105. ผู้ว่าการมณฑลหลี่โจว
“ยอดฝีมือจากลัทธิผีดิบเซียน! เขายังแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกวิชาเทวะที่เหมือนจะชื่อเหออิ๋น วรยุทธเขาเหนือกว่าเหออิ๋นอย่างน้อยก็หนึ่งขั้น!”
จิตใจฉินมู่ไหวสะท้าน ด้วงศพเหล่านี้น่าจะถูกเพาะเลี้ยงโดยยอดฝีมือจากลัทธิผีดิบเซียน เขาถึงกับสามารถควบคุมด้วงศพจากระยะไกลขนาดนี้ และใช้พวกมันควบคุมโครงกระดูกนับไม่ถ้วนรวมทั้งสัตว์ร้ายจวนมากในป่าชัฏ ดูจากแค่นี้ก็จินตนาการได้ว่าพลังวัตรของคนผู้นี้จะแข็งแกร่งเพียงใด!
นี่มันยากยิ่งกว่าควบคุมผีดิบบินเสียอีก
ด้วงศพเหล่านั้นมุดเข้าไปในโครงกระดูกและร่างของสัตว์ร้าย ทำให้มันแปรเปลี่ยนไปอย่างพิลึกพิลั่น กระดูกผีแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ขณะที่สัตว์ร้ายเหล่านั้นก็มีขนและเกราะอันถูกย้อมเป็นสีแดงงอกเงยขึ้นมา พวกมันไล่ล่าฉินมู่อย่างบ้าคลั่ง!
วิธีการเยี่ยงนี้นับว่าร้ายกาจกว่าฝีมือของเหออิ๋น
“เจตนาเขาไม่ได้หมายจะสังหารข้า แต่ต้องการถ่วงเวลาไม่ให้ข้าหลบหนีไปได้ไกล โดยใช้ด้วงศพควบคุมกระดูกผีและสัตว์เถื่อน!”
ฉินมู่ใช้ปราณชีวิตควบคุมกระบี่ กระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์พุ่งออกมา มันใช้ท่วงท่ากระบี่สะบัด ทำให้กระบี่วิเศษเหวี่ยงสะบัดเป็นรัศมีวงกลมรอบตัวเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก สร้างวงแหวนเกลียวหมุนวนไม่สิ้นสุด เมื่อเขาวิ่งตะบึงไปข้างหน้า กระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ก็ควงสะบัดฟาดฟันเปิดทางไป เฉือนเฉาะเหล่าโครงกระดูกและฝูงสัตว์ร้ายถูกสิงที่กระโจนขย้ำเข้ามาจากทุกสารทิศ!
แต่ทว่า ทุกๆ ครั้งที่โครงกระดูกแตกทำลาย และสัตว์ร้ายขนแดงถูกเฉือนเป็นชิ้น ด้วงศพก็จะบินออกมาจากร่างที่พังภินท์เหล่านั้น พวกมันถ้าไม่มุดเข้าไปในดิน ก็โบยบินไปยังป่าที่ห่างออกไปเพื่อเสาะหาร่างควบคุมใหม่ สร้างวงจรอุบาทว์ที่ผลิตโครงกระดูกผีและสัตว์คลั่งวิ่งตะลุยมาจากทั่วป่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ฉินมู่ขนหัวลุกวาบ ซากผีและสัตว์เถื่อนเหล่านี้ทำให้เขาชักช้าลงไปมาก ยอดฝีมือที่กำลังไล่ล่าเขาอยู่คงตามมาทันในไม่ช้า!
