106. พิษ
ฉินมู่หลับในโรงเตี๊ยมเมืองชนบทตะวันพยัคฆ์จนถึงเย็น จากนั้นเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากเสียงความวุ่นวายข้างนอก เขาได้ยินเถ้าแก่โรงเตี๊ยมร้องด้วยเสียงอันดัง “ไม่รู้ว่าด้วงพวกนี้มันมาจากไหนกัน พวกมันยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ฆ่าก็ไม่ได้ ไล่ก็ไม่ไป! ท่านใต้เท้า นี่คือด้วงแดงที่ว่า ท่านช่วยดูให้หน่อยได้ไหมว่ามันอันตรายหรือเปล่า…”
ฉินมู่ใจเต้นตูมตามแล้วรีบผุดลุกขึ้นทันที เขาปลุกจิ้งจอกน้อยให้ตื่นจากหลับใหลแล้วรีบเก็บรวบรวมข้าวของ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมยังคงพล่ามถึงเรื่องวุ่นวายของด้วงแดงกับทหารข้างล่าง แต่ว่าทหารผู้นั้นเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธและไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแมลงชนิดนี้เลย
“ในเมืองมีแมลงชนิดนี้อยู่เต็มไปหมด แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเห็นพวกมันแถวนี้มาก่อน นี่คงเป็นเพราะว่าสงครามใกล้เข้ามาทำให้แมลงร้ายระบาด เจ้ากระทืบมันให้ตายให้หมดก็น่าจะได้นี่นา”
“กระทืบอย่างไรก็ไม่ตาย เอาไฟเผามันยังวิ่งปร๋อเลย ขนาดว่าข้าเอามันไปต้มในน้ำเดือดพล่าน มันก็ยังกระโดดโลดเต้นได้ไม่อนาทร มีตัวหนึ่งที่ถึงกับหลุดเข้าไปในปากของแขกโรงเตี๊ยม ตอนนี้ก็ยังเอาออกมาไม่ได้ขนาดว่าล้วงคอให้อาเจียนก็แล้ว…”
ฉินมู่ทิ้งเหรียญสมบูรณ์พูนสุขไว้หนึ่งเหรียญบนโต๊ะในห้อง จากนั้นผลักหน้าต่างเปิดออก ฮู่หลิงเอ๋อร่ายเวทมนตร์ของนางเรียกลมปีศาจให้ฉินมู่กระโดดออกไปเหยียบยอดลมนั้น แล้ววิ่งข้ามฟ้าจากไป
ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นด้วงแดงบินว่อนไปทั่วท้องฟ้าของชนบทตะวันพยัคฆ์ ฉินมู่ดีดนิ้วอย่างรัวเร็ว แต่ละดีดนั้นราวกับสายฟ้าฟาดพุ่งไป ด้วงศพที่อยู่ใกล้เขาร่วงกราวลงกับพื้นก่อนที่พวกมันจะทันเห็นตัวเขา
“ทำไมลัทธิผีดิบเซียนถึงกัดพวกเราไม่ปล่อยเหมือนหมาบ้า พวกเราแค่สังหารบุตรชายจ้าวลัทธิเท่านั้นเอง จำเป็นจะต้องไล่ตามพวกเราไม่ลดราวาศอกแบบนี้หรือ” ฮู่หลิงเอ๋อบ่นด้วยความหงุดหงิดใจ
ฉินมู่ลงมาเหยียบพื้น แล้วรีบวิ่งไปทันที ระหว่างวิ่งเขาก็หยิบฉวยซาลาเปาไปหนึ่งถาด ข้าวหลามอีกกอบกำไปด้วย และเมื่อเจ้าของแผงขายอาหารพวกนี้กำลังจะตะโกนเรียกให้จับโจร เหรียญสมบูรณ์พูนสุขหนึ่งเหรียญก็ลอยลิ่วมาวางลงบนโต๊ะแผงของเขา ทำให้แทนที่จะโกรธกลับกลายเป็นลิงโลด
