Skip to content

Tales of Herding Gods 104

104. พวกวายร้ายออกจากหมู่บ้าน

ยายเฒ่าซีหมุนตัวกลับไปและกะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ “ใครจะออกจากหมู่บ้านกัน”

ผู้ใหญ่บ้านยิ้มกล่าว “ถึงข้าจะเป็นคนข้างถนน แต่เมื่อได้ยินเสียงเพลงก็รู้ซึ้งถึงนัย เจ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่ตั้งหลายวัน ดังนั้นเจ้าคงอดทนอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป และจะออกไปตามหามู่เอ๋ออย่างแน่นอน”

ยายเฒ่าซีชักสีหน้ารำคาญแล้วพูดเสียงสะบัด “เจ้าก็มองข้าทะลุแล้วนี่ ข้าไปล่ะ ไม่อยู่มันแล้วที่นี่!”

นักปรุงยากระแอมไอแล้วกล่าว “หากว่าเจ้าออกจากหมู่บ้าน ใครล่ะจะช่วยสยบมารในจิตของเข้า ที่ผ่านมาเพราะว่าพวกเราอยู่ที่นี่ด้วย วิญญาณดั้งเดิมของจ้าวลัทธิหลี่ถึงไม่กล้าอาละวาด หากว่าเจ้าออกไป ข้าเกรงว่าเจ้าคงไม่สามารถสยบจ้าวลัทธิหลี่ได้ จ้าวลัทธิหลี่นั้นมีความสำเร็จสูงส่งในเต๋ามารและแม้กระทั่งเปลี่ยนวิญญาณตนเองให้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์มารที่เพาะลงไปในจิตเต๋าของเจ้า สิงสู่ในจิตเต๋าและรอจังหวะที่จะแว้งกัด หากว่าเจ้าไม่สามารถกำจัดหรือสยบเขาได้ เขาก็จะแว้งกัดเจ้าและทำลายวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าเพื่อยึดครองร่าง”

สายตายายเฒ่าวูบไหว “เขาไม่ยึดร่างของข้าหรอก”

“เพราะเขารักเจ้าจนเหลือล้นงั้นหรือ”

นักปรุงยาแค่นเสียงหยันแล้วกล่าวต่อ “เรื่องนี้เจ้าคิดผิด ด้วยการยึดครองร่างของเจ้า เขาก็จะถือกำเนิดใหม่ขึ้นมาในตัวของเจ้า ด้วยวิธีนี้เขาจะกลายเป็นเจ้า สิ่งที่เขาลุ่มหลงไม่ใช่เจ้าแต่เป็นเปลือกนอกร่างเนื้อ ดังนั้นเมื่อเขากลายเป็นเจ้าได้สำเร็จ เขาก็สามารถลุ่มรักตนเองได้อย่างเต็มที่ เขาเป็นมารในจิตของเจ้า และขณะเดียวกันเจ้าก็เป็นมารในจิตของเขา ด้วยการใช้ร่างของเจ้าเพื่อถือกำเนิดใหม่ เขาก็จะเอาชนะมารในจิตของตนได้ จ้าวลัทธิหลี่ใช้เจ้ามาขัดเกลาตน เขากำลังแสวงวิธีบรรลุเป็นเทพ”

ยายเฒ่าซีตัวสั่นเทิ้ม จากนั้นก็แย้มยิ้มทันใด “นักปรุงยา เจ้าพูดมาตั้งยืดยาดมากมายนี่ เจ้ามีวิธีช่วยขจัดมารในจิตข้าอย่างนั้นหรือ”

นักปรุงยาเงียบไปครู่หนึ่ง วิญญาณดั้งเดิมของหลี่เทียนซิ่งนั้นได้ถูกเพาะเข้าไปในจิตเต๋าของยายเฒ่าซีอย่างแนบแน่นแล้ว และเขาเองก็ไม่มีวิธีขจัดมันออก ไม่ใช่แค่เขา แม้แต่เฒ่าหม่าที่เชี่ยวชาญวิชาพุทธก็ไม่อาจขจัดมารในจิตของนาง