และในตอนนั้นเอง ฮู่หลิงเอ๋อก็สะดุ้งตื่นจากความอลหม่านวุ่นวาย เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า นางก็รีบร่ายเวทมนตร์เรียกลมปีศาจ พลังของลมทวีแรงขึ้นและแรงขึ้นจนกระทั่งมันแปรเปลี่ยนเป็นลมเพชรหึงและโถมซัดกวาดกระดูกผีและสัตว์ถูกสิงเหล่านั้นจนกระเด็นพ้นทางไป
แรงกดดันต่อฉินมู่ลดลงไปอย่างมาก ทำให้เขาเร่งฝีเท้าตะลุยไปข้างหน้าได้เร็วขึ้นอีก
ในจังหวะนั้น ด้วงศพแดงก็บินตรงเข้ามาแล้วเกาะที่กระเป๋าสัมภาระของฉินมู่ และพยายามจะไต่ชอนไชเข้าไปในจมูกของฮู่หลิงเอ๋อ
ฮู่หลิงเอ๋อหวีดร้องดังนั้น แล้วรีบตะเกียกตะกายออกมาจากกระเป๋าไต่หนีมาบนบ่าของฉินมู่ ฝูงด้วงบินกรูเข้ามาเพิ่มอีก เห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือที่ควบคุมด้วงศพอยู่ค้นพบว่าฮู่หลิงเอ๋อสามารถควบคุมลมได้ เขาจึงเปลี่ยนเป้าโจมตีมาที่นาง หวังเปลี่ยนนางให้เป็นสัตว์ผีสิงขนแดงเช่นเดียวกัน
“แสงตะวันเผาวิญญาณหยาง!”
ปราณชีวิตของฉินมู่แปรเปลี่ยนเป็นเพลิงไฟกร้าวแกร่งเมื่อเขาผนึกมุทราขึ้นสู่ท้องฟ้า ปราณชีวิตหงส์แดงแปรเปลี่ยนเป็นดวงตะวันร้อนแรงที่สาดส่องแสงเจิดจ้า ด้วงศพพวกนี้พลันกรีดร้องเสียงประหลาด ควันสีเขียวพวยพุ่งออกมาจากในตัวพวกมัน พวกมันร่วงกราวลงกับพื้นแน่นิ่งอยุ่อย่างงั้น
“ฟ้าคำรามแปดจู่โจมใช้ได้ผล มันสามารถทำลายวิญญาณและจิตของด้วงศพได้!”
ฉินมู่ทั้งแตกตื่นและดีใจ เขาจึงใช้แสงตะวันเผาวิญญาณหยางไปด้วยระหว่างที่วิ่งตะบึงไปข้างหน้า ส่งให้ควันเขียวพลุ่งขโมงจากโครงกระดูกและซากศพทั้งหมดที่โดนแสงตะวันร้อนแรงสาดส่องใส่ กระดูกผีแตกกระจายเป็นชิ้นลงกับพื้น ขณะที่ศพเน่าก็พับร่วงลงไปเช่นกัน
เช่นนั้น โครงกระดูกกับซากศพก็เลิกกีดขวางทางหนีของเขา แล้วเปลี่ยนเป็นวิ่งขนาบไปด้วย เมื่อกระดูกวิ่งไป มันก็หักเอากระดูกซี่โครงของตนเองมาเขวี้ยงใส่ฉินมู่ต่างมีดโค้งวงพระจันทร์!
กระดูกซี่โครงหลายร้อยชิ้นที่ใหญ่เท่ากับกระดูกขาหลังหมูเขวี้ยงผ่าอากาศหมุนติ้วๆ มา กระดูกซี่โครงเหล่านั้นหมุนวิถีโค้งเป็นบูมเมอแรง ซึ่งหากว่ามันโจมตีไม่โดนฉินมู่ มันก็จะวกกลับในมือของโครงกระดูกที่รอรับอีกครั้ง
ฉินมู่ปวดหัวตึ้บ และเขาก็ได้แต่ใส่ท่วงท่ากระบี่สะบัดอีกครั้งเพื่อปัดป้องกระดูกซี่โครงอันจู่โจมเข้ามาจากทุกทิศทาง ความเร็วของเขาจึงตกลงอีกครา
วิธีการจู่โจมของลัทธิผีดิบเซียนนั้นแปลกประหลาดยากคาดเดา พวกเขามีทั้งผีดิบบิน ยันต์กระดาษเหลือง ด้วงศพ โครงกระดูก ศพสัตว์ขนแดง และแม้กระทั่งกระดูกผีที่หักซี่โครงตนเองมาใช้ต่างบูมเมอแรง วิธีการโจมตีเหล่านี้อัศจรรย์พิสดารจนแทบบรรยายไม่ถูก
ทันใดนั้นฉินมู่ก็มองเห็นเรือกสวนไร่นาข้างหน้า และมีชาวนากำลังทำนาอยุ่ เวลานี้เป็นเดือนเก็บเกี่ยวของฤดูใบไม้ผลิ จึงมีชาวนาจำนวนมากที่ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อออกมาเก็บเกี่ยวรวงข้าวของพวกเขา
“หนีเร็วเข้า!”