ฉินมู่ยัดซาลาเปาเข้าปากตน พร้อมกับกวดสุดฝีตีนออกไปจากเมือง ฮู่หลิงเอ๋อกระโดดขึ้นมาบนไหล่ของเขา และแทะเล็มซาลาเปาร้อนๆ นางร้องเหยงๆ ไม่หยุดจากความร้อนฉ่าของซาลาเปา โยนก้อนซาลาเปาที่บิออกมานั้นไปมาในอุ้งมือ จนมันค่อยคลายร้อน แล้วกล้ำกลืนฝืนร้อนกระเดือกมันเข้าไป กระนั้นก็ไม่วายต้องแลบลิ้นที่โดนลวกออกมาตากลมบรรเทาเจ็บ
หนึ่งคน หนึ่งจิ้งจอก กินซาลาเปาหนึ่งถาดหมดอย่างรวดเร็ว เมื่อฉินมู่เหลียวมองไปข้างหลังและไม่เห็นด้วงศพติดตามมา เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ฮู่หลิงเอ๋อมุดเข้าไปในกระเป๋าหลังของเขาแล้วนำแผนที่ภูมิประเทศสันตินิรันดร์ออกมา ฉินมู่เปิดแผนที่เพ่งพิศดู เขาเงยหน้าขึ้นมองภูมิประเทศรอบๆ และระบุตำแหน่งแห่งที่ของตนบนแผนที่ได้ เขาก็รีบเพิ่มความเร็วฝีเท้าและวิ่งตรงไปยังทิศทางของเมืองหลวงทันที
ในเวลาเดียวกัน ในชนบทตะวันพยัคฆ์ ด้วงศพแดงจำนวนมากไม่อาจค้นพบฉินมู่เจอ พวกมันจึงบินกรูออกมาจากเมือง อาจารย์อาเฉียวนั่งอยู่บนยอดเขาตะวันแบน และเรียกด้วงศพของตนกลับมาพลางขมวดคิ้ว และในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นผู้เฒ่าแขนเดียวเดินผ่านมา และเมื่อผู้เฒ่านั้นเฉียดผ่านเขา ผู้เฒ่านั้นก็เหยียบด้วงตัวหนึ่งแหลกเละตายไปหนึ่งตัว
ขณะที่อาจารย์อาเฉียวกำลังจะโพล่งคำด่าทอใส่นั่นเอง เขาก็พลันนึกได้ ด้วงศพของข้า ถึกทนเป็นอย่างยิ่ง เหตุใดมันถึงถูกเหยียบเละได้อย่างง่ายดาย ตาแก่แขนเดียวผู้นี้ต้องเป็นยอดฝีมือแน่ และคงจะดีที่สุดถ้าข้าไม่ไปตอแยเขา!
เมื่อผู้เฒ่านั้นเดินห่างออกไป อาจารย์อาเฉียวก็มองหาทิศทางจากนั้นขบคิด แถวนี้ไม่มีวี่แววของเจ้าเด็กนั่น และในเมื่อข้าดักขวางอยู่ในทิศทางนี้ เจ้าเด็กผีก็จะมีแค่ทิศตะวันออก ตะวันตก และทิศเหนือที่จะใช้หลบหนี ฝูงผีดิบบินของข้าไปถึงเมืองทางตะวันตกและตะวันออกแล้ว แต่ไม่พบร่องรอยของมัน ถ้าอย่างนี้ก็แปลว่ามันหนีไปทางทิศเหนือ
เขารีบลุกขึ้นแล้วมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือทันที
เมื่อเดินทางไปสักพัก อาจารย์อาเฉียวก็พบพานผู้เฒ่าแขนเดียวอีกหน เขาจับจ้องมองแขนเสื้อว่างเปล่าหนึ่งข้างของผู้เฒ่านั้นที่เดินอย่างแช่มช้าและมั่นคงไปทางทิศเหนือ
อาจารย์อาเฉียวไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับเฒ่าผู้นี้ ด้วงศพของเขากลุ่มหนึ่งจับฝูงกันเป็นเมฆแดงที่พาร่างเขาเดินทางไปบนท้องฟ้า ขณะที่ด้วงกลุ่มที่เหลือโบยบินเข้าไปในป่าเพื่อเสาะหาร่องรอยของฉินมู่
เป๊ะ เป๊ะ