ผู้เดียวที่สามารถขจัดมารจิตตนนี้ไปได้ก็มีแต่ตัวยายเฒ่าซีเองเท่านั้น ทุกอย่างที่พวกเขาทำได้ก็มีแต่ช่วยยายเฒ่าซีสยบมารเอาไว้ไม่ให้ออกมาอาละวาด

“ข้าอยู่ที่นี่มาตั้งสี่สิบปีแล้ว แล้วจะมีประโยชน์อะไรถ้าข้าจะอยู่ต่อ ในเมื่อพวกเจ้าทั้งหมดก็ช่วยข้าขจัดมารจิตออกไปไม่ได้?”

ยายเฒ่าซีหิ้วตะกร้าของนาง แล้วออกจากหมู่บ้านไปโดยไม่หันหลังกลับ “ข้าจะไปตามหามู่เอ๋อ ข้ากลัวว่าเขาจะหิว หนาว หรือว่าถูกคนอื่นรังแก พวกเจ้าไม่ต้องห่วง หากว่าข้าไม่อาจสยบจ้าวลัทธิหลี่เอาไว้ได้ ข้าจะกลับมา!”

ทั้งผู้ใหญ่บ้านและนักปรุงยาต่างก็ขมวดคิ้ว

ยายเฒ่าซีหิ้วตะกร้าของนางมายังริมแม่น้ำ นางจุดธูปเรียกสัตว์แบกแม่น้ำมา ปีนขึ้นไปนั่งบนหลังของมันแล้วล่องลงไปตามกระแสน้ำ

หลังจากที่สัตว์แบกแม่น้ำล่องไปได้สักร้อยลี้ ยายเฒ่าซีก็ตะลึงทันใดเมื่อเห็นชายตาบอดคนหนึ่งเดินใช้ไม้เท้านำทางเตาะแตะไปบนผิวน้ำ สีหน้ายายเฒ่าซีมืดคล้ำและรีบยื่นมือไปฉุดเฒ่าบอดขึ้นมาบนหลังสัตว์แบก จากนั้นนางก็ถามอย่างโมโหโกรธา “เฒ่าบอด นี่เจ้าก็จะขัดขวางข้าอีกคนเรอะ”

เฒ่าบอดจ้องตาทื่อ แล้วยิ้มกล่าว “ที่แท้ก็ยายเฒ่านี่เอง ข้าก็แค่เดินเล่น อะไรคือขัดขวางเจ้าเอาไว้หรือ”

ยายเฒ่าซีมองอย่างจับพิรุธแล้วถาม “เจ้าไม่ได้หมายจะหยุดยั้งข้า ไม่ให้ข้าออกไปจากหมู่บ้าน ก็เลยโผล่มาดักข้าที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่งั้นหรอกหรือ”

เฒ่าบอดประท้วงทันที “เจ้าก็เดินของเจ้า ข้าก็เดินของข้า ทำไมข้าต้องหยุดให้เจ้าอยู่ในหมู่บ้านต่อด้วย เออนี่ ยายเฒ่า เจ้ากำลังจะไปที่ไหน ให้ข้าติดหลังสัตว์แบกไปด้วยคนได้หรือไม่”

ยายเฒ่าซีกะพริบตาพร่ามัวของนาง จากนั้นจึงแย้มยิ้ม “ข้ากำลังจะไปจักรวรรดิสันตินิรันดร์ เจ้าจะติดรถไปด้วยไหมล่ะ”

เฒ่าบอดปรบมือยิ้มร่า “ข้าก็จะไปจักรวรรดิสันตินิรันดร์เหมือนกัน!”