ฉินมู่โบกไม้โบกมือตะโกนเย้วๆ “ทุกคน รีบหนีไป!”
ชาวนาเหล่านั้นเงยหน้าขึ้นมอง และอกสั่นขวัญแขวนอย่างช่วยไม่ได้ โครงกระดูกและซากสัตว์ขนแดงกรูกันเข้ามาในทิศทางนั้นราวกับน้ำท่วม ดูน่าหวาดสยองอย่างมหันต์ พวกเขาโยนเคียวเกี่ยวข้าวในมือทิ้งและรีบวิ่งหนี แต่ว่าความเร็วของพวกเขานั้นชักช้ากว่าฉินมู่ สัตว์ขนแดงเหล่านั้นจึงใกล้จะเข้าถึงตัวพวกเขาในไม่ช้า
ฉินมู่รีบเปลี่ยนทิศทาง นำฝูงผีสิงเหล่านั้นเบี่ยงหลบไปอีกทาง ทว่าที่ริมนานั้นเป็นทางถนนหลวงอันมีผู้คนอยู่เช่นกัน ตรงหน้าเขาเป็นรถม้าและมีผู้คุ้มกันสองคนขี่ม้าขนาบข้างรถ เสียงของสตรีพลันดังออกมาจากในรถม้า “ข้างนอกนั่นวุ่นวายอะไรหรือ”
ผู้คุ้มกันบนหลังม้าโค้งตัวแล้วกล่าวตอบ “ใต้เท้า มันเป็นภัยปั่นป่วนที่เกิดขึ้นจากฝูงโครงกระดูกอันไล่ล่าเด็กหนุ่มในเสื้อปักลาย เด็กหนุ่มคนนั้นกังวลว่าฝูงโครงกระดูกจะพุ่งเข้าปะทะกับชาวนาที่อยู่ในนา เขาจึงชักพาฝูงโครงกระดูกเบี่ยงไปทางถนนหลวง นอกจากนั้นยังมีสัตว์ร้ายขนแดงที่ดูพิลึกพิลั่น พวกมันน่าจะถูกควบคุมโดยผู้เพาะเลี้ยงด้วงศพ ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นฝีมือของลัทธิผีดิบเซียนจากเซียงซี”
“ตอนนี้โลกเริ่มจะสงบสุข แต่ก็ยังไม่วายมีภูตผีปีศาจออกมาสร้างความเดือดร้อนรำคาญ”
สตรีในรถม้าจึงออกคำสั่ง “องครักษ์ซื่อ ไปจัดการกับฝูงโครงกระดูกและสัตว์ร้ายขนแดงพวกนั้น อย่าให้ประชาชนคนธรรมดาต้องพลอยรับหางเลข”
“ขอรับ ใต้เท้า”
องครักษ์นั้นมิได้ลงจากม้า เขาเพียงแต่นำไจกระบี่สีเงินออกมา ด้วยการดีดออกไปจากนิ้วเพียงทีเดียว ไจกระบี่ของเขาก็โบยบินออกไป และหมุนติ้วอยู่บนท้องฟ้า ทุกรอบการหมุนมันจะปลดปล่อยแสงกระบี่สีเงินยวงพุ่งปราดออกมา
ไจกระบี่นั่นหมุนหวือด้วยความเร็วสูง แสงกระบี่ก็พวยพุ่งออกมาจากไจราวกับห่าฝน เมื่อฉินมู่วิ่งหนีไปข้างหน้า เขาก็ได้ยินเสียงหวีดหวือดังขึ้นมา และโครงกระดูกที่วิ่งไล่ตามเขาก็พลันแตกทำลายแล้วแหลกละเอียดเป็นผุยผง!
