Skip to content

Tales of Herding Gods 103

103. เข็มศพสังหาร

เหออิ๋นโลดเต้นด้วยความเดือดดาล และหมายจะรีบรุดไล่ล่า ทว่าความเจ็บแปลบแล่นมาจากหัวไหล่ เมื่อฉินมู่ใช้ฝักกระบี่เรียกกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์กลับเมื่อครู่ พลังการแทงนั้นไม่ได้รุนแรงอะไร แต่เพราะกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์คมกริบเหลือคณา มันจึงแทงทะลุกระดูกไหล่ของเขาสร้างรูโบ๋ที่หัวไหล่!

เหออิ๋นกัดฟันข่มความเจ็บปวดและนำขวดหยกออกมา เล็กหนึ่งใหญ่หนึ่ง เขาเริ่มจากทาตัวยาห้ามเลือด ก่อนที่จะทาทับไปด้วยยาสมานกระดูกฟื้นฟูเนื้อ แต่ความเจ็บร้าวนั้นยังคงอยู่แทบสุดจะทน

ในขณะเดียวกัน ผีดิบบินข้างหลังเขาก็ควักขี้ผึ้งออกมาจากไหยาแล้วทาลงไปบนคอของผีดิบบินที่ถูกฉินมู่บั่นศีรษะ จากนั้นมันก็หยิบเอาศีรษะของผีดิบบินบนพื้นมาวางต่อบนคอซึ่งถูกฉาบทาด้วยยาขี้ผึ้งไว้รอแล้ว

ผีดิบบินที่ถูกต่อหัวใหม่โคลงคอไปมาๆ สร้างเสียงกรอบแกรบ แต่ปรากฏว่าหัวของมันต่อเข้าผิดด้าน กลายเป็นหันคอไปข้างหลังแทน

ผีดิบตัวที่ต่อคอให้เพื่อนดูจะไม่รู้สึกรู้สา และเดินไปยังผีดิบบินตนอื่นที่ถูกผ่าออกครึ่ง เขาจับร่างสองท่อนมาทาบเข้าด้วยกันแล้วทาขี้ผึ้งกลิ่นเหม็นเหียนนั้นเข้าไป

ผีดิบบินพวกนี้ซึ่งบ้างก็หัวหลุด บ้างก็ตัวขาดครึ่ง แต่พวกมันก็ไม่ตายแน่นิ่ง ตราบใดที่ใช้ขี้ผึ้งลัทธิผีดิบเซียนทาลงไปยังอวัยวะที่ฉีกขาด อวัยวะเหล่านั้นก็จะสามารถเชื่อมต่อกับร่างกายใหม่ กลับมากระโดดโลดเต้นได้เหมือนเดิม ช่างเป็นภาพที่ประหลาดตา

ลัทธิผีดิบเซียนที่ชำนาญเรื่องการปลุกเสกศพนับว่ามีจุดโดดเด่นของมัน

ทันใดนั้นก็มีเสียงแหวกอากาศดังมา เหล่าศิษย์ของลัทธิผีดิบเซียนรีบรุดมาข้างๆ เหออิ๋น และศิษย์หญิงหนึ่งในนั้นถามด้วยความตระหนกใจ “ศิษย์พี่เหออิ๋น ท่านบาดเจ็บหรือ ไอ้เด็กผีนั่นมันแข็งแกร่งมากหรือ”

“เปล่า”

เหออิ๋นตอบด้วยสีหน้ามืดคล้ำ พลางกัดฟันกรอดๆ “วรยุทธอย่างมากก็แค่ขั้นห้าธาตุ แต่พลังวัตรของมันนั้นไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีท่าร่างประหลาดพิสดาร ทั้งยังเชี่ยวชาญเชิงกระบี่และเวทมนตร์ มันครอบรองกระบี่วิเศษที่สามารถเรียกกลับมาได้ด้วยฝักกระบี่ ทั้งยังคมกล้าอย่างยิ่ง คมกริบขนาดที่ว่าผีดิบบินของข้าไม่อาจต่อต้านมันได้! แต่อาการบาดเจ็บของมันก็ไม่เบา มันคงหนีไปได้ไม่ไกล!”