ยายเฒ่าซีเบิ่งตาจ้องเขา เมื่อมองดูสีหน้าใสซื่อของเฒ่าบอดสักพัก นางก็ยิ้มหยัน “เจ้าจะไปจักรวรรดิสันตินิรันดร์ทำไม”

เฒ่าบอดตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ตาของข้าบอดสนิท ข้าเลยจะไปตามหาคนที่ควักลูกตาข้าไป”

ยายเฒ่าซีใจเต้นตุ้มต่อม จากนั้นนางจึงยิ้มกล่าว “ข้านึกว่าเจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของมู่เอ๋อและตระเตรียมเดินทางไปจักรวรรดิสันตินิรันดร์เพื่อตามหาเขา ที่แท้เจ้าก็ไปทำธุระที่ควรทำของตัวเอง”

“เขาโตแล้ว และต้องรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงต่างๆได้แน่”

คำพูดของเฒ่าบอดเกือบจะทำให้ยายเฒ่าซีรู้สึกผิด หากว่าเข้าไม่กล่าวต่อ “ข้าจะไม่ไปตามหาเขาหรอก แค่จะไปคอยแอบดูอยู่ห่างๆ”

ในตอนนั้นเองก็มีเส้นแสงกรีดข้ามฟ้า เมื่อยายเฒ่าซีเงยหน้ามอง เส้นแสงนั้นก็หายวับไปแล้ว แต่ทันใดแสงดุจดาวตกนั้นก็วกกลับมาใหม่แล้วพุ่งวาบลงบนหลังของสัตว์แบกในวูบเดียว ร่างของเฒ่าเป๋ปรากฏบนหลังสัตว์แบก เขามองทั้งสองคนบนหลังสัตว์แบกด้วยสายตาแค้นเคือง

เฒ่าบอดฮึ่มฮั่มอย่างโมโห “เฒ่าเป๋ ข้าเห็นเจ้าวิ่งไปมายังกะภูตผีน่าขนหัวลุกชะมัด! เจ้ากำลังทำอะไรกัน”

“ออกจากหมู่บ้านไปเดินเตร็ดเตร่”

เฒ่าเป๋มองไปรอบๆ จากนั้นเอ่ยถาม “พวกเจ้ามีใครเห็นเฒ่าหม่าไหม ข้าไม่เห็นเขามาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว เมื่อคืนเขาไปไหนก็ไม่กลับ”

ยายเฒ่าซีตกอกตกใจ “เฒ่าหม่าไม่กลับเข้าหมู่บ้าน? ปกติเขากลับบ้านตรงเวลาตลอดนะ”

เฒ่าเป๋ถอนหายใจแล้วกล่าว “ข้าว่านะ เขาต้องคิดถึงมู่เอ่อ เลยตามไปที่จักรวรรดิสันตินิรันดร์ ข้าจะไปตามหาเขา ตาเฒ่านี่ออกไปคนเดียวไม่บอกไม่กล่าว และข้าจะเค้นคอถามว่า ทำไมเขาทอดทิ้งมิตรภาพที่เรามีต่อกันมาช้านานอย่างไม่ใยดี และข้าจะไปตามหาขาของข้า…”

เฒ่าบอดยิ้มหยัน “ไม่ใช่เจ้าก็คิดจะไปตามหามู่เอ๋อด้วยหรือ”

เฒ่าเป๋ย้อนอย่างเย็นชา “ข้าน่ะเรอะ คิดถึงเขา? ข้าไม่คิดถึงหรอกเว้ย! เขาก็แค่เด็กที่พวกเราเก็บมาเลี้ยง ทั้งซุกซนทั้งน่ารำคาญตั้งแต่ตัวเล็กๆ ข้าล่ะอยากจะเอาเขาไปทิ้งตั้งนานแล้ว…เอ๊ะ ดูนั่นสิ ไอ้ตูดหมึกนั่นดูเหมือนคนแล่เนื้อเลยเว้ย….นี่มันคนแล่เนื้อนี่!”