และพร้อมๆ กันนั้น สัตว์เถื่อนขนแดงเองก็ถูกบั่นหัวหลุดจากคอจนหมดสิ้น ในไม่ถึงหนึ่งอึดใจ โครงกระดูกและสัตว์ผีสิงหลายร้อยตัวนั้นที่ไล่ล่าเขาก็ถูกทำลายล้างจนหมดเกลี้ยง
ด้วงศพแดงบินหนีออกมาจากโครงกระดูกและซากสัตว์ แต่ไม่ทันหนีพ้น พวกมันก็ถูกกวาดล้างโดยแสงกระบี่
“กระบี่สำนักเที่ยงธรรม!”
ฉินมู่ยั้งฝีเท้าทันทีและมองไปยังรถม้าเบื้องหน้า เพลงกระบี่ที่องครักษ์ข้างรถม้าสำแดงออกมานั้นเป็นวิชาสำนักเที่ยงธรรม เขาเคยเห็นวิชาคล้ายๆ กันนี้จากสำนักกระบี่แม่น้ำหลี่ ซึ่งยังคงประทับใจเขาอยู่
วิชากระบี่เช่นนี้จะต้องอาศัยกระบี่จำนวนมากมาหลอมสร้างให้เป็นไจกระบี่ลูกเดียว มันเป็นวิชาที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู โดยเฉพาะเมื่อช่วงใช้มันก่อเป็นพยุหะค่ายกล
แน่นอนว่าผู้ที่สามารถช่วงใช้ไจกระบี่ได้ย่อมมีแต่ยอดฝีมือ เพราะไจกระบี่นั้นหนักอึ้งเกินไป ในการใช้ปราณชีวิตยกไจกระบี่ขึ้นไปกลางฟ้า วรยุทธของคนผู้นั้นจะต้องแข็งแกร่งสุดๆ
องครักษ์ข้างรถม้าเป็นยอดฝีมือ ศักดิ์ฐานะของผู้คนบนรถม้าย่อมไม่ธรรมดา
ในที่ห่างไกลออกไปนั้น อาจารย์อาเฉียวพลันสัมผัสได้ว่าฝูงด้วงศพของของเขาถูกสังหารไปในพริบตา จึงตระหนกตกใจ เขายั้งเท้าเอาไว้ไม่ไล่ตามต่อและกระโดดขึ้นไปยืนบนยอดไม้เพื่อมองไปยังที่ไกลๆ
“รถม้าของผู้ว่าการมณฑลหลี่โจว!”
สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรงและหันกายจากไป “ผู้ว่าการหลี่โจวมีฝีมือร้ายกาจ ข้าไม่ใช่คู่มือของนาง คงต้องถอยก่อน!”