ศิษย์ลัทธิผีดิบเซียนเกือบทั้งหมดฟังแล้วก็แตกตื่น ศิษย์หญิงคนเดิมกล่าวตอบ “ในเมื่อมันเชี่ยวชาญการคุมกระบี่บินและเวทมนตร์ จุดอ่อนของมันต้องอยู่ที่วิชาบู๊ พวกเรารีบไล่ตามมันกันเถอะ จับมันมาให้ท่านจ้าวลัทธิลงทัณฑ์”

ศิษย์ลัทธิผีดิบเซียนสิบกว่าคนออกติดตามไปอย่างเร่งรีบ

เหออิ๋นลุกขึ้นมาและตั้งใจจะตามไปด้วยเช่นกัน แต่ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งขยับวูบมา เมื่อเหออิ๋นเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นก็สะดุ้ง เขารีบโค้งคารวะแล้วกล่าวทักทาย “อาจารย์อาเฉียว!”

อาจารย์อาเฉียวขมวดคิ้ว “ไม่เพียงแต่เจ้ายังไม่อาจจับตัวไอ้เด็กผีที่กล้าสังหารบุตรจ้าวลัทธิ เจ้ายังเสียท่าบาดเจ็บอีก เหออิ๋น เจ้านี่มันแน่จริงๆ!”

เหออิ๋นอับอาย เขารวบรวมความกล้าเอ่ยถาม “อาจารย์อาเฉียว แล้วท่านจ้าวลัทธิ…”

“ท่านจ้าวลัทธิทราบเรื่องนี้แล้วและกำลังโมโหเดือด แต่ว่าเขายังต้องควบคุมสถานการณ์และสยบความวุ่นวายในเมือง”

อาจารย์อาเฉียวกล่าวต่อ “บัดนี้เมื่อราชครูสันตินิรันดร์ได้รับบาดเจ็บปางตาย ผู้กล้าทั่วยุทธภพไม่ยอมพลาดโอกาสออกมาสร้างความปั่นป่วนและสังหารพวกสอพลอทรยศเพื่อให้กฎเกณฑ์ราชสำนักดำเนินกลับสู่วิธีเดิมอันถูกต้อง คราวนี้ลัทธิผีดิบเซียนของเรามีเหตุผลอันชอบธรรมที่จะส่งกองกำลังมาตัดปีกเด็ดหางราชครูสันตินิรันดร์และครอบครองชนบทเขื่อนแม่น้ำไว้ในมือ และเมื่อชนบทเขื่อนแม่น้ำอยู่ภายใต้อิทธิพลของลัทธิผีดิบเซียนของพวกเราแล้ว รากฐานของเมืองจะต้องเสริมสร้างให้มั่นคง พวกเราจะได้ดักจับพวกสอพลอลิ่วล้อราชครูสันตินิรันดร์ให้หมดในคราวเดียว! แม้จ้าวลัทธิจะเดือดแค้นแน่นอกแค่ไหน แต่ท่านก็ยังคำนึงถึงสถานการณ์ใหญ่เอาไว้ก่อน”

เหออิ๋นเข้าใจและกล่าวตอบ “ไม่ทราบว่าอาจารย์อาเฉียวจะติดตามศิษย์น้องชายและศิษย์หญิงเหล่านั้นไปได้หรือไม่ ไอ้เด็กนั้นอาจจะอายุไม่มาก แต่มันมีกระบี่คมกริบที่สามารถแปลงร่างเป็นปลามังกร…”

อาจารย์อาเฉียวแตกตื่นขึ้นมาทันที “กระบี่คมกล้าที่สามารถแปลงร่างเป็นปลามังกร? หน้าตาของมันเป็นยังไง? เจ้าบอกข้ามาให้ละเอียด!”

เหออิ๋นบรรยายลักษณะของกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์และฝักกระบี่ประหลาดนั้น ทำให้อาจารย์อาเฉียวยิ่งตระหนกตกใจจนร้องลั่น “นั่นมันกระบี่วิเศษล้ำค่าประจำตำแหน่งขุนนางชั้นหนึ่งแห่งราชสำนัก สมบัติชิ้นเอกของโลกหล้า! แม้แต่ลัทธิผีดิบเซียนเราก็ยังไม่มีสมบัติอันแข็งแกร่งเยี่ยงนั้น! เหตุใดสมบัติวิเศษสำคัญแบบนี้จึงตกอยู่ในมือเด็กหนุ่มอายุน้อย หรือว่าเขาจะเป็นทายาทของหนึ่งในบรรดาขุนนางชั้นหนึ่งของราชสำนัก!”

สายตาเขาวูบไหว จากนั้นจึงแย้มยิ้ม “กระบี่นี้ล้ำค่าเหนือธรรมดา สวรรค์คงหมายเสริมส่งให้ลัทธิเรารุ่งเรืองเกรียงไกร จึงส่งกระบี่วิเศษชั้นหนึ่งมาให้! ข้าจะรีบไปแล้วชิงกระบี่นั้นมา!” เมื่อเขากล่าวจบ ก็สะกิดเท้าหายวับไปในพริบตา

เหออิ๋นขมวดคิ้วครุ่นคิดในใจ “กระบี่วิเศษของขุนนางขั้นหนึ่งระดับสูง? สมบัติวิเศษที่เป็นสัญลักษณ์ของตำแหน่งในราชสำนัก ขุนนางขั้นสูงชั้นหนึ่งจะมอบกระบี่แทนตำแหน่งให้ทายาทถือไปมาได้อย่างไร อาจารย์อาเฉียวเหมือนจะคิดไม่ถึงประเด็นนี้…ข้าคงต้องรีบกลับไปรายงานท่านจ้าวลัทธิ!”

เขารีบมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองชนบทเขื่อนแม่น้ำทันที

อาจารย์อาเฉียวติดตามร่องรอยที่ฉินมู่และศิษย์ลัทธิผีดิบเซียนทิ้งไว้ สะกดรอยไป ทันใดนั้นเขาก็นิ่วหน้าอย่างรุนแรงเมื่อเห็นศพแรก มันเป็นศพของศิษย์ลัทธิผีดิบเซียนคนหนึ่ง

มีรอยแผลจางๆ ที่คอของศิษย์ลัทธิผีดิบเซียนผู้นี้ นอกจากนั้นก็ไม่มีบาดแผลอื่น ทั้งยังไม่มีรอยเลือดที่ข้างตัวด้วย จากบาดแผลเขาน่าจะถูกแทงเข้าที่คอด้วยปลายกระบี่ซึ่งเฉือนตัดเส้นเลือดใหญ่สองเส้นในคอ

จากมุมของบาดแผล ศิษย์ผู้นี้น่าจะกำลังเหินหาวบนยันต์กระดาษเหลือง และถูกลอบสังหารจากข้างหลัง คอของเขาถูกปาดโดยกระบี่บินโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

แต่ทว่ามันน่าประหลาดที่ไม่มีรอยเลือดกระเซ็นในบริเวณรอบข้าง

อาจารย์อาเฉียวขมวดคิ้ว นี่หมายความว่าศิษย์ผู้นี้ไม่ได้ตายที่นี่ เขาถูกโยนลงจากอากาศหลังจากลอยไปบนฟ้าได้สักพัก

เลือดของเขาไหลออกไปหมดระหว่างที่อยู่บนอากาศ

นี่หมายความว่าอย่างไร

ก็หมายความว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นสังหารเขาขณะที่ยืนอยู่ประชิดติดตัว!