ครู่หนึ่ง ก็มีคนสี่คนยืนอยู่บนหลังสัตว์แบกแม่น้ำ แน่ล่ะ คนแล่เนื้อนั้นยืนด้วยสองมือของตน สามคนมองกันไปมาระหว่างที่เฒ่าบอดยืนอิงไม้เท้าเงี่ยหูฟังว่าพวกนี้จะคุยอะไรกัน แต่ทว่า ไม่มีใครยอมปริปาก

ท่านยายซีกระเดียดตะกร้าของนางไปมา เฒ่าเป๋ยืนเอียงกะไม้ค้ำแล้วผิวปาก ส่วนคนแล่เนื้อก็เปลี่ยนเอามือมาเท้าสะเอวแล้วเสมองวิวทิวทัศน์รอบๆ

ผ่านไปสักพัก เฒ่าบอดก็พึมพำ “นอกจากพวกเราสี่คนแล้ว เฒ่าหม่าก็หนีไปเรียบร้อย ดังนั้นก็เหลือแต่นักปรุงยา ผู้ใหญ่บ้าน เฒ่าหนวก และเฒ่าใบ้ที่ยังหลงเหลืออยู่ในหมู่บ้าน…”

“เฒ่าใบ้ก็หนีไปแล้ว”

คนแล่เนื้อแค่นเสียงฮึ่มฮั่มแล้วกล่าว “ก่อนที่นักปรุงยากับผู้ใหญ่บ้านจะตื่น เฒ่าใบ้ก็แบกกล่องยักษ์ของมันแล้วหนีออกจากหมู่บ้านไป ข้าวิ่งตามมาออกมา แต่ไล่กวดไม่ทัน!”

เฒ่าบอดตะลึง ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ “ถ้าอย่างงั้นก็เหลือแค่เฒ่าหนวก ผู้ใหญ่บ้าน และนักปรุงยา”

เฒ่าเป๋หัวเราะคิกคัก “พวกเราไม่ได้คิดถึงมู่เอ๋อเลยซักกะติ๊ด พวกเราล้วนแต่มีธุระดีๆ ที่ต้องไปทำกันทั้งนั้น ตัวข้าน่ะจะไปราชวังจักรพรรดิเพื่อดูว่าขาของข้ายังอยู่ดีไหม เผื่อราชครูสันตินิรันดร์จะนึกอุตริเอาขาข้าไปดองเกลือ ย่างไฟ แล้วก็รมควัน คงแย่แน่ๆ ถ้าเขาทำขาข้าเป็นแฮม”

เฒ่าบอดเองก็พยักหน้า “ข้าก็มีธุระสำคัญ ต้องไปแก้แค้นคนที่เอาลูกตาข้าไป”

ยายเฒ่าซีผงกหัวซ้ำๆ พลางแย้มยิ้ม “ในฐานะธิดาเทพรุ่นก่อนแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็ต้องไปเข้าเฝ้าจ้าวลัทธิคนใหม่ในพิธีขึ้นครองลัทธิของเขา”

คนแล่เนื้อครุ่นคิดหาเหตุผลอยู่สักพัก ถึงกล่าวออกมาว่า “ข้าคิดว่าร่างครึ่งท่อนของข้าคงไปหล่นอยู่ที่ไหนสักแห่ง ข้าจะไปลองหาดูเผื่อว่าจะเอามันมาต่อกันได้อีกครั้ง”

ทั้งสี่คนต่างก็ถอยหายใจอย่างโล่งอกจากนั้นกล่าวพร้อมๆ กัน “ดังนั้นพวกเราจึงมีธุระสำคัญจริงๆ!”