ผู้เฒ่าแขนเดียวเหยียบด้วงแหลกเละไปอีกสองตัว อาจารย์อาเฉียวเลิกคิ้วมองสะกดกลั้นโทสะอันคุกรุ่น ฝูงด้วงศพใต้เท้าของเขาลดระดับการบินลงมาเรี่ยพื้น แต่ก็ไม่ถึงกับติดพื้นเลย เขายืนอยู่บนเมฆด้วงแดงที่ห่างจากผู้เฒ่านั้นประมาณหนึ่งวา
อาจารย์อาเฉียวโค้งแล้วกล่าวทักทาย “ผู้เฒ่าท่านนี้ ด้วงศพเหล่านี้เป็นของที่ข้าเพาะเลี้ยงเอาไว้ ท่านเหยียบมันตายไปตัวหนึ่งก็ยังพอทำเนา แต่ไฉนถึงเหยียบมันตายไปอีกสองตัวด้วย”
ผู้เฒ่าแขนเดียวยั้งเท้าแล้วกล่าวตอบ “ข้าคิดว่ามันเป็นแมลงไร้เจ้าของที่บินว่อนไปว่อนมา ที่แท้ก็เป็นแมลงที่เจ้าเลี้ยงเอาไว้ ขอโทษที ขอโทษที”
อาจารย์อาเฉียวยิ้มแล้วกล่าว “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ผู้เฒ่าโปรดระมัดระวังด้วยในคราวต่อไป…”
เป๊ะ
ผู้เฒ่าแขนเดียวยกเท้าขึ้นเหยียบแมลงอีกตัวแหลก สีหน้าอาจารย์อาเฉียวแปรเปลี่ยนโดยพลัน ผู้เฒ่าแขนเดียวรีบถอยเท้ากลับแล้วบอกเขา “ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”
เป๊ะ
ด้วงศพอีกสองสามตัวบินเข้ามาใต้เท้าเขาราวกับโดนผีผลักและถูกเหยียบแหลกเป็นน้ำเหลวสีแดง
อาจารย์อาเฉียวแค่นเสียง ผีดิบบินก็ถลาออกมาจากป่าและห้อมล้อมรอบผู้เฒ่าแขนเดียวนั้น อาจารย์อาเฉียวถามด้วยสีหน้ามืดคล้ำ “ผู้เฒ่า เจ้าปั่นหัวข้าอย่างนั้นหรือ จงใจบดขยี้ด้วงศพที่ข้าอุตส่าห์เพาะเลี้ยงมา หรือว่าเจ้าคิดจะรังแกลัทธิผีดิบเซียนของพวกเรา”
ผู้เฒ่าแขนเดียวฟังดังนั้นจึงรีบอธิบาย “”ที่แท้เจ้าก็คือยอดฝีมือจากลัทธิผีดิบเซียน อย่าเข้าใจผิดไป แมลงพวกนี้มันไสหัวเข้ามาใต้ฝ่าเท้าข้าเอง เจ้าจะตำหนิข้าได้อย่างไร”
อาจารย์อาเฉียวไม่รู้ตื้นลึกหนาบางขั้นวรยุทธของอีกฝ่าย และลึกๆ ก็แอบกริ่งเกรง สีหน้าของเขาคลายลงและข่มอารมณ์ตนเองกล่าวตอบไป “ในเมื่อไม่ได้จงใจ เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ”
ขณะที่เขาหันกายจะจากไปนั่นเอง เขาก็ได้ยินเสียงเป๊ะอีกครั้ง อาจารย์อาเฉียวโลดเต้นด้วยความเดือดดาล ความกริ่งเกรงของเขาเปลี่ยนเป็นความมุทะลุ ด้วยความคิดของเขาวูบหนึ่ง ฝูงผีดิบบินก็กระโจนขย้ำใส่ผู้เฒ่าคนนั้น!
ผีดิบบินของเขาแตกต่างจากของเหออิ๋น เหออิ๋นนั้นเป็นเพียงศิษย์แรกเข้าของลัทธิผีดิบเซียนซึ่งเพิ่งจะฝึกปรือถึงขั้นหกทิศและฝึกปรือทักษะเทวะ ขณะที่เขาเป็นคนในรุ่นก่อนของลัทธิผีดิบเซียนที่ฝึกฝนถึงขั้นเจ็ดดาว ผีดิบบินของเขาได้ถูกปลุกเสกจนถึงขั้นศพเกราะทองแดงเรียบร้อยแล้ว อันทำให้มีเส้นเอ็นทองแดงกระดูกเหล็ก ทั่วทั้งร่างของพวกมันอัดแน่นไปด้วยพละกำลังอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง!