เขารีบสะกิดเท้าร่างพุ่งปราดหายวับไปทันที
องครักษ์ซื่อบนหลังม้ารายงานผู้ที่อยู่ในรถลาก “ใต้เท้า ลัทธิผีดิบเซียนล่าถอยไปแล้ว”
สตรีในรถม้าจึงกล่าว “เรียกเด็กหนุ่มผู้นั้นมา”
“ขอรับ”
องครักษ์ซื่อลงจากหลังม้า โค้งคำนับแล้วกล่าว “คุณชายท่านนี้ ท่านใต้เท้าเชิญเจ้าเข้าไปสนทนา”
ฉินมู่ก้าวไปยังข้างหน้าต่างรถม้า ม่านหน้าต่างนั้นถูกสตรีในรถม้าเลิกเปิดขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างของนาง เป็นสตรีเครื่องหน้างดงามที่มีใบหน้าแดงเรื่อและริมฝีปากสีกุหลาบ นางเบือนหน้ามาเพ่งพิศมองฉินมู่ เมื่อเห็นเสื้อผ้างามประณีตและสะอาดเรียบร้อยของฉินมู่ นางก็เดาว่าเขาคงต้องมาจากตระกูลใหญ่ร่ำรวย จึงกล่าวถาม “คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่ามาจากที่ใด”
ด้วยกิริยาอันไม่หยิ่งยโสและไม่พินอบพิเทา ฉินมู่ตอบกลับไป “ข้ามาจากชนบทเขื่อนแม่น้ำ”
หญิงสาวผู้นั้นถามต่อ “ชนบทเขื่อนแม่น้ำตกในเงื้อมมือศัตรูและอยู่ภายใต้การครอบครองของลัทธิผีดิบเซียนใช่หรือไม่”
ฉินมู่ผงกศีรษะรับ พลางอุทานด้วยความชื่นชม “พี่สาวชาญฉลาดจริงๆ”
“พี่สาว? หลังจากเป็นผู้ว่าการมณฑลหลี่โจวมาก็หลายปี นี่นับเป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกข้าว่าพี่สาว”
สตรีผู้นั้นไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ นางเรียกองครักษ์ซื่อมาแล้วออกคำสั่ง “ถ่ายทอดคำสั่งไปยังเมืองชนบทอย่างชนบทตะวันพยัคฆ์และชนบทสันติไร้กังวลให้เตรียมกองทัพ แล้วยกไปยังเขื่อนแม่น้ำ”
องครักษ์ซื่อรับคำแล้วจึงจากไปทำตามที่สั่ง
สตรีผู้นั้นหันมามองฉินมู่แล้วกล่าว “บัดนี้เมื่อลัทธีผีดิบเซียนจากเซียงซีได้เข้ายึดครองชนบทเขื่อนแม่น้ำ ประชาชนที่นั่นคงต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างหนักนาเป็นแน่ โชคของเจ้านับว่าอัศจรรย์ที่หลบหนีมาได้ ข้าเห็นเสื้อผ้าของเจ้าค่อนข้างหรูหรา ดูท่าจะมาจากตระกูลใหญ่ แล้วเจ้ามีลู่ทางอย่างไรต่อไปล่ะ”
สายตาของนางมีความสงสาร นางคงรู้สึกว่าในเมื่อชนบทเขื่อนแม่น้ำถูกยึดครองโดยลัทธิผีดิบเซียน คงไม่มีผู้คนเหลือรอดได้ในเมืองนั้นอีกต่อไป และในเมื่อฉินมู่มาจากเมืองชนบทเขื่อนแม่น้ำ ครอบครัวของเขาก็คงตกตายในเมืองชนบทเขื่อนแม่น้ำหมดเสียแล้ว ไม่มีทางที่คนเหล่านั้นจะรอดมาได้
นั่นจึงเป็นเหตุที่นางไถ่ถามว่าเขามีแผนการอะไรต่อไป
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวตอบ “ข้าคิดว่าจะเข้าไปที่เมืองหลวง”