ในหมู่บ้านพิการชรา ผู้ใหญ่บ้านและนักปรุงยานั่งอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน และจิบชาของพวกเขาโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจา สักพักหนึ่งนักปรุงยาจึงโพล่งขึ้นมา “ตอนนี้เหลือพวกเราแค่สี่คนในหมู่บ้าน”

“นักปรุงยา เฒ่าหม่าออกไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน”

ผู้ใหญ่บ้านจิบชาแล้วกล่าวต่อ “จิตสมาธิของพวกเขายังไม่มั่นคง ถึงนั่งกันไม่ติด มีแต่เฒ่าหนวกที่มีจิตสมาธิราวฤๅษีและขัดเกลาอย่างบัณฑิต สามารถนิ่งสงบไม่แตกตื่น…”

เขาพลันเบือนหน้าไปจ้องตาค้างยังเฒ่าหนวกที่เดินผ่านพวกเขา แบกตะกร้าไม้ไผ่ไว้ที่หลังซึ่งมีร่มผ้าปักอยู่เหนือตะกร้าแบบสัมภาระบัณฑิตที่กำลังจะเดินทางไกล

นักปรุงยาอดไม่ได้จึงเอ่ยถาม “เจ้าจะไปไหนน่ะเฒ่าหนวก!”

เฒ่าหนวกเหมือนจะไม่ได้ยินคำถามแล้วเดินต่อไป

“ไอ้ตะกูดนี่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินอีกแล้ว!” นักปรุงยาพ่นด้วยความโมโห

“ตอนนี้ก็เหลือเราแค่สองคนในหมู่บ้าน”

ผู้ใหญ่บ้านไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ เขาโพล่งถามขึ้นมา “แล้วเจ้าล่ะจะไปเมื่อไหร่”

นักปรุงรีบรีบส่ายหน้า “ข้าจะกล้าออกไปได้อย่างไรในเมื่อข้ามีศัตรูมากมายข้างนอกนั่น ที่ข้ากังวลก็คือเมื่อพวกวายร้ายทั้งหลายเพ่นพ่านออกไปแล้ว พวกเขาคงสร้างความปั่นป่วนไม่ใช่น้อย พวกวายร้ายของหมู่บ้านเรา…”

ผู้ใหญ่บ้านแย้มยิ้ม “ปล่อยให้คนข้างนอกนั่นปวดหัวไปเองล่ะกัน หากว่าเจ้าอยากออกไปด้วย เจ้าก็ไปได้นะ ข้าจะอยู่ดูแลหมู่บ้านรอให้พวกเจ้ากลับมา”

นักปรุงยาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหน้า “ถ้าข้าออกไปด้วยคงมีแต่จะก่อปัญหามากขึ้น ในเหล่าวายร้ายแห่งหมู่บ้านพิการชรา ชื่อเสียงข้านับว่าฉาวโฉ่ที่สุด…”

ผู้ใหญ่บ้านยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่ง “ถ้าไม่อย่างงั้น เจ้าก็คงออกไปนานแล้วสินะ”

ทั้งคู่มองกันไปมา ก่อนจะระเบิดหัวเราะดังลั่น

….

ที่ชายแดนระหว่างชนบทเขื่อนแม่น้ำและชนบทตะวันพยัคฆ์ ฉินมู่เงยหน้ามองอาทิตย์แรกอรุณ ปราณชีวิตหงส์แดงแผ่พุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขาเผาผลาญเสื้อผ้าที่เขาขโมยมาจากศิษย์ลัทธิผีดิบเซียน สำหรับผืนหนังมนุษย์นั้นฉินมู่โยนทิ้งไปนานแล้วระหว่างที่เขาหลบหนี เขายังตะขิดตะขวงที่จะสวมใส่ผืนหนังมนุษย์บนร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังแบกกระเป๋าสัมภาระใหญ่เบ้อเร่ออันเต็มไปด้วยข้าวของจิปาถะที่ท่านยายซีพกห่อให้ เขาจึงไม่อาจสวมใส่หนังมนุษย์มิเช่นนั้นเขาจะกลายเป็นคนหลังค่อมขนาดหนัก และทำให้ผู้คนมองทะลุการปลอมตัวของเขาได้อย่างง่ายดาย