ศิษย์ผู้นี้น่าจะกำลังเร่งรุดไปเบื้องหน้าระหว่างที่เสาะหาร่องรอยของฉินมู่บนยันต์เหินหาว และในตอนนั้นเองเด็กหนุ่มผู้ถูกล่าก็มาปรากฏข้างหลังเขาอย่างเงียบเชียบ แล้วปาดคอเขาด้วยกระบี่เดียว จากนั้นเด็กหนุ่มคนนั้นก็เข้ามาประชิดซากร่างของเขาแล้วควบคุมกล่องกระบี่ให้ยันต์กระดาษเหลืองยังคงลอยออกมาจากกล่องสร้างทางก้าวเดินไปในอากาศ

และในเวลาเดียวกัน เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ยังควบคุมซากศพของศิษย์ลัทธิผีดิบเซียนให้เดินทางไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดูเหมือนว่าซากศพนี้ยังมีชีวิตอยู่ และรีบติดตามศิษย์ลัทธิผีดิบเซียนคนอื่นๆ ไป

“นี่คือวิชาควบคุมศพ!”

สีหน้าของอาจารย์อาเฉียวบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย “เด็กหนุ่มนี่ยังรู้วิธีควบคุมศพอีก! ศิษย์ลัทธิเราตกอยู่ในอันตราย! แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว ไม่น่าจะมีขุนนางขั้นสูงชั้นหนึ่งในราชสำนักคนไหนที่เชี่ยวชาญวิชาบังคับศพนี่ เจ้าเด็กนี่มันมาจากที่ไหน และมันเรียนวิชาบังคับศพมาได้อย่างไร”

ตอนนี้เป็นเวลากลางดึก และแทบจะถึงเวลาเปลี่ยนผลัดที่สามของเวรยามราตรี แม้ว่าตอนนี้จะมีแสงจันทร์ แต่ก็ไม่สว่างพอที่จะให้ผู้คนมองเห็นไปได้ไกลนัก

อาจารย์อาเฉียวนึกภาพออกเลยว่า ฉินมู่อาศัยความมืดขมุกขมัวควบคุมศพของศิษย์ลัทธิผีดิบเซียนอย่างไร ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถลอบเข้าไปใกล้ศิษย์คนอื่นๆ ได้โดยไม่กระโตกกระตาก และเมื่อพวกเขามองเห็นชัดถนัดตา ก็คงสายไปเสียแล้วที่จะหลบคมกระบี่ของเขา!

นอกจากลัทธิผีดิบเซียน ก็ยังมีลัทธิชั่วร้ายและลัทธิมารอื่นๆ ที่รู้วิชาควบคุมซากศพ แต่ว่าแต่ละสำนักต่างก็มีวิชาและทักษะที่แตกต่างกันไป

ลัทธิผีดิบเซียนถือได้ว่าโดดเด่นในเต๋าแห่งการควบคุมและปลุกศพ เพียงแต่ชื่อเสียงของพวกเขาไม่ค่อยดีนัก

จากวิธีการที่ฉินมู่ใช้ควบคุมศพ ดูเหมือนว่าจะเป็นยอดวิชาชนิดหนึ่ง สามารถสังหารศิษย์ลัทธิผีดิบเซียนและควบคุมซากร่างของเขาทำให้เขาดูเหมือนยังมีชีวิตอยู่ เป็นผลให้ศิษย์คนอื่นๆ ไม่สำเหนียกว่ามีอะไรผิดปกติ วิชาควบคุมศพเช่นนี้นับว่าหาได้ยาก

“นี่มันคล้ายกับมหาเวทบังคับศพของลัทธิมารฟ้า…”

อาจารย์อาเฉียวรีบตามร่องรอยไปต่อ และไม่นานนัก เขาก็เห็นศพที่สอง ตามด้วยศพที่สาม และศพที่สี่…

หางตาของเขากระตุกอย่างรุนแรงเมื่อเขาเห็นศพที่เจ็ด ศพที่เจ็ดนั้นไม่มีผิวหนังหลงเหลือซึ่งน่าจะถูกถลกออกไป แต่ทว่าหลังจากหนังถูกถลกออกไปแล้ว กลับไม่มีโลหิตหลั่งไหลออกมา และไม่มีร่องรอยเลือดในบริเวณรอบๆ

อาจารย์อาเฉียวสีหน้าแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว เขาปล่อยลมหายใจที่อั้นไว้ “วิชามารฟ้าเสกสรร! เด็กนี่เป็นศิษย์ลัทธิมารฟ้า!”