หญิงผู้นั้นพยักหน้าแล้วกล่าว “ไปเมืองหลวงก็เป็นความคิดที่ดี มณฑลหลี่โจวของพวกเรากำลังจะเกณฑ์กองกำลังไปสู้รบที่ชนบทเขื่อนแม่น้ำ ด้วยความปั่นป่วนวุ่นวายจากสงคราม โจรร้ายคงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ที่นี่จึงไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยอีกต่อไป แล้วเจ้ามีใบผ่านทางสำหรับใช้เดินทางไปยังเมืองหลวงหรือไม่”
ฉินมู่มองด้วยสายตาเซ่อ แล้วส่ายหัว
หญิงผู้นั้นพึมพำกับตนเองอย่างลังเลใจครู่หนึ่ง จึงกล่าว “ข้าชื่ออวี้เหยียนฉู่ยี่ เป็นผู้ว่าการมณฑลหลี่โจว ที่มีกองกำลังกบฏยึดเมืองชนบทเขื่อนแม่น้ำอันอยู่ใต้ปกครองมณฑลหลี่โจวนั้นถือเป็นความผิดข้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องใช้ใบผ่านทางเพื่อหนีตายมาจากชนบทเขื่อนแม่น้ำ ข้าคิดว่าผู้ว่าการชนบทเขื่อนแม่น้ำเองก็คงเสียชีวิตในการกบฏครั้งนี้ องครักษ์ฉู เตรียมเครื่องเขียนให้ข้า”
องครักษ์อีกคนที่ยังอยู่ข้างๆ รีบตระเตรียมแท่นหมึก กระดาษ และพู่กันทันที ส่งของเหล่านั้นเข้าไปในรถม้า สตรีผู้นั้นยกพู่กันขึ้นเขียนข้อความจำนวนหนึ่งลงไปในเอกสารด้วยลายมืออันอ่อนช้อยงดงาม จากนั้นถามอีกครั้ง “เจ้าชื่ออะไร”
ฉินมู่บอกนามของเขาแก่นางอย่างเรียบร้อยๆ
ผู้ว่าการอวี้เหยียนฉู่ยี่เขียนในเอกสารว่าฉินมู่เป็นประชากรจากมณฑลหลี่โจว จากนั้นประทับตราด้วยแท่นหยกประจำตำแหน่ง เมื่อหมึกแห้งดีแล้ว นางก็ส่งเอกสารนั้นออกจากรถม้า ให้เสมียนรับไปส่งต่อให้กับฉินมู่
“นี่คือใบผ่านทางของเจ้า เป็นเอกสารที่เอาไว้ยื่นผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ด้วยใบผ่านทางนี้ เจ้าสามารถเข้าไปในเมืองใหญ่ใดๆ ก็ตามที่เจ้าผ่านไปถึง และจะไม่มีใครกล้าหาเรื่องเจ้า”
ผู้ว่าการอวี้เหยียนฉู่ยี่คลี่ม่านปิดดังเดิม เสียงของนางดังมาจากข้างใน “เจ้าไม่ต้องคิดถึงครอบครัวของเจ้าหรอก ตอนนี้ไม่มีอะไรหลงเหลือให้จดจำในชนบทเขื่อนแม่น้ำอีกต่อไป เจ้าควรเร่งมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง พี่ชายของข้าอวี้เหยียนฉู่อวิ๋นเป็นขุนนางอยู่ที่นั่น เมื่อเจ้าไปถึงเมืองหลวงแล้ว ให้บอกกับเขาว่าข้าแนะนำเจ้ามา ข้าหวังว่าเราคงจะได้พบกันอีก”
“ขอบคุณมากพี่สาว!” ฉินมู่โค้งคำนับ จากนั้นเดินไปตามทางหลวงถนนใหญ่นั้น
อวี้เหยียนฉู่ยี่ทอดถอนใจ “เด็กคนนี้น่าสงสารเสียจริง ต้องพลัดถิ่นกำพร้าตั้งแต่ยังอายุน้อย ข้าเกรงว่าทั้งชนบทเขื่อนแม่น้ำ คงเหลือเขารอดเพียงแค่คนเดียว…”
“พี่สาวฉู่ยี่นี่ใจดีจริงๆ”
ฉินมู่เก็บใบผ่านทางนั้นเข้าพกห่ออย่างดีแล้วรำพึงในใจ ตอนนี้ถ้าข้าถูกสอบสวนระหว่างการเดินทางไปยังเมืองหลวง ข้าก็จะสามารถบอกเขาได้ว่าข้าเป็นประชากรของมณฑลหลี่โจว และก็จะไม่มีใครรู้ว่าข้ามาจากแดนโบราณวินาศ นี่ข้าก็ไม่ได้นอนมาทั้งคืน ข้าน่าจะเข้าไปพักผ่อนในชนบทตะวันพยัคฆ์เสียก่อน