ยิ่งไปกว่านั้น ฝูงผีดิบที่เขาปลุกเสกขึ้นมายังมีจำนวนมากมาย และด้วยฝูงผีดิบบินมากมายขนาดนี้ที่กรูเข้าใส่ผู้เฒ่าแขนเดียว ก็ย่อมไม่ยากเย็นที่จะเข้าไปโจมตีเขาได้!
แต่ก่อนที่ผีดิบจะกระโจนถึงตัวผู้เฒ่า เสียงเปล่งนามพุทธองค์ก็ดังก้องมาพร้อมกับรัศมีพุทธะเจิดจ้าจำรัส โลหิตในกายของอาจารย์อาเฉียวเย็นเยียบขึ้นมาทันที เขารู้สึกราวกับว่ามีพุทธองค์ตัวจริงยืนอยู่เบื้องหน้าเขา เขาตกใจกลัวจนขวัญบินแล้วรีบคุกเข่าลงกับพื้นโขกศีรษะร้อง “ไว้ชีวิตข้าด้วย!”
ในเวลานั้น ผีดิบบินที่ถูกแสงพุทธองค์ฉายส่องต่างก็ร่วงลงไปกองกับพื้น ความเชื่อมโยงระหว่างเขากับฝูงผีดิบถูกตัดสะบั้นโดยสิ้นเชิง พวกมันได้รับดวงตาเห็นะรรมจากผู้เฒ่าแขนเดียวและมิอาจออกไปทำร้ายผู้คนได้อีกต่อไป
“ยืนขึ้น”
ผู้เฒ่าแขนเดียวมองเขาแวบหนึ่ง แล้วเดินจากไป “ใครๆ ก็ทำผิดพลาดได้ทั้งนั้น จงให้อภัยผู้อื่นเมื่อเจ้าสามารถทำได้ ข้าจะไม่สังหารเจ้า แต่หวังว่าเจ้าจะรู้จักอภัยให้ผู้อื่น เมื่อไม่ยากเย็นเกินไปที่จะปล่อยพวกเขา”
อาจารย์อาเฉียวเงยหน้าขึ้นและมองไปรอบๆ เขาปล่อยลมหายใจแห่งความโล่งออกแล้วคิดในใจ โชคดีที่ข้าหัวไว หากว่าฝึกใช้อย่างเหมาะสมแล้ว ไม่ว่าทักษะใดก็ช่วยชีวิตตนได้ อย่างเช่นคุกเข่าเมื่อไม่อาจเอาชนะ
เขาลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัว สีหน้าเต็มไปด้วยความรวดร้าวใจ “ผีดิบบินพวกนั้นใช้หยาดเหงื่อแรงงานข้าไปตั้งเท่าไรกว่าจะสร้างพวกมันขึ้นมาได้ ไม่นึกเลยว่าพวกมันทั้งหมดจะถูกทำลายในทีเดียว! ผู้เฒ่าแขนเดียวนั้นคือใครกันแน่ วรยุทธของเขาแก่กล้ามหัศจรรย์ แต่เขาไม่โจมตีข้า เพียงแต่เปล่งรัศมีออกมาคราวเดียวเพื่อทำลายทรัพย์สินล้ำค่า…ช่างมันเถอะ หากว่าข้าจับไอ้เด็กเปรตนั่นได้ และยึดเอากระบี่ประจำตำแหน่งขุนนางระดับสูงชั้นหนึ่งมาได้ละก็ ของที่ข้าสูญเสียไปทั้งหมดก็จะคุ้มค่า!”