มีอะไรซ่อนอยู่ในหลังค่อมของท่านยายซีกันแน่นะ ความคิดสงสัยผุดขึ้นมาในหัวฉินมู่

ในเมื่อเขามีกระเป๋าสัมภาระใหญ่ เขาก็จะกลายเป็นคนหลังค่อมเมื่อสวมใส่ผืนหนังมนุษย์ ในเมื่อท่านยายซีจริงๆ แล้วไม่ใช่คนหลังค่อม นี่ก็แปลว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ข้างใน ฉินมู่สงสัยตรงนี้แหละว่ามันวัตถุพิสดารหายากอะไรกันนะที่ท่านยายซีซ่อนไว้ในหลังค่อมของนาง

หลังจากค่ำคืนที่ต้องหนีเอาชีวิตรอด เขาไม่มีเวลาหยุดพักผ่อน ทั้งการต่อสู้อันดุเดือดนั้นทำให้เขาหมดเรี่ยวแรง ฮู่หลิงเอ๋อเองก็เหนื่อยหนักจนหลับปุ๋ยไปเรียบร้อยแล้วในกระเป๋าหลังของเขา

กระแสลมพัดผ่านมา ฉินมู่รีบฉวยจังหวะกระโดดเหยียบยอดลมแล้วเหินหาวไปบนสายลม แต่ทว่าเพียงวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าสุดขีดขั้นของร่างกาย จึงได้แต่กลับลงมาที่พื้นและเดินต่อไปอย่างระโหย

ทันใดนั้น เสียงหึ่งๆ ก็ดังมาจากท้องฟ้า เมื่อมองไปยังแหล่งที่มาของเสียง ฉินมู่ก็มองเห็นด้วงสีแดงดั่งเพลิงไฟสามสี่ตัวบินพรูเข้ามาทางเขา ด้วงเหล่านั้นดูไม่กลัวผู้คนเลยแม้แต่น้อย มันเข้าห้อมล้อมรอบตัวเขา

“ด้วงศพ!”

หางตาฉินมู่กระตุก พร้อมกับที่อ้าปากหาวอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาพึมพำกับตนเอง “ข้าเหนื่อยล้าเกินไปแล้ว ข้าต้องหาที่งีบหลับ..”

เขาดีดนิ้วสองสามครา ด้วงศพสามสี่ตัวนั้นก็ระเบิดเป็นจุล!

เขาเคยเห็นด้วงศพพรรค์นี้ที่สวนสมุนไพรของนักปรุงยา พวกมันเป็นด้วงศพสีเขียวและสีดำ แต่ด้วงศพสีแดงนั้นเป็นสายพันธุ์ที่หายากที่สุด ด้วงแดงเหล่านี้ต้องเป็นด้วงศพสีแดงเป็นแน่!

และในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงหึ่งดังระงมมาอีก เขาเงยหน้าขึ้นมาบนท้องฟ้า และขนหัวก็ลุกชูชันเมื่อเห็นเมฆสีแดงพวยพุ่งมาทางเขาอย่างดุดัน!

เมฆแดงนั้นกดลงต่ำจากท้องฟ้าทุกทีทุกที ทันใดนั้นด้วงแดงก็โบยบินเข้าไปในป่าและมุดเข้าไปในหลุมฝังศพ พื้นดินเหนือหลุมฝังศพเหล่านั้นพลันสะเทือนปริ เผยให้เห็นโครงกระดูกคืบคลานออกมาจากในดิน แล้วก้าวเท้ายาวๆ กรอบๆ แกรบๆ เข้าใส่ฉินมู่!

ด้วงศพยังตามมามากขึ้นทุกที พวกมันมุดเข้าไปในร่างของสัตว์เถื่อนอย่างเช่นหมาป่าและเสือร้าย ดวงตาของสัตว์เถื่อนเหล่านั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงดุดัน พวกมันกระโจนขย้ำเข้าใส่ฉินมู่!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version