และในเมื่อบัดนี้ศพที่ถูกถลกหนังไม่อาจระบุได้ว่าเป็นใคร นี่หมายความว่าฉินมู่อาจจะซ่อนอยู่ในผืนหนังของใครก็ได้ในบรรดาศิษย์ลัทธิที่กำลังไล่ล่าเขาอยู่!

ความคิดฆ่าฟันพวยพุ่งขึ้นมาในอาจารย์อาเฉียวเมื่อเขาติดตามไปต่อ ไม่นานนัก เขาก็เห็นศิษย์ลัทธิผีดิบเซียนที่หลงเหลืออยู่ไม่กี่คน ศิษย์เหล่านั้นจับกลุ่มกันและมองไปรอบทิศทางอย่างระแวง เมื่อพวกเขาเห็นอาจารย์อาเฉียว ต่างก็ระบายลมหายใจโล่งอกออกมา

หนึ่งในศิษย์เหล่านั้นร้อง “อาจารย์อาเฉียว…”

อาจารย์อาเฉียวดีดนิ้ว และเข็มเล็กละเอียดเท่าขนวัวก็พุ่งซัดเข้าไปยังใจกลางระหว่างคิ้วของศิษย์ที่เหลืออยู่ทุกคน!

แววตาของพวกเขาพลันแข็งทื่อ เมื่อวิญญาณและจิตของพวกเขาแตกสลายไปอย่างรวดเร็ว ปากก็กระอักโฟมขาวเป็นฟองฟอด

เข็มเหล่านี้คืออาวุธวิญญาณของอาจารย์อาเฉียว ซึ่งเขาเรียกพวกมันว่าเข็มศพสังหาร ใครก็ตามที่ถูกเข็มนี้ปักเข้าไป วิญญาณและจิตของเขาก็จะแตกสลายและกลายเป็นศพเดินได้อันปราศจากวิญญาณ แม้มหาเทพและจอมมารลงมาก็ช่วยเขาไม่ได้

ศิษย์หญิงคนหนึ่งกล่าวด้วยเสียงขาดเป็นห้วง “อา…อาจารย์อาเฉียว ทะ…ทำไม…”

อาจารย์อาเฉียวรีบพุ่งปราดเข้าไปและตรวจตราร่างกายของศิษย์เหล่านั้น เขานิ่วหน้าทันที

เขาไม่พบฉินมู่!

หากว่าฉินมุ่ใช้วิชามารฟ้าเสกสรรจากคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตในการถลกหนังศิษย์ผีดิบเซียนและปลอมแปลงเป็นศิษย์ผู้นั้น มันจะต้องมีรอยแดงบนผิวหนังของเขา ทว่าบนซากร่างของศิษย์เหล่านี้กลับไม่มีรอยแดงใดๆ!

นี่แปลว่า ฉินมู่ไม่ได้ซุ่มซ่อนอยู่ท่ามกลางศิษย์พวกนี้!

“แย่ล่ะ ข้าตกหลุมพรางของเขา! กลายเป็นสังหารผิดคน”

หางตาของอาจารย์อาเฉียวยิ่งกระตุกมากขึ้นเมื่อเขามองไปยังซากร่างของศิษย์ผีดิบเซียนเหล่านี้พลางคะเนคำนวณในใจ หากว่าข้าปล่อยศพพวกเขาไว้แบบนี้ เกรงว่าทั้งเจ้าสำนักและไอ้เฒ่าคนอื่นๆ ต้องรู้แน่ๆ ข้ากำจัดศพพวกนี้ทิ้งดีกว่า