ฉินมู่วิ่งตะบึงไปอย่างรวดเร็วในราวป่า และทันใดก็หยุดยั้งเท้า เขาโน้มตัวลงเด็ดต้นหญ้าเล็กๆ ที่มีดอกสีม่วงสามกลีบ ฮู่หลิงเอ๋องุนงงทันใด “คุณชายมู่ ดอกไม้นี้คืออะไร”
“นี่คือหญ้าดินกำเนิด มันมีกลิ่นที่มนุษย์และสัตว์ไม่อาจดมกลิ่นพบ”
ฉินมู่เด็กดอกไม้เล็กๆ สีม่วงนั้นออกมาอย่างระมัดระวัง เขาเด็ดดอกไม้ทิ้งเหลือไว้แต่ใบและราก เขาเดิมด้อมมองหาไปรอบๆ ป่าและค้นพบสมุนไพรอีกสองสามอย่างอันล้วนแต่เป็นต้นไม้ใบหญ้าที่พบเห็นได้ทั่วไปในป่านี้ “แต่ว่า กลิ่นของหญ้าดินกำเนิดนั้นหอมหวนล่อใจแมลงเป็นพิเศษ หญ้าชนิดนี้มีพิษร้ายแรง มิใช่กับมนุษย์แต่กับแมลง ดังนั้นมันจึงถูกเรียกอีกชื่อว่ายาเบื่อร้อยแมลง ส่วนสมุนไพรอื่นๆ ที่ข้าเก็บมานั้นไม่ได้มีฤทธิ์ยาอื่น นอกเสียจากช่วยทวีคุณกลิ่นหอมและพิษร้ายของหญ้าดินกำเนิดเข้าไปอีกร้อยเท่าตัว”
เขาวิ่งรี่ไปเบื้องหน้า ระหว่างที่วิ่งอยู่นั้น ปราณชีวิตของเขาก็แผ่พุ่งออกไปและม้วนห่อสมุนไพรเหล่านั้นในอากาศ ใช้ปราณชีวิตแทนหม้อยา เขาหลอมปรุงยานั้นกลางอากาศ
เปลวเพลิงระเบิดปะทุในอีกมือของเขาและเคี่ยวตุ๋นยาพวกนั้น ขณะเดียวกันก็มีปราณชีวิตเต่าดำแผ่ออกมาช่วยหล่อความชื่นแก่สมุนไพรป้องกันมิให้มันไหม้เกรียม
ก่อนที่เขาจะข้ามแอ่งเขา ฉินมู่ก็หลอมปรุงฤทธิ์ยาในสมุนไพรเหล่านั้นออกมาแล้ว เขาแยกซากสมุนไพรทิ้งไป มือของเขาประสานกัน และทันใดนั้นของเหลวบางอย่างคล้ายน้ำมันใสก็ปรากฏกลางอุ้งมือของเขา
ฉินมู่มองไปรอบบริเวณ และพบบ่อน้ำพุไหลรินอยู่ในแอ่งเขาใกล้ๆ เขาเดินตรงไปล่างมือในบ่อนั้น ผนึกกำลังในฝ่ามือแล้วรีบจากไป
ไม่นานนัก เมฆแดงก้อนหนึ่งก็ลอยลิ่วมาบนฟากฟ้า มันคือฝูงด้วงศพของอาจารย์อาเฉียว
ด้วงศพเหล่านี้ติดตามร่องรอยของฉินมู่มา และตามเข้าใกล้ฉินมู่อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นฝูงด้วงศพก็ไม่อาจควบคุมตนเองได้ พวกมันบินพรั่งพรูลงไปยังบ่อน้ำพุใสในแอ่งเขา
อาจารย์อาเฉียวซึ่งกำลังควบคุมฝูงด้วงศพจากข้างหลังตื่นตระหนก และรีบวิ่งไปดู เมื่อเห็นเหล่าแมลงสีแดงที่นอนตายเกลื่อนกลาดเต็มไปทั้งภูเขาและป่าชัฏ เขาก็รู้สึกเหมือนหัวใจแทบหยุดเต้น ด้วงศพที่เขาอุตส่าห์เลี้ยงมาอย่างยากลำบาก กลับตายเกลี้ยงไม่มีเหลือ!
สามารถวางยาพิษสังหารฝูงด้วงศพของเขาในการลงมือเดียว ความสามารถระดับนี้ทำให้เขาตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึง!
“นอกจากนั้นนะ ที่สำคัญก็คือ…”
ฉินมู่ซึ่งตอนนี้เตลิดไปไกลแล้วแย้มยิ้มและบอกเล่าจิ้งจอกน้อยอันซ่อนอยู่ในกระเป๋าสัมภาระของเขา “ด้วงศพเองก็นับว่าเป็นยาพิษชนิดหนึ่ง และเป็นยาพิษร้ายแรงเสียด้วย ยิ่งด้วงศพแดง พิษมันยิ่งแรงฤทธิ์สุดๆ! น้ำมันพิษที่ข้าปรุงกลั่นขึ้นมานั้นไม่มีพิษต่อมนุษย์ แต่หากว่ามันถูกดื่มกินด้วยด้วงศพแล้วละก็ มันจะผสมผสานเข้ากับพิษของด้วงศพ แปรเปลี่ยนเป็นพิษชนิดอื่นที่ร้ายกาจรุนแรงยิ่งกว่าเดิม หากใครก็ตามแตะต้องพิษชนิดนี้ กายเนื้อและโลหิตของเขาจะเริ่มเน่าเปื่อย จากนั้นร่างกายของเขาก็จะเป็นอัมพาต เขาจะไม่สามารถขยับเขยื้อนได้และได้แต่นอนมองตนเองเน่าเปื่อยตายไปช้าๆ!”
