหน้าด่านก็ยิ่งไม่อาจเรียกได้ว่าเส้นทางราบเรียบ บ้างก็กว้างขวาง แต่กลับขรุขระ บ้างก็คับแคบ และทั้งลาดชัน ยามที่มังกรเพลิงผ่านทางมาจะส่ายโอนเอน เหมือนคนที่เดินอยู่บนสะพานไม้ขึงด้วยโซ่เหล็ก
สุดท้ายมังกรเพลิงตัวนี้ลอดทะลวงกลับไปมาอยู่ในช่องโพรงหลายแห่งใกล้กับจุดตันเถียน ราวกับกำลังหารังที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้มันขดตัว เป็นวังมังกรสำหรับมัน
หนิงเหยาเคยบอกว่าสามขอบเขตของการหล่อหลอมร่างกายแห่งวิถีการต่อสู้ ขอบเขตแรกคือตัวอ่อนโคลน เมื่อฝึกได้อย่างสมบูรณ์แบบสูงสุดแล้ว ในร่างจะมีปราณขุมหนึ่ง ราวกับมีแท่นตั้งบูชาพระโพธิสัตว์ดินเหนียวตั้งอยู่ ปราณจมอยู่ในจุดตันเถียน ตั้งนิ่งดุจขุนเขา และร่างกายก็จะเริ่มมีสภาพการณ์อย่างใหม่ เริ่มหันกลับมาหล่อเลี้ยงเลือดเนื้อ เส้นเอ็นและกระดูกของตัวเอง ทำให้ร่างทั้งร่างเหมือนต้นไม้แห้งเหี่ยวที่ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน สิ่งสกปรกและตะกอนมากมายที่สะสมอยู่จะถูกขับออกไปนอกร่าง
และเฉินผิงอันก็กำลังเดินอยู่บนเส้นทางสายนี้
ไม่มีอาจารย์คอยชี้นำ แต่ก็ไม่ถือว่าลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง
อาศัยความมานะหมั่นเพียร ประสบการณ์การขึ้นเขาลงห้วยตลอดแปดปีเต็ม รวมไปถึงการหายใจที่แม้จะไม่ได้คุณภาพแต่ก็มีเอกลักษณ์มาชดเชยในส่วนที่ขาด
แปดปีแต่ยังไม่อาจฝ่าขอบเขตที่หนึ่งของวิถีการต่อสู้ไปได้
ราชสำนักในโลกมนุษย์และยุทธภพใต้หล้า นอกจากบ้านเกิดของหนิงเหยาแล้ว ล้วนไม่เน้นบุ๋น เชิดชูบู๊ เพื่อที่ว่าบนเส้นทางของการฝึกยุทธจะไม่มีนิสัยเสียที่เอาแต่เปรียบเทียบความเร็วในการเลื่อนขอบเขต ยิ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถลึกซึ้ง ยิ่งเป็นปรมาจารย์ที่มีพรสวรรค์สูงล้ำ ก็ยิ่งให้ความสำคัญกับความมั่นคงในการก้าวเดินทุกย่างก้าว และระดับความแน่นหนาของขั้นบันไดทุกขั้นบนวิถีแห่งบู๊ แต่ความเชื่องช้าเฉกเช่นเฉินผิงอันนี้ ไม่นับว่าขายหน้าอะไร เพราะคนหนุ่มสาวของตระกูลสูงศักดิ์จำนวนนับไม่ถ้วนบนโลกมนุษย์ต่างก็ถูกสกัดอยู่ด้านนอกธรณีประตูบานแรกกันทั้งสิ้น ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจพบเจอการดำรงอยู่ของปราณขุมนั้นได้ แต่หากดูจากตอนนี้ เฉินผิงอันย่อมไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับอัจฉริยะด้านการฝึกวรยุทธอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันพลัน “คืนสติ” พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ หนึ่งที
เขาเดินเนิบช้าอยู่ในลานบ้าน ค่อยๆ คลายกล้ามเนื้อแขนขาทั่วร่าง
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองกิ่งไว้ที่วางพิงไว้ตรงมุมกำแพง แล้วพลันจินตนาการเพ้อฝันไปไกล อยากจะทำกระบี่ไม้ให้ตัวเองสักเล่ม
ตอนเด็กหลังจากที่บิดามารดาจากไป ทุกครั้งที่เฉินผิงอันมองไกลๆ ไปยังเด็กรุ่นเดียวกันที่เล่นสนุกอยู่ในสุสานเทพเซียน เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่เล่นว่าว ส่วนเด็กผู้ชายก็ใช้กระบี่ไม้ที่บิดาของพวกเขาทำให้ฟาดฟันกันไปมาดังปึกปัก ดูสนุกสนานอย่างยิ่ง ตอนนั้นเฉินผิงอันอยากมีเป็นของตัวเองบ้างมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าภายหลังกลายมาเป็นลูกศิษย์ทำงานที่เตาเผา ตลอดทั้งปีเหน็ดเหนื่อยง่วนอยู่กับการทำนู่นทำนี่ จึงล้มเลิกความคิดนี้ไป
เฉินผิงอันนั่งยองตรงหน้ากิ่งไหว รู้สึกว่าทำกระบี่ไม้เล่มหนึ่งต้องไม่มีปัญหาแน่ แต่สองเล่มคงเป็นไปไม่ได้
เฉินผิงอันย้ายกิ่งไหวไปไว้ที่หน้าห้องก่อน จากนั้นค่อยไปหยิบมีดผ่าฟืนที่ใช้บุกเบิกทางยามขึ้นเขา เตรียมลงมือทำกระบี่ไม้ให้ตัวเอง
เพียงแต่ว่าเมื่อเฉินผิงอันถือมีดผ่าฟืนมานั่งบนธรณีประตู กลับเกิดความลังเลเล็กน้อย คิดๆ ดูแล้วก็เอามีดกลับไปวางไว้ที่เดิม รู้สึกว่าไม่ควรจะมองต้นไหวโบราณเป็นเพียงต้นไม้ที่เก่าแก่ต้นหนึ่งไม่ได้ เพราะอย่างไรซะท่านฉีกับต้นไหวก็เคยพูดคุยกันครั้งหนึ่ง ดังนั้นกิ่งไหวที่อยู่ข้างหน้ากิ่งนี้ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง
เฉินผิงอันวางกิ่งไหวกลับไปไว้ตรงมุมกำแพงอีกครั้ง ค้นพบว่าตัวเองไม่ง่วงเลย จึงออกจากลานบ้าน หลังลงกลอนประตูเรียบร้อยก็เดินออกไปจากตรอกหนีผิง
เขาเดินมาใกล้สะพานหินโค้งเหมือนถูกผีอำ คิดว่าคราวหน้าคงไม่สามารถกระโดดข้ามแม่น้ำไปได้ทุกครั้งจึงกัดฟันเดินขึ้นบันไดหิน แล้วนั่งลงไปบนกระดาษหินตรงกลางอีกครั้ง ห้อยเท้าทั้งคู่เหนือผืนน้ำ เฉินผิงอันรู้สึกตื่นเตน้เล็กน้อย ก้มหน้าลงมองผิวน้ำมืดมิด พึมพำว่า “ไม่ว่าเจ้าเป็นเทพเซียน หรือปีศาจ พวกเราน่าจะไม่เคยมีความแค้นใดๆ ต่อกัน หากเจ้ามีเรื่องอยากจะพูดกับข้าจริงๆ ก็อย่ามาเข้าฝันข้าอีกเลย ตอนนี้ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เจ้ามาคุยกับข้าได้เลย”
หนึ่งก้านธูป หนึ่งเค่อ หนึ่งชั่วยาม
นอกจากอากาศที่หนาวขึ้นเล็กน้อย เฉินผิงอันก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ
เฉินผิงอันยันฝ่ามือทั้งสองข้างบนแผ่นหิน แกว่งเท้าทั้งคู่ ทอดสายตามองไปยังทิศไกล ตอนที่ยังเด็กมากเขาก็สงสัยแล้วว่า ปลายทางของลำธารสายเล็กคือที่ใด
เฉินผิงอันเหม่อลอยโดยไม่รู้ตัว
หลิวเสี้ยนหยาง กู้ช่าน แม่นางหนิง ท่านฉี ผู้เฒ่าเหยา ล้วนจากไปหมดแล้ว
เฉินผิงอันไม่เคยร่ำรวยขนาดนี้มาก่อน
แต่เด็กหนุ่มก็ไม่เคยโดดเดี่ยวแบบนี้มาก่อนเช่นกัน
……
ฝั่งของสะพานหินที่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะนั่งหันหลังให้ เรือนกายสูงใหญ่สวมชุดขาวหิมะสว่างพร่างพราวทั้งคล้ายเซียน ทั้งคล้ายดวงวิญญาณ กำลังใช้ฝ่ามือสองข้างค้ำยันแผ่นดิน แกว่งเท้าทั้งคู่กลางอากาศ เงยหน้ามองท้องฟ้า
เพียงแต่ว่าภาพเหตุการณ์นี้ อย่าว่าแต่เฉินผิงอันที่เริ่มพูดกับตัวเองเลย แม้แต่ผู้เฒ่าหยางและหร่วนฉงก็ยังไม่อาจสัมผัสถึง