เขาดีดเล็บ ผงที่ซ่อนอยู่ในเล็บมือพลันปลิวออกไปและร่วงลงบนซากร่างเหล่านั้น เลือดเนื้อของศิษย์ลัทธิ ผีดิบเซียนพลันละลายยุบลงไป ทั้งกระดูกและเสื้อผ้าของพวกเขาต่างสลายตัวย่อยยับกลายเป็นน้ำหนองกองใหญ่

อาจารย์อาเฉียวถอนหายใจโล่งอก จากนั้นหรี่ตามองไปรอบๆ บริเวณ เขาไม่พบร่องรอยของฉินมู่ ทันใดนั้น ร่างของเขาพลันสั่นเทิ้ม และมีเสียงวูช จุดแดงเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนพลันกรูลงมาจากเสื้อนักพรตของเขา พวกมันเป็นด้วงศพนับพันๆ ตัว

ด้วงศพกระพือปีกของมันและโบยบินออกไปทั่วทิศ เมื่อดวงจันทร์ตกลงยังทิศตะวันตก ทิศตะวันออกก็มีแสงเงินเรื่อเรือง เมื่อแสงนี้ตัดกับฝูงด้วงศพแดงฉานที่โบยบินเต็มฟ้า มันก็เหมือนกับหิ่งห้อยที่ตระเวณไปตามท้องทุ่งก่อนอรุณจะเบิกฟ้า

“กระบี่วิเศษของขุนนางขั้นสูงชั้นหนึ่งน่าจะเพียงพอที่จะใช้เป็นสมบัติสืบทอดของลัทธิ”

อาจารย์อาเฉียวเงยหน้าขึ้นและมองเมฆแดงทางทิศตะวันออกพลางพึมพำ “จ้าวลัทธินั่งบนเก้าอี้ผู้นำมาก็นานมากแล้ว คงได้เวลาที่เขาควรจะไสก้นไป…”

แดนโบราณวินาศ หมู่บ้านพิการชรา

“มู่เอ๋อ ได้เวลาตื่นกินข้าวปลาแล้ว ทำไมเจ้ายังหลับอุตุอยู่”

เมื่อท่านยายซีสิ้นสุดคำพูด นางชะงักแล้วยื่นทื่อไป หลายวันที่ผ่านมานับแต่ฉินมู่ออกจากหมู่บ้าน นางก็มักเผลอเตรียมอาหารเพิ่มอีกชุดหนึ่งและคอยไปเรียกฉินมู่ให้มาทานข้าว นางเอาแต่หลงลืมว่าฉินมุ่ได้ออกจากหมู่บ้านไปแล้ว

ท่านยายซีถอนหายใจ และทานอาหารเช้าตามลำพังอย่างเงียบงัน นางผลักชามและหม้อออกไปโดยไม่ไยดีจะลุกไปเก็บล้าง นางนั่งบื้ออยู่ที่โต๊ะ จมดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิด

ทันใดนั้นหญิงแก่ตัวเล็กๆ ผู้นี้ก็ลุกขึ้น และเดินเข้าไปในห้องของนางเพื่อเก็บข้าวของ นางหิ้วตะกร้าเล็กๆ ของนาง เดินโขยกเขยกออกจากห้องด้วยฝีเท้าเล็กๆ แล้วมุ่งหน้าออกจากหมู่บ้าน

ที่ประตูทางเข้าหมู่บ้าน นักปรุงยาและผู้ใหญ่บ้านกำลังนั่งจิบชากันอยู่ หลับตาดื่มด่ำกับบรรยากาศ

ยายเฒ่าซีมองเมินผ่านพวกเขา หิ้วตะกร้าของนางเดินต๊อกๆ แต๊กๆ ออกไปจากหมู่บ้าน

“ยายแก่ซี เจ้าจะออกจากหมู่บ้าน ไม่คิดจะพูดจาบอกกล่าวอะไรเลยเรอะ” ผู้ใหญ่บ้านถามด้วยน้ำเสียงไม่เร่งรีบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version