ฮู่หลิงเอ๋อกระโดดโหยงด้วยความตระหนกแล้วร้องขึ้นมา “คุณชาย เช่นนั้นยอดฝีมือจากลัทธิผีดิบเซียนคนนั้นจะถูกพิษไหม ข้าเห็นว่าวรยุทธของเขาค่อนข้างสูง!”
ฉินมู่กล่าวด้วยสีหน้าเฉย “นั่นก็ขึ้นกับว่า เขาได้แตะต้องด้วงศพหรือไม่”
เมื่อมองไปบนท้องฟ้า เขาก็กล่าวอย่างแผ่วเบา “พิษนี้จะสลายตัวไปเองได้ ยามเมื่อมันถูกแสงอาทิตย์ส่องใส่ พิษก็จะเริ่มย่อยสลายและอ่อนฤทธิ์ลงไปทุกที หลังจากที่พิษต้องแสงตะวันเกินหนึ่งชั่วโมง พิษนี้ก็จะจางหายไปจนหมดสิ้น แต่ว่าภายในหนึ่งชั่วโมงนี้ หากใครแตะต้องมัน ตายแน่นอน!”
ที่แอ่งน้ำ อาจารย์อาเฉียวร่างสั่นเทิ้ม แต่ก็พลันยิ้มหยัน “โชคยังดีที่ข้ายังมีด้วงสพหลงเหลือ ทั้งราชินีด้วงก็ยังอยู่นี่…”
ในตอนนั้นเอง ด้วงศพในร่างกายเขาก็ปีนป่ายกรูออกมาอย่างบ้าคลั่ง ตะเกียกตะกายไปยังน้ำพุพิษในแอ่งเขา แม้แต่ราชินีด้วงก็บินพรูไปด้วย อาจารย์อาเฉียวร้องเสียงหลงแล้วรีบคว้าจับราชินีด้วงเอาไว้ ทว่าราชินีด้วงบินเร็วหวือ มันไปถึงบ่อน้ำพุและดื่มน้ำในนั้นเสียแล้ว
อาจารย์อาเฉียวซึ่งคว้าจับราชินีด้วยได้จากข้างหลังกำลังจะระบายลมหายใจโล่งอก ร่างกายของเขาก็พลันแข็งทื่อ ผิวหนังที่มือของเขาเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วและลุกลามมายังแขน กล้ามเนื้อของเขาก็เริ่มหลุดร่วงจากแขนหล่นเผละๆ ลงกับพื้น แปรเปลี่ยนเป็นกองน้ำหนองอย่างรวดเร็ว
เขาสามารถเห็นแขนของเขาที่กำลังเน่าเปื่อย แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
เขาหมายจะฟันแขนของตนทิ้ง แต่สติสัมปชัญญะของเขาดูเหมือนจะถูกกีดกันออกจากร่างกายและไม่อาจควบคุมกายเนื้อได้ อาจารย์อาเฉียวกัดฟันกรอดรวบรวมพละกำลังทั้งหมดเพื่อยกแขนอีกข้าง แต่ร่างของเขากลับสูญเสียสมดุลและล้มคว่ำลงกับพื้น เมื่อใบหน้าของเขาทาบลงกับพื้น ก็สัมผัสกับด้วงศพอีกหลายตัวที่นอนตายอยู่
…
“ท่านปู่นักปรุงยาพูดถูกต้อง เขาบอกข้าว่าหากไม่สามารถเอาชนะ ก็แค่ใช้ยาพิษแทน” เด็กเลี้ยงวัวแห่งหมู่บ้านพิการชราถอนหายใจอย่างซาบซึ้งแว่วจากที่ห่